<h2>แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลีอย่าง LG เข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ 37 ปีที่แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น LG ในชื่อ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังลงทุนสร้างโรงงานในไทยตั้งแต่ปี 2540 ด้วย จนปัจจุบันโรงงานแอลจีที่ จ.ระยอง เป็นโรงงานแอลจีที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในโลก และเป็นฐานการผลิตที่ส่งออกสินค้าไปหลายประเทศ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการลงทุนและฝีมือของแรงงานไทย </h2> เรื่องราวของโรงงานแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เมื่อบริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัดสินใจเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พื้นที่กว่า 335 ไร่แห่งนี้ ได้กลายเป็นบ้านของโรงงานแอลจี ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยภารกิจในการผลิตเครื่องซักผ้าและเครื่องปรับอากาศเพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงแรก โรงงานแห่งนี้มีเพียงอาคารการผลิตไม่กี่แห่ง แต่ตลอดกว่า 25 ปีที่ผ่านมา แอลจีได้ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มสายงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันโรงงานประกอบด้วยอาคารผลิตถึง 5 แห่ง ครอบคลุมการผลิต 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และคอมเพรสเซอร์ พร้อมด้วยพื้นที่อาคารรวมกว่า 258,000 ตารางเมตร และพนักงานกว่า 1,850 คน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/w5yKkjToT5sK1Dks7pBP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="w5yKkjToT5sK1Dks7pBP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> เส้นทางการเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากเปิดโรงงานในปี 2540 เพียงหนึ่งปี แอลจีก็เริ่มเดินสายการผลิตเครื่องซักผ้าถังคู่ ก่อนจะขยายสู่การผลิตเครื่องปรับอากาศในปี 2543 และต่อด้วยคอมเพรสเซอร์ในปี 2547 การเติบโตไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แต่ยังเพิ่มสายการผลิตใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องอบผ้า ไปจนถึงการพัฒนาเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/xqfwxW1Xerz13BGwonrx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xqfwxW1Xerz13BGwonrx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ตอบรับกับดีมานด์และต้นทุนในการดำเนินงาน แอลจีได้หยุดการผลิตสินค้าหลายรายการ และย้ายไปผลิตในประเทศอื่น เช่น เครื่องอบผ้าและเครื่องซักผ้าฝาหน้า ปัจจุบันผลิตในเกาหลีใต้ และจีน เป็นต้น ส่วนทีวีผลิตในจีน เวียดนาม และเกาหลีใต้ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่โรงงานแห่งนี้ปัจจุบันผลิตสินค้า 3 กลุ่มดังที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาบน เครื่องปรับอากาศ และคอมเพรสเซอร์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/pFEufJ9crvyvXTGo3JDk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pFEufJ9crvyvXTGo3JDk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเครื่องซักผ้า (คิดเป็น 39% ของกำลังการผลิต) มีกำลังการผลิต 2.28 ล้านเครื่อง, เครื่องปรับอากาศ (คิดเป็น 45% ของกำลังการผลิต) ซึ่งครอบคลุมเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่าง และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ มีกำลังการผลิต 2.7 ล้านเครื่อง และคอมเพรสเซอร์ (คิดเป็น 16% ของกำลังการผลิต) มีกำลังการผลิต 9.2 แสนชิ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จำนวนโปรดักต์ไม่ได้หลากหลายดังแต่ก่อน แต่แอลจีมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และนี่ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา แอลจีได้ทุ่มงบกว่า 3,200 ล้านบาท เพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ส่งผลให้กำลังการผลิตในปัจจุบันสูงถึง 5.5 ล้านเครื่องต่อปี โรงงานแห่งนี้จึงกลายเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกในเครือแอลจี โดยกว่า 80% ของสินค้าถูกส่งออกไปยังตลาดสำคัญ เช่น อเมริกา แคนาดา ตะวันออกกลาง เม็กซิโก และออสเตรเลีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หรือแม้แต่เครื่องซักผ้าฝาบนก็ส่งออกไปยังเกาหลีใต้ด้วย <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/uQzWBnd9cHQEPWV5CYn7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uQzWBnd9cHQEPWV5CYn7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็น 1 ใน 18 ประเทศทั่วโลกที่แอลจีเข้ามาลงทุนทั้งด้านการตลาด การขาย และฐานการผลิตสินค้าอีกด้วย พลังงานสะอาดและนวัตกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งที่ทำให้โรงงานแอลจีในไทยโดดเด่นกว่าที่อื่น คือการนำเทคโนโลยี K-Tech (Korean Technology) เข้ามาประยุกต์ใช้ในส่วนงานการผลิตที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคน และในส่วนงานที่ต้องการใช้ความแม่นยำระดับสูง อาทิ การใช้หุ่นยนต์ในการย้ายชิ้นงาน และการใช้ระบบอัตโนมัติในการติดแผ่นกันกระแทก การตรวจสอบด้วย Vision Camera System การใช้ระบบ AGV Supply Part (รถสำหรับลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ) และการจัดการข้อมูลผ่าน Smart Control Tower เพื่อให้การผลิตมีมาตรฐานระดับโลก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/frArrkV1r9kjdsiYsq32.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="frArrkV1r9kjdsiYsq32.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกก้าวสำคัญคือการเป็นโรงงานต้นแบบของแอลจีทั่วโลกในการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ครอบคลุมพื้นที่กว่า 64,000 ตารางเมตร ช่วยผลิตพลังงานสะอาด 7.4 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5,100 ตันต่อปี ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในปี 2567 หัวใจคือบุคลากร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้เทคโนโลยีจะสำคัญ แต่สิ่งที่แอลจีให้ความใส่ใจไม่แพ้กันคือ “คน” โรงงานได้รับการรับรองมาตรฐานด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัยในระดับสากล พร้อมทั้งจัดสวัสดิการเพื่อดูแลพนักงานอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ระบบความเย็นในพื้นที่การผลิต อาหารที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไปจนถึงพื้นที่พักผ่อนที่ถูกออกแบบมาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/10/9XwyYUVbFCQtHKbTt2B9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="9XwyYUVbFCQtHKbTt2B9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5"></figure></div> มุ่งสู่อนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากโรงงานเล็กๆ ที่เริ่มด้วยสายการผลิตเครื่องซักผ้าถังคู่ในปี 2541 วันนี้โรงงานแอลจีที่ระยองก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของโลก ไม่เพียงเป็นแหล่งผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งออกนับล้านชิ้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ที่ผสานทั้งเทคโนโลยี ความยั่งยืน และการดูแลบุคลากรเข้าด้วยกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ แอลจียังเผยแผนงานเพิ่มเติม คือ จะลงทุนเตรียมพื้นที่ในที่ดินส่วนที่เหลือ ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับส่วนที่สร้างโรงงานไปแล้ว โดยจะเตรียมความพร้อมในด้านระบบต่างๆ เช่น ถนน ไฟฟ้า เพื่อรองรับหากมีการลงทุนจากบริษัทแม่ในอนาคต เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/it/37-points-about-lg" alt="รู้จัก LG ใน 37 ข้อ จากจุดเริ่มต้น ‘ครีมเกาหลี’ สู่ผู้ผลักดันอุตฯ อิเล็กทรอนิกส์แดนกิมจิให้ก้าวสู่ระดับโลก">รู้จัก LG ใน 37 ข้อ จากจุดเริ่มต้น ‘ครีมเกาหลี’ สู่ผู้ผลักดันอุตฯ อิเล็กทรอนิกส์แดนกิมจิให้ก้าวสู่ระดับโลก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โรงงาน LG ในไทยที่ ‘ระยอง’ ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในโลก สินค้า 80% ส่งออกไปต่างประเทศ

