<h2>‘กาแฟพันธุ์ไทย’ จับมือ ‘กระทิงแดง’ คอลแล็บข้ามสายพันธุ์ครั้งแรก เขย่าตลาดเครื่องดื่มไตรมาส 3 เปิดตัว 4 เมนูสายพันธุ์ใหม่ ดื่มแล้วดีดตั้งแต่เช้ายันเย็น ส่วนกาแฟพันธุ์ไทยพร้อมลงทุน 1,500 ล้านบาท เปิดอีก 600 สาขาปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทรนด์ตลาดเครื่องดื่มในเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปมากและมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยเทรนด์ที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดคือ เทรนด์เครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มให้พลังงาน เพราะผู้บริโภคต้องการทั้ง Energy ควบคู่ไปกับ Benefit&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีเทรนด์เครื่องดื่มผสมวิตามิน ที่ผู้บริโภคมักเลือกดื่มเพื่อช่วยเสริมเรื่องความงาม เช่น คอลลาเจนและวิตามิน รวมถึงเทรนด์เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ ก็เติบโตอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครื่องดื่มชูกำลัง ตลาดยังทรงๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม และคาดว่าการเติบโตทั้งปีจะลดเหลือเพียง 3% ในปีนี้จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 6% เพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบรนด์เครื่องดื่มจึงต้องขยายผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพิ่มขึ้น สร้างแบรนด์ และสร้างสรรค์กลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ตลอดเวลา เพื่อตามเทรนด์การดื่มที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับขยายฐานสู่ผู้ดื่มกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะเจน Z ที่ชอบความหลากหลาย พร้อมลองของใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า กาแฟพันธุ์ไทยจับมือกับ ‘กระทิงแดง’ ออกเมนูเครื่องดื่มข้ามสายพันธุ์สำหรับลูกค้าคนรุ่นใหม่ร่วมกันเป็นครั้งแรก ได้แรงบันดาลใจจาก 2 ทางคือ การสอบถามลูกค้าว่า ตอนเช้าดื่มกาแฟเพื่ออะไร ซึ่งได้รับคำตอบจากลูกค้าว่า “เพราะง่วง” และจาก insight จากลูกสาวของตนเอง ที่ชอบฝากซื้อกระทิงแดง เพื่อความตื่นตัวอีกระดับระหว่างการอ่านหนังสือดึกๆ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/w5qkk4ZRy9sXNr7r6TUd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="w5qkk4ZRy9sXNr7r6TUd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เครื่องดื่มใหม่ทั้ง 4 เมนูใหม่ถูกตั้งชื่อสไตล์ยาดอง ตอกย้ำแบรนด์ไอเดีย #พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้ และ #เป้าหมายถึงไวพลังใจไม่มีท้อ จากกระทิงแดง เป็นเครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่าง Functional กับ Emotional Benefits รองรับพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ในปัจจุบันที่มีความเป็น Independent Generation มากขึ้น ต้องการความแปลกใหม่ เป็นตัวของตัวเอง และมองหาเครื่องดื่มรสชาติที่แตกต่าง และบางกลุ่มทานอาหารเพื่อหาคอนเทนต์ หา New Experience และแบ่งปันบนโซเชียลมีเดียมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เครื่องดื่มทั้ง 4 เมนู ประกอบด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ช้างยกกําลังทิง ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก ‘Espresso Martini’ กับเอสเพรสโซดับเบิ้ลช็อต และกระทิงแดงครึ่งขวด มีรสเปรี้ยวนิดๆ ของมะนาว ราคา 79 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.ทิงซ่าโดดกําแพง เป็นส่วนผสมระหว่างกระทิงแดงครึ่งขวดเข้ากับสปาร์คกลิ้งโซดา และมะนาวสด ได้ฟีลสดชื่น เพิ่มพลังยามบ่าย ราคา 69 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.กำลังช้างสาว เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน พร้อมโยเกิร์ต และช็อตกระทิงแดง ปั่นกับเจลลีสตรอว์เบอร์รี ปลุกความสดชื่น ราคา 89 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.