<h2>จากกระเป๋ายางหน้าตาเหมือน Crocs ที่ใครๆ เคยสบประมาท Kim Vaccarella พลิกวิกฤตเป็นโอกาส จนปั้น Bogg Bag ขายดีทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี่คือเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ แค่ความกล้าและลองลงมือทำ ก็อาจพาธุรกิจเล็กๆ สู่แบรนด์ระดับโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Kim Vaccarella วัย 55 ปี เริ่มต้นทำ Bogg Bag ตั้งแต่ปี 2008 ในฐานะงานเสริมเล็กๆ และยอมรับว่าเธอ “กลัวตาย” กับการตัดสินใจทุ่มเททำเป็นงานหลักเต็มเวลา แต่ความสำเร็จที่บังเอิญเกิดขึ้นระหว่างการฟื้นฟูจากพายุเฮอริเคนแซนดี้ และกระแสไวรัลในกลุ่มคุณแม่บน Facebook ทำให้รายได้และความต้องการพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล จากผนังโล่งสู่กระเป๋า Tote สีสันจัดจ้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักงานใหญ่ของ Bogg Bag ที่เมืองเซคอคัส รัฐนิวเจอร์ซีย์ มีการตกแต่งเรียบง่าย เพียงป้ายไฟนีออน “#boggbabe” และชั้นโชว์กระเป๋าไม่กี่ใบ ต่างจากตัวสินค้าที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส ตั้งแต่ชมพูบับเบิลกัมไปจนถึงน้ำเงินเข้ม ซึ่งทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและสร้างฐานแฟนคลับเหนียวแน่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหตุผลที่ออฟฟิศดูเรียบๆ ก็เพราะ Vaccarella ต้องย้ายสำนักงานถึง 6 ครั้งใน 5 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งก็ต้องขยายโกดังเพิ่มเป็นเท่าตัวเพื่อรองรับจำนวนสต็อกที่โตขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังโควิด-19 คลี่คลาย Bogg มียอดออเดอร์ในแบ็กล็อกยาวถึงสองปี เนื่องจากกระแสสั่งซื้อถาโถมจากคนที่เห็นกระเป๋าผ่านโซเชียลมีเดีย Vaccarella เล่าว่าเพื่อนๆ ยังแซวว่า “เธอน่ะโผล่เต็มกลุ่ม Peloton Moms เลยนะ” ซึ่งเป็นกลุ่มใน Facebook ที่มีสมาชิกกว่า 110,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปีที่แล้ว Bogg ทำยอดขายได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูก Forbes ประเมินมูลค่าแบบคอนเซอร์เวทีฟที่ 88 ล้านเหรียญ ทั้งยังตั้งเป้ารายได้ 170 ล้านเหรียญในปี 2025 โดยอาศัยพลังจาก Facebook, TikTok และ Instagram ที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มแม่วัยรุ่น พยาบาล และครูผู้ใช้ชีวิตวุ่นวาย ต้องพกของเยอะ และชอบกระเป๋าที่ทนทาน&nbsp; &nbsp; ที่น่าสนใจคือ Bogg Bag เพิ่งเริ่มใช้งบการตลาดจริงจังในปี 2024 ก่อนหน้านั้นโตมาได้ด้วยพลังของการบอกต่อและไวรัลล้วนๆ ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 80 คน เพิ่มจาก 60 คนเมื่อปีก่อน กระเป๋าที่เกิดจากแรงบันดาลใจ Crocs&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Bogg Bag มีหลายไซส์ ตั้งแต่รุ่นเล็ก “Bitty” ราคา 60 เหรียญ ไปจนถึงรุ่นใหญ่ดั้งเดิมราคา 90 เหรียญ วางขายตามร้านค้าชั้นนำอย่าง Dick’s Sporting Goods และ Target ที่ถึงขั้นมีรุ่นพิเศษหน้าตาคล้ายตะกร้าช็อปปิ้งของ Target เอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วัสดุทำจาก EVA (ethylene-vinyl acetate) พลาสติกที่ดูคล้ายยาง และเจาะรูด้านหน้า-หลัง ทำให้หน้าตาเหมือนลูกผสมระหว่างรองเท้า Crocs กับกระเป๋า Birkin ซึ่ง Vaccarella ตั้งใจออกแบบไว้ตั้งแต่แรก เพราะเดิมทีเธออยากเสนอไอเดียนี้ให้ Crocs หลังเห็นบริษัทซื้อกิจการ Jibbitz (แบรนด์เครื่องประดับรองเท้า) ไป 10 ล้านเหรียญในปี 2006 เธอคิดว่าไอเดียกระเป๋าน่าจะสร้างมูลค่าได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้าน อุปสรรคและการล้มลุกคลุกคลาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเริ่มต้นในปี 2008 ไม่ง่ายเลย Vaccarella