<h2>ไฮเออร์ สมาร์ทโฮม โชว์ศักยภาพครึ่งปีแรก 2568 กวาดรายได้เกือบ 7 แสนล้าน กำไรพุ่ง 15.6% เตรียมเร่งเครื่องขยายตลาดต่างประเทศ ตอกย้ำความเป็นผู้นำสมาร์ทโซลูชันระดับโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ไฮเออร์ สมาร์ทโฮม จำกัด บริษัทระดับโลกด้านโซลูชันสมาร์ทโฮม รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2025 โตแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมทั่วโลกสูงถึง 1.56 แสนล้านหยวน (ประมาณ 696,500.5 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีกำไรสุทธิที่เป็นของบริษัทแม่อยู่ที่ 1.203 หมื่นล้านหยวน (ราว 53,500 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 15.6% จาก 1.041 หมื่นล้านหยวน (ราว 46,300 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2025 เงินสดและเงินสดเทียบเท่ารวมอยู่ที่ 5.451 หมื่นล้านหยวน (ราว 242,700 ล้านบาท) ตอกย้ำถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความพร้อมในการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/uf75GXpDgwGyH5UyvX9d.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uf75GXpDgwGyH5UyvX9d.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีน อัตราภาษีของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น และความผันผวนของระบบ โลจิสติกส์ทั่วโลก ไฮเออร์ได้นำกลยุทธ์ 3 หลักมาใช้ในการวางแผนและดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ในครึ่งแรกของปี 2025 ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.การปรับโครงสร้างของพอร์ตสินค้าและเปิดตัวสินค้าเรือธง โดยใช้จุดแข็งของสินค้าขายดีทั้งในกลุ่มพรีเมียมและแมส เพื่อขยายฐานผู้ใช้และเพิ่มอัตราความครอบคลุมของผลิตภัณฑ์จากบริษัทในตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.การดำเนินงานแบบ Lean ซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI ผสานการทำงานของ AI และเครื่องมือดิจิทัลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์ผู้บริโภคจนถึงการส่งมอบสินค้า เพื่อเพิ่มการเปลี่ยนผู้สนใจเป็นผู้ซื้อ ลดสต็อกคงค้าง และลดค่าดำเนินการต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.การกระจายการผลิตท้องถิ่นและการเสริมพลังในแต่ละภูมิภาค เสริมสร้างการผลิตโดยท้องถิ่นเพื่อท้องถิ่น และมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับหัวหน้าส่วนภูมิภาคมากขึ้น ช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สร้างความใกล้ชิด และมอบคุณค่าที่แตกต่างให้กับผู้ใช้งาน Casarte ครองตลาดพรีเมียมต่อเนื่อง เดินหน้าเสริมพลังแบรนด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไฮเออร์ช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดในอัตราที่สูงขึ้นจากการเน้นสินค้าที่ขายดีและการปรับตำแหน่งในตลาดของแบรนด์ใหม่ ส่งผลให้รายได้ในประเทศเติบโต 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดย Casarte ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ 20% จากโซลูชันแบบครบชุด (suite-based solutions) และการขยายตัวทางดิจิทัล ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ (อ้างอิงจากข้อมูลของ GfK)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน ไฮเออร์ยังเดินหน้าสู่การเป็นแบรนด์ของปัญญาประดิษฐ์เพื่อบ้านอยู่อาศัย (AI for Home) โดยยอดขายปลีกจากผลิตภัณฑ์ชั้นพรีเมียมเติบโต 18%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Leader เน้นขยายตลาดสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์ที่แตกต่าง เช่น เครื่องซักผ้า 3 ถัง ซึ่งช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ส่วนในกลุ่มเครื่องปรับอากาศยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยซีรีส์ประหยัดพลังงานทำยอดขายเกิน 1 ล้านเครื่อง ขณะที่ Smart-Air ทำให้ยอดขายในกลุ่มไฮเอนด์เติบโตระดับเลขสามหลัก เสริมทั้งอำนาจการตั้งราคาและส่วนแบ่งตลาดอย่างแข็งแกร่ง เร่งเครื่องขยายตลาดต่างประเทศเพื่อครอบคลุมทุกภูมิภาค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้ต่างประเทศของไฮเออร์เติบโต 11.66% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยแต่ละภูมิภาคมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ภูมิภาคอเมริกาเหนือ รายได้จากแบรนด์พรีเมียมเติบโตเป็นเลขสองหลัก จากการอัปเกรดสินค้าและปรับโครงสร้างพอร์ตแบรนด์ ตอกย้ำความเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ยุโรป รายได้เพิ่มขึ้น 24.1% จากนวัตกรรมที่ปรับให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น และการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างองค์กรและห่วงโซ่อุปทานก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-ตลาดเกิดใหม่ บริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 65.4% ในตะวันออกกลางและแอฟริกา32.5% ในเอเชียใต้ และ 18.3% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ไฮเออร์ยังขยายกำลังการผลิตแบบ “Local-for-Local” ในอเมริกาเหนือและภูมิภาคหลักอื่นๆ ลดการพึ่งพาการนำเข้า ลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือในการส่งมอบ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ความเป็นท้องถิ่น และคุณภาพการบริการ เดินหน้า AI Vision Series&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไฮเออร์ สมาร์ทโฮม มีความพร้อมที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนในตลาดและความผันผวนทั่วโลก โดยพอร์ต โฟลิโอหลายแบรนด์ของบริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้ทั้งในกลุ่มพรีเมียมและกลุ่มแมส ขณะเดียวกันการดำเนินงานแบบ Lean ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็เริ่มเห็นผลตั้งแต่การทำความเข้าใจผู้บริโภคอย่างชาญฉลาด การวางแผนพอร์ตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการลดต้นทุนผ่านการทำงานด้วยระบบดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง AI ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมระบบนิเวศของสินค้า โดยเฉพาะรุ่นใหม่อย่าง AI Vision Series ที่ต่อยอดเทคโนโลยีสู่ประสบการณ์สมาร์ทโฮมที่แตกต่างยิ่งขึ้น ช่วยเสริมภาพลักษณ์พรีเมียมและสร้าง Customer Loyalty ของผู้ใช้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันการผลิตในท้องถิ่นเพื่อท้องถิ่นและการมอบอำนาจการตัดสินใจให้ทีมงานระดับภูมิภาคมากขึ้นยังช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและสร้างคุณค่าให้ไฮเออร์ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนความมั่นใจของบริษัทในการรักษาความแข็งแกร่งได้ทั้งในระยะสั้นและการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/lotus-new-campaign-with-disney-pixar" alt="‘โลตัส’ ฉลองครบรอบ 31 ปี จับมือดิสนีย์จัดแคมเปญ ‘ใจฟูทุกวัน’">‘โลตัส’ ฉลองครบรอบ 31 ปี จับมือดิสนีย์จัดแคมเปญ ‘ใจฟูทุกวัน’</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ไฮเออร์ฯ’ โชว์แกร่งครึ่งปีแรก 2568 กวาดรายได้เกือบ 7 แสนล้าน เร่งเครื่องขยายตลาดต่างประเทศ

ธวัช มานะวงศ์ ติดสวิตช์พลิกเกม Smarthome

<h2>SHARP กลับมาแล้วปีนี้ หลังเงียบกว่า 10 ปีซุ่มพัฒนาสินค้าและปรับดีไซน์ครั้งใหญ่สุดใน 52 ปี และเสริมแกร่งช่องทางขาย เผยปีนี้พร้อมสู้ศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ส่งสินค้าใหม่ทุกหมวดสู่ตลาด เปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์และดีไซน์ ดึงคนรุ่นใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในเมืองไทยมูลค่าตลาดกว่า 80,000 ล้านบาท จะยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยลบจากต่างประเทศและในประเทศโดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ทำให้มีผลต่อกำลังซื้อที่ลดลง ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและภาพรวมเศรษฐกิจที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายค่ายทั้งแบรนด์จีน แบรนด์เกาหลี และแบรนด์ญี่ปุ่น อาทิ ทีซีแอล ไฮเออร์ ไฮเซนส์ โตชิบ้า และแอลจี ได้ออกมาประกาศแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่เว้นแม้แต่ ‘ชาร์ป’ หรือ SHARP เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายใต้ บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด ที่อยู่ในตลาดนี้มามากกว่า 52 ปี ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวในตลาดเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 10 ปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิโรจน์ ทานัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด เปิดเผยว่า ชาร์ป พร้อมแล้วที่จะกลับมาทำตลาดอีกครั้งในปีนี้ โดยในไตรมาสแรกจะเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้ง 5 ผลิตภัณฑ์ มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ชอบการแต่งบ้าน ชอบสินค้าที่มีดีไซน์ และเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ กระจายตัวอยู่ในทุกพื้นที่ เพื่อครองความเป็นหนึ่งในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/qcgFL8M7GwkHUFrU6zHC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qcgFL8M7GwkHUFrU6zHC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>วิโรจน์ ทานัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทยการไฟฟ้า จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สินค้าใหม่ไตรมาสนี้จะประกอบด้วย พัดลม ชาร์ป ขนาด 18” ที่มีดีไซน์ใหม่ ทน และสวยงามเข้ากับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลได้อย่างดี โดยชาร์ปรับประกันทุกชิ้นส่วน 3 ปี คุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น และมั่นใจด้วยความปลอดภัย 3 ระบบ คือ มีอุปกรณ์ตัดไฟเมื่อความร้อนเกิน เมื่อกระแสไฟเกิน และเนื่องจากพัดลมของชาร์ปใช้พลาสติกเกรด V0 จึงไม่ลามไฟ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องฟังชั่นก์การใช้งาน ดีไซน์และความปลอดภัย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/zHyh6bsV8CRGtHXXVqcG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zHyh6bsV8CRGtHXXVqcG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันชาร์ปมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ที่มีแชร์ใกล้ผู้นำตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ และทิ้งห่างเบอร์ 3 มากขึ้น แม่จะเจอคู่แข่งจันจากจีน แต่ชาร์ปบอกว่าไม่มีผลกระทบ เพราะกลยุทธ์ของชาร์ปคือเน้นพัฒนาสินค้าที่ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่การใช้งาน แต่ผลิตให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์สวยงามเข้ากับบ้านได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากพัดลมแล้ว บริษัทยังเพิ่มไลน์หม้อหุงข้าว ชาร์ป CUBE ขนาด 1 ลิตร มีสีขาวและสีชมพูให้เลือก โดยหม้อหุงข้าวรุ่นใหม่ได้ปรับจากรูปแบบหม้อหุงข้าวที่คุ้นเคยสู่หม้อหุงข้าวมิติใหม่ที่มีดีไซน์สวยเรียบ มินิมอล เข้าได้กับทุกครัว หุงง่าย กระจายความร้อนได้ทั่วถึง เคลือบสารกันติด ทำความสะอาดง่าย ตอบโจทย์ทั้ง functional และ emotional ปัจจุบันชาร์ปเป็นผู้นำตลาดหม้อหุงข้าวด้วยส่วนแบ่งตลาด 40% จากตลาดรวมหม้อหุงข้าว 4,000 ล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/sQtZMW4DHcmJzGXu1c3H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sQtZMW4DHcmJzGXu1c3H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดหม้อทอดไร้น้ำมันขนาด 7 ลิตรในปีที่ผ่านมา ในปีนี้บริษัทได้แนะนำหม้อทอดไร้น้ำมันใหม่อีก 2 ขนาด คือ ขนาด 4.2 ลิตร และ 6.8 ลิตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำอาหารของครอบครัวยุคใหม่ทุกขนาด ที่เน้นความสะดวก เร็ว ง่าย แต่ยังได้สุขภาพที่ดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/a5sjGjXvxX1DdgPkno1u.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a5sjGjXvxX1DdgPkno1u.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้แนะนำสินค้าเตารีดไอน้ำสู่ตลาด หลังจากที่เป็นผู้นำด้านเตารีดแห้งมาแล้ว เตารีดไอน้ำ ชาร์ป ที่วางตลาดในปีนี้จะมีทั้งหมด 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ รุ่น 1,800 วัตต์ (EI-S300), 2,000 วัตต์ ( EI-S301) และ 2,400 วัตต์ (EI-S302) ที่ถูกออกแบบมาให้รีดผ้าได้ง่ายและประหยัดเวลาขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/E3dKsC4Bx9PaG7E3J8MN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="E3dKsC4Bx9PaG7E3J8MN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="4"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชาร์ปเข้าสู่ตลาดเตารีดไอน้ำเป็นครั้งแรก เพราะอัตราการใช้ในครัวเรือนยังต่ำกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กชนิดอื่น ตลาดเตารีดไอน้ำในไทยซึ่งมูลค่ารวมอยู่ที่ 2,000 ล้านบาทต่อปี มีการเติบโตต่อเนื่อง และด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ชาร์ป ดีไซน์และโครงสร้างทีมขายที่แข็งแรง เตารีดไอน้ำของชาร์ปจะเข้าถึงลูกค้าเจนเนอเรชั่นใหม่ได้” วิโรจน์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้แล้วบริษัทยังได้แนะนำเครื่องทำน้ำอุ่นชาร์ปสู่ตลาดอีกสองรุ่น ได้แก่ รุ่น MODI (โมดี้) ขนาด 3,500 วัตต์ และ 4,500 วัตต์ ถือเป็นการปรับดีไซน์เครื่องทำน้ำอุ่นครั้งใหญ่ เน้นออกแบบให้ตัวเครื่องสวยโมเดิร์น มินิมอล เข้ากับเทรนด์ห้องน้ำในปัจจุบัน และตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการแต่งบ้าน โดยสีที่ออกวางจำหน่ายแล้วมี 2 สี ได้แก่ สีขาว และสีเทา และปีนี้พร้อมเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด คือสีดำ เพื่อตอบโจทย์ทุกสไคล์ของลูกค้า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/wkvdiSuyhDxoSuLYLsFW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wkvdiSuyhDxoSuLYLsFW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="5"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กมีมูลค่าตลาดมากกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น พัดลมประมาณ 7,000 ล้านบาท หม้อหุงข้าว 4,000 ล้านบาท เตารีดไอน้ำ 2,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การกลับมาเคลื่อนไหวทางการตลาดครั้งนี้ เรามั่นใจว่าสินค้าใหม่ทุกตัวจะตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปและได้ฐานลูกค้าอายุ 25 ปีมากขึ้นจากเดิมฐานลูกค้าหลักจะอายุ 35 ปี และเพิ่มความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้า ปรับตัวให้ทันกับทิศทางของโลกธุรกิจ เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในอนาคต” วิโรจน์กล่าว ภาพ: SHARP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/lg-jeff-satur-brand-ambassador" alt="LG ทุ่มงบการตลาด 100 ล้าน เปิดตัวแอร์ใหม่มีนวัตกรรม AI พร้อมดึง ‘เจฟ ซาเตอร์’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์">LG ทุ่มงบการตลาด 100 ล้าน เปิดตัวแอร์ใหม่มีนวัตกรรม AI พร้อมดึง ‘เจฟ ซาเตอร์’ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SHARP คัมแบ็กหลังเงียบกว่า 10 ปี ปรับดีไซน์ครั้งใหญ่สุดใน 52 ปี พร้อมสู้ศึกเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

Zafer Üstüner นำ “อาร์เซลิก ฮิตาชิ” ส่งต่อความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ และ H.E. Mrs. Serap Ersoy เอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทย ได้เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักงานภูมิภาคแห่งใหม่ของบริษัท Arçelik Hitachi Home Appliances ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Arçelik  ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากตุรกี และ Hitachi Global Life Solutions บริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่น โดยหลังจากที่ทั้งสองบริษัทประกาศร่วมทุนกันแล้ว ได้ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ณ อาคารสาทร สแควร์ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก  บีโอไอ

การร่วมทุนของทั้งสองบริษัท เป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญระดับโลก ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา ระบบการผลิต เครือข่ายการตลาด และความแข็งแกร่งของแบรนด์ Hitachi เข้าด้วยกัน โดย Arçelik Hitachi Home Appliances จะรับผิดชอบการผลิต การตลาด และบริการหลังการขายของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าของแบรนด์ Hitachi ที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด โดยจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานปฏิบัติการหลัก และได้จัดตั้งสำนักงานภูมิภาคขึ้นมาดูแลและให้บริการบริษัทในเครือที่อยู่ในประเทศต่างๆ เช่น ไทย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีโรงงานที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันได้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า Hitachi หลากหลายประเภท เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เครื่องฟอกอากาศ เครื่องดูดฝุ่น เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-53732" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/one-3.jpg" alt="" width="720" height="480" />

สำหรับกลุ่ม Arçelik ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของตุรกี และอันดับ 4 ของยุโรป ภายใต้ยี่ห้อสินค้า เช่น Beko, Arçelik, Grundig, Defy ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ในนามบริษัท Beko Thai มีโรงงานที่จังหวัดระยอง ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และยังใช้ไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานภูมิภาคของกลุ่ม Beko ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events