ช้างกระทืบงาน โยเกิร์ตสมูทตี้ที่ให้ความสดชื่น ลุยงานได้ทั้งวัน ราคา 89 บาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/LueVqdmE2EfHcr4s4Tyg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="LueVqdmE2EfHcr4s4Tyg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมนูเครื่องดื่มเหล่านี้จำหน่ายที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 1,580 สาขาทั่วประเทศ และบริการเดลิเวอรี่จัดส่งถึงบ้าน ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2568 - 18 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทคาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสร้างความสนุกในตลาดเครื่องดื่มและเชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่างหนุ่มสาวออฟฟิศ และนักศึกษาที่มองหาเครื่องดื่มที่ให้ทั้งรสชาติและพลังงาน และช่วยเพิ่ม Traffic ของลูกค้าและจำนวนการดื่มในร้านพันธุ์ไทยทั่วประเทศที่มีอยู่ 1,580 สาขา ได้อย่างน้อย 20% จากล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ขายอยู่เดือนละ 200 แก้วต่อสาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางด้าน วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า ความร่วมมือกับกาแฟพันธุ์ไทย จะช่วยทำให้กระทิงแดงขยายตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ จากปัจจุบันที่ฐานผู้บริโภคของกระทิงแดงคือคนวัยทำงาน มีเพียงสินค้า Redbull Soda เครื่องดื่มชูกำลังพรีเมียมเท่านั้นที่มีฐานคนรุ่นใหม่อยู่แล้ว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/4ERQPY8F4uRngZ6WMCQE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="4ERQPY8F4uRngZ6WMCQE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>วรวุฒิ พงศ์ชินภัค ประธานผู้บริหารสายงานขายและการตลาดประเทศไทย กลุ่มธุรกิจ TCP</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นการรวมพลังที่แข็งแกร่งข้ามสายพันธุ์ของสองแบรนด์ไทย ทุกเมนูในแคมเปญนี้ ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นหรือปลุกให้ตื่น แต่เป็น ‘การปลุกพลัง’ ที่ดีดให้คุณกล้าทำตามเป้าหมายในทุกๆ วันที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ” วรวุฒิ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการสื่อสารการตลาดของแคมเปญ ‘ดีดศาสตร์’ เน้นการสร้าง Engagement กับกลุ่มเป้าหมายผ่าน กิจกรรม Road Show ต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มชูกำลังโดยรวมอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3% จากที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ไว้ที่ 6% เพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากเครื่องดื่มเมนูใหม่แล้ว สุขวสากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในปีนี้บริษัทจะลงทุน 1,500 ล้านบาท เพื่อเปิดร้านกาแฟใหม่อีก 600 สาขา รวมมีสาขาทั้งหมด 2,180 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และยังวางแผนเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือใหม่ควบคู่ไปกับรเานกาแฟพันธุ์ไทยอีก 5 สาขา ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ขนาดพื้นที่ 100 ตารางเมตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้ 3,000 ล้านบาทในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5,800 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ ภาพ: กาแฟพันธุ์ไทย และกลุ่มธุรกิจ TCP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/global/chagee-comeback-to-thailand" alt="CHAGEE ร้านชาจากจีนของมหาเศรษฐีพันล้านวัย 30 ปี คัมแบ็กไทยพร้อมคอนเซ็ปต์ Tea Bar ตั้งเป้าขยายปีนี้ 5 สาขา">CHAGEE ร้านชาจากจีนของมหาเศรษฐีพันล้านวัย 30 ปี คัมแบ็กไทยพร้อมคอนเซ็ปต์ Tea Bar ตั้งเป้าขยายปีนี้ 5 สาขา</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ครั้งแรก! พันธุ์ไทย X กระทิงแดง คอลแล็บข้ามสายพันธุ์ เปิดตัว 4 เมนูใหม่ ดื่มแล้วดีดตั้งแต่เช้ายันเย็น