ไม่มีประสบการณ์แฟชั่น แถมจบแค่มัธยม เธอทำงานด้านสินเชื่ออสังหาฯ มาก่อน พอเสนอไอเดียให้ร้านค้าในนิวยอร์กก็ถูกปฏิเสธแทบทุกเจ้า แม้แต่คนจาก Crocs ที่เธอโทรไปคุยยังบอกว่า “เราไม่รับไอเดียจากคนนอก โชคดีละกัน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คำวิจารณ์ที่ได้ยินซ้ำๆ คือ “กระเป๋ามันใหญ่เกินไปหน่อย ดูใช้ประโยชน์จริงจังมากกว่าสวย ไม่มีใครอยากซื้อซ้ำหรอก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายเธอตัดสินใจทำตัวอย่างเอง และนำไปโชว์ตามงานแฟร์ในปี 2012 เธอถึงขั้นกล้าทุ่มเงินกองทุนบำนาญของสามีและเงินเรียนของลูก มาซื้อกระเป๋าหนึ่งคอนเทนเนอร์เต็มๆ ซึ่งมีสิรค้าประมาณ 1,200 ใบ แต่เมื่อของมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืน ความฝันแทบพังทลาย เพราะกระเป๋ามีรอยดำเป็นเส้น ๆ จากความผิดพลาดในกระบวนการย้อมสี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขายไม่ได้แน่นอน” เธอคิดในตอนนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่เธอกลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เธอเอากระเป๋าที่มีตำหนิไปบริจาคให้ผู้ประสบภัยเฮอริเคนแซนดี้ในเดือนตุลาคม 2012 กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ผู้รับใช้แล้วพบว่ากระเป๋าทนทาน กันเลอะง่าย จึงเริ่มมีการติดต่อขอซื้อเข้ามาเรื่อยๆ แรงส่งจากชุมชนออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากนั้น Bogg Bag กลายเป็นกระแสในกลุ่มคุณแม่ชานเมืองบน Facebook และต่อมาแพร่ไปสู่ผู้ใช้รุ่นใหม่บน TikTok และ Instagram ทำให้ยอดขายทะยานต่อเนื่อง Kayla Gresh อินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์วัย 29 ปีที่มีผู้ติดตาม 1.6 ล้านคน เล่าว่า วิดีโอที่มี Bogg Bag ของเธอมักทำยอดวิวดี และกลายเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างคนที่ “ไม่เข้าใจว่าทำไมดัง” กับคนที่ “ปลื้มสุดๆ”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/6xU6FBar3DkhqRa2mtRB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="6xU6FBar3DkhqRa2mtRB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> จากร้านเล็กสู่เครือข่ายใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกวันนี้ Bogg Bag มีขายในกว่า 1,900 จุดจำหน่าย แต่ Vaccarella ยังยกเครดิตให้ร้านค้าขนาดเล็กที่ช่วยปั้นแบรนด์ตั้งแต่ต้น Jeff Glik เจ้าของห้างเสื้อผ้าในมิดเวสต์เล่าว่า ได้ยินเพื่อนจากฟลอริดาบอกให้รีบสั่งสินค้าในปี 2018 เขาเลยลองสั่งล็อตแรกและขายหมดในสองสัปดาห์ ล็อตถัดไปสามเท่าก็หมดเร็วเหมือนเดิม ถึงขั้นสั่งไปหนึ่งคอนเทนเนอร์เต็มๆ และแม้จะต้องจ่ายมัดจำครึ่งหนึ่งล่วงหน้า แต่เขาก็ยอมเสี่ยง และสุดท้ายขายหมดในเวลาอันสั้น ก้าวสู่การลงทุนครั้งใหญ่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะเริ่มทุ่มเทเต็มตัวในปี 2018 ตอนอายุ 48 แต่ Vaccarella ไม่เคยระดมทุนจากภายนอกเลย จนถึงปี 2023 โดยก่อนหน้านั้นเธอได้เพียงแต่กู้ส่วนตัว 120,000 เหรียญจากเจ้านายเก่าในบริษัทสินเชื่ออสังหาฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เธอเคยปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากบริษัทมหาชน (รายละเอียดถูกเก็บเป็นความลับ) จนวันหนึ่งมีสายจาก Bobby Greenleaf ผู้จัดการของนักร้องดัง Post Malone ซึ่งเล่าว่าเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กลายเป็นแฟนกระเป๋านี้ อยากเชื่อมต่อเธอกับ Electric Feel Ventures กองทุน VC ของวงการบันเทิง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ตอนแรกเธอจะลังเล แต่สุดท้ายก็ได้ทำดีลกับกลุ่มนักลงทุนที่นำโดย Andrew Rosen อดีตผู้บริหาร Calvin Klein และ Lew Frankfort อดีตซีอีโอ Coach เพื่อซื้อหุ้น 40% ของบริษัทในมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านเหรียญ โดยเธอยังรักษาการควบคุมไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดีลนี้ช่วยให้ Bogg Bag สร้างระบบโกดังและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตมหาศาล จากวันนี้สู่อนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน Vaccarella เน้นออกสีใหม่ทุกซีซัน และเปิดตัวอุปกรณ์เสริมที่ทำให้กระเป๋าปรับแต่งได้มากขึ้น ในวัย 55 ปี (และเพิ่งติดทำเนียบ 50 Over 50 ปี 2025) เธอบอกว่าอยากย้อนบอกตัวเองในอดีตให้เชื่อมั่นในตัวเองมากกว่านี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ฉันเคยกลัวสายตาคนอื่นจนเก็บหลายๆ ไอเดียไว้ ไม่กล้าทำจริง” เธอกล่าว “ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ถ้าอยากทำอะไร จงลองทำเลย” แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbes.com/sites/lindseychoo/2025/07/30/how-this-founder-turned-a-crocs-inspired-tote-into-a-100-million-business/" alt="How This Founder Turned A Crocs-Inspired Tote Into A $100 Million Business">How This Founder Turned A Crocs-Inspired Tote Into A $100 Million Business</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/mcbillionaires-fast-food-restaurants-are-classrooms-that-create-billionaires" alt="McBillionaires เมื่อร้านฟาสต์ฟู้ด คือห้องเรียนสร้างมหาเศรษฐีโลก">McBillionaires เมื่อร้านฟาสต์ฟู้ด คือห้องเรียนสร้างมหาเศรษฐีโลก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘Bogg Bag’ แรงบันดาลใจจาก Crocs สู่แบรนด์กระเป๋า 100 ล้านเหรียญ

Delvaux แบรนด์เครื่องหนังระดับตำนานเกือบ 200 ปี จากเบลเยียม พร้อมเชื่อมต่อความ Luxury เปิดตัวสาขาแรกในไทย

<h2 class="p1">แม้ อุตสาหกรรมฟอกหนัง ในปีที่ผ่านมา จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีมูลค่าส่งออกรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท และแม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะไม่สดใสนัก แต่เนื่องเพราะสินค้าที่ทำจากหนังสัตว์ยังคงเป็นสินค้ามีราคาและมีความต้องการสูง เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่มีค่าและมีความทนทาน ทำให้สินค้ายังคงเป็นที่ต้องการของตลาด</h2>
แต่ก็ต้องยอมรับว่า แนวโน้มของ อุตสาหกรรมฟอกหนัง ในปีนี้ เป็นปีที่มีความท้าทายมาก เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเราต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างมาก เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงประเทศคู่ค้าอื่นๆ ซึ่งปัจจัยนี้เป็นประเด็นหลักที่อุตสาหกรรมฟอกหนังจะต้องจับตามอง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งโดยรวมแล้วเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินมีความผันผวนส่งผลต่อการคำนวณต้นทุนในการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้ในการผลิต
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่การลงทุนในธุรกิจฟอกหนังในประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความสนใจ เพราะมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่กลุ่มฟอกหนังมีระบบบำบัดน้ำเสียที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆ โดยเฉพาะกับคู่ค้าที่ให้ความสำคัญเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยใช้ได้งบประมาณและเวลาในการพัฒนาเรื่องการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาทสร้างระบบกำจัดน้ำเสียทั้ง 2 แห่ง บนเนื้อที่กว่า 52 ไร่ และมีการปรับปรุงและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้กับระบบกำจัดน