<h2>‘โอสถสภา’ รายงานงบปี 67 ทำรายได้จากการขาย 27,069 ล้านบาท เติบโต 3.9% มีกำไรสุทธิ 1,638 ล้านบาท แม้ลดลง 31.8% YoY เหตุจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่วนปี 68 ยังรุกสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ปักธงสู่เป้าหมายรายได้ 40,000 ล้านบาทในปี 2571</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 6,422 ล้านบาท เติบโต 6.3% QoQ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ปี 2567 มีรายได้จากการขายรวม 27,069 ล้านบาท เติบโต 3.9% YoY จากกลยุทธ์ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio) ที่ผลักดันให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีรายได้รวม 22,154 ล้านบาท เติบโต 4.8% YoY และมีการเติบโตในในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 29.6% YoY ด้วยรายได้ 6,199 ล้านบาท จากเมียนมาร์ ลาว และอินโดนีเซีย รวมถึงตลาดส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว และเริ่มขยายตลาดสู่เวียดนามซึ่งมีศักยภาพและอัตราการเติบโตสูง ด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแบบ 2-in-1 Energy + Rehydration เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งได้รับผลตอบรับดีจากกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โอสถสภามีส่วนแบ่งการตลาดรวม 45.8% โดยมีแบรนด์ M-150 ครองส่วนแบ่งการตลาด 32% ในขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์เติบโต 9.3% YoY โดยมี C-Vitt เป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีครองส่วนแบ่งการตลาด 74.5% เครื่องดื่มเปปทีนที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มคุณประโยชน์ครอบคลุมการบริโภคในโอกาสที่หลากหลาย รวมถึงเครื่องดื่มคาลพิสที่ทำการตลาดและออกสินค้ารสชาติใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในประเทศเติบโต 9.8% และในต่างประเทศเติบโต 47.7% YoY จากเมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม โดยรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์เบบี้มายด์เติบโต 15.1% YoY และยังเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์อาบน้ำเด็กต่อเนื่อง ต่อยอดสู่ผู้นำในตลาดแป้งเด็กและนำจุดแข็งความอ่อนโยนและความหอม เช่น เบบี้ มายด์ แอนด์ บียอนด์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่กว้างขึ้นทั้งในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้หญิง และครอบครัว รวมถึงการ Collaboration กับ Butterbear ที่เข้าถึงคนหลากหลายวัยให้หันมาทดลองใช้สินค้าเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่รายได้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงแบรนด์ ‘ทเวลฟ์ พลัส’ และผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายแบรนด์ ‘เอ็กซิท’ เติบโต 7.3% YoY จากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวรติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “โอสถสภาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากปรับสัดส่วนกำลังการผลิตให้เหมาะสม และการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ลดลง ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลที่มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้ บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 37.3% เติบโต 2.8% YoY โดยในไตรมาส 4 ทำสถิติอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38.5% เติบโต 3% YoY และ 2.4% QoQ และมีกำไรสุทธิ 567 ล้านบาท เติบโต 31.0% YoY และ 256.9% QoQ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 1,638 ล้านบาท ลดลง 31.8% YoY จากการปรับโครงสร้างธุรกิจผ่านการจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และรับรู้ผลขาดทุนสุทธิรวมเป็น จำนวน 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว (One-Time Expenses) อย่างไรก็ตามหากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Core Business) ในปี 2567 จำนวน 3,038 ล้านบาท เติบโต 39.3% YoY ตอกย้ำถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.30 บาท ต่อหุ้น ที่จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ดังนั้นในปี 2567 บริษัทฯ จะเสนอจ่ายเงินปันผลรวม 0.60 บาท ต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,802 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ร้อยละ 110% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ภาพ: OSP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/thai-2024-feb-2025" alt="จับตาแผนฟื้นฟูกิจการ! การบินไทยปิดปี 67 ขาดทุน 26,901 ล้านบาท ย้ำแค่ขาดทุนทางบัญชี - ผลจากการแปลงหนี้ฯ เท่านั้น">จับตาแผนฟื้นฟูกิจการ! การบินไทยปิดปี 67 ขาดทุน 26,901 ล้านบาท ย้ำแค่ขาดทุนทางบัญชี - ผลจากการแปลงหนี้ฯ เท่านั้น</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โอสถสภา เผยปี 67 มีรายได้การขายที่ 27,069 ล้าน โต 3.9% แต่กำไรฯ ลด 31.8% ผลปรับโครงสร้างธุรกิจ

<h2>โอสถสภา เผยกลยุทธ์ปรับ เปลี่ยน พร้อมรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ฝ่าสถานการณ์โควิด-19 วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยแนวทางการบริหารงานด้วยหลัก Agility ทำให้โอสถสภา สร้างกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% ในไตรมาส 3 ปี 2563 พร้อมเผยกลยุทธ์ปี 64</h2>
วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของทุกภาคธุรกิจ อุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจคือความไม่แน่นอน และผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 129 ปี และแนวทางการบริหารงานด้วยหลัก Agility ทำให้โอสถสภาสามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถฝ่าวิกฤตดังกล่าว พร้อมผลประกอบการที่เป็นไปตามแผน ด้วยกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 ในไตรมาส 3 ปี 2563

ที่ผ่านมา จุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของโอสถสภา ได้แก่ Agility หรือความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที การคาดการณ์สถานการณ์และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ รอบด้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดรูปแบบการทำงานแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตามสถานการณ์ต่างๆ และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

<figure><img class="wp-image-37256" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/วรรณิภา-ภักดีบุตร-001.jpg" alt="" width="400" height="213" /><figcaption> วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จากัด (มหาชน)</figcaption></figure>

นอกจากนี้ ยังได้มุ่งเน้น 3 กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ประกอบด้วย
<ol>
 	<li>เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนโดยรวมผ่านโครงการ Fit Fast Firm</li>
 	<li>สร้างการเติบโตโดยเจาะกลุ่มสินค้าและผู้บริโภค
ชูแบรนด์หลัก (Power Brand) อาทิ เอ็ม-150 และ ซีวิท
พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันต่อเหตุการณ์
เน้นการบริโภคในครัวเรือนและช่องทางจัดจำหน่าย E-Commerce</li>
</ol>
<ol start="3">
 	<li>รักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรักษากระแสเงินสด</li>
</ol>
สำหรับในปี 2564 นั้น โอสถสภาจะใช้กลยุทธ์ที่เน้นใน 5 ด้าน ได้แก่
<ol>
 	<li>เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ Fit Fast Firm</li>
 	<li>สร้างการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง</li>
 	<li>ขยายตลาดเครื่องดื่มซีวิท</li>
 	<li>ขยายธุรกิจในประเทศเมียนมาร์</li>
 	<li>ขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน (Sustainability)</li>
</ol>
นอกเหนือจากนั้น บริษัทมีนโยบายในการจ่ายปันผลที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของบริษัท หลังหักทุนสำรองตามกฎหมายที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลในอัตราสูงกว่านโยบายมาตลอด และยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

ด้าน ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวเสริมด้วยว่า บริษัทฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งร้อยละ 54.4 โดย "เอ็ม-150" ยังคงเป็นผู้นำตลาด ในขณะที่แบรนด์ "ซีวิท" ยังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีที่ผู้บริโภคชื่นชอบในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และมั่นใจในด้านคุณภาพ เพราะเป็นเครื่องดื่มวิตามินซีสูงรายแรก ที่พัฒนามาจากแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย

ประกอบกับการเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องดื่มวิตามิน ‘ซีวิท’ ได้เร็วกว่าแผนงาน ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวต่อเนื่องของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์และตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบัน ‘ซีวิท’ มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 32.0 และช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ‘เบบี้มายด์’ ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์หลักของโอสถสภาที่ผู้บริโภคเลือกใช้ ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในขณะนี้

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%9f%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%b2-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%9e.html">“ฟู้ดแพนด้า” ประกาศความพร้อมส่งอาหารทั่วประเทศ</a>

<header class="entry-header">

<hr />

ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a> และ <a href="https://twitter.com/Forbes_TH">ทวิตเตอร์ Forbes Thailand</a>

</header>

โอสถสภา เผยกลยุทธ์ปี 64 ปรับ เปลี่ยน พร้อมรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

<h2>ตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังเมืองไทยมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท คือโอกาสใหญ่ที่ผู้ผลิตหลายค่ายต่างใช้กลยุทธ์ช่วงชิงความเป็นหนึ่ง</h2>
เครื่องดื่มบำรุง/ชูกำลังหลายยี่ห้อที่ต่างอัดเม็ดเงินหลายร้อยล้านบาทไปกับงบโฆษณาและโปรโมชั่นเด็ดโดนใจเพื่อกระตุ้นการขาย คือส่วนหนึ่งที่สะท้อนความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ประมาณการภาพรวมตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์บรรจุขวดพร้อมดื่มในรูปของเหลว) ปี 2559 ว่ามีมูลค่าราว 2.25-2.3 แสนล้านบาท หดตัวเชิงมูลค่าในช่วง 3.2-5.3% เมื่อเทียบกับปี 2558

ตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในไทยยังมีแนวโน้มเติบโต ดูได้จากผลวิจัยของ Nielsen บริษัทให้ข้อมูลและการประเมินผล ที่ระบุว่ามีการเติบโตเฉลี่ย 2.6% ต่อปีระหว่างปี 2556-2558 ต่ำกว่าเครื่องดื่มประเภทซอฟต์ดริงค์และน้ำดื่มที่เติบโต 6.3% และ 9.5% ตามลำดับ ผู้บริโภคเครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีรายได้ขั้นต้นปานกลางอายุ 26-45 ปี ที่ชอบการดื่มแบบขวดมากกว่ากระป๋อง

<img style="width: 680px; height: 508px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9d134a34fbbf416cf2613533dadc2981.png" alt="" />
ยี่ห้อที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาด คือ เอ็ม-150 ของ บริษัท โอสถสภา จำกัด ขณะที่ยี่ห้อคาราบาวแดง ซึ่งเปิดตัวในปี 2545 ภายใต้ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG มาเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 21.1% อันดับ 3 คือยี่ห้อกระทิงแดง ผลิตโดย บริษัท ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด ในกลุ่มกระทิงแดง ที่วางตลาดมาตั้งแต่ปี 2524 มีส่วนแบ่ง 16.3% มี sports marketing เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ เช่นสนับสนุนการแข่งขันรถ

ด้านการเติบโตของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในปีนี้ ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละยี่ห้อยังคงคาดหวังอนาคตที่สดใส วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ของโอสถสภา คาดการณ์ว่าปีนี้ GDP ของประเทศจะเติบโต 3-4% คาดว่าโอสถสภาจะมีการเติบโตตาม GDP ประเทศ ส่วน สุรชัย จงเลิศวราวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของเครื่องดื่มกระทิงแดง ก็คาดว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ปี 2560 จะโต 3-5% และ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CBG ก็ยังตั้งมั่นกับการจะก้าวขึ้นครองเบอร์หนึ่งให้ได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ทว่าการเดินไปสู่เป้าหมายของ CBG ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เช่น การประกอบธุรกิจที่เป็นรูปแบบโฮลดิ้งที่มีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลักหากภาพลักษณ์ของ ยืนยง โอภากุล ซึ่งเป็น presenter และ brand ambassador ของคาราบาวแดงเปลี่ยนไปก็อาจส่งผลด้านลบต่อบริษัท เป็นต้น

แม้ต่างฝ่ายจะเป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่ตลาดที่มีการแข่งขันสูงไม่เคยทิ้งจังหวะรอใคร การวางใจในสถานการณ์แม้เพียงชั่วครู่อาจทำให้เสียตำแหน่งไปได้อย่างง่ายดาย

<hr />

<a href="https://goo.gl/kkiaJt">คลิกอ่านฉบับเต็ม "สู้ศึกสมรภูมิเครื่องดื่มบำรุงกำลัง" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/kkiaJt"><img style="width: 300px; height: 392px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8b0b2b9aeabc084e54cf4ef4888dc65e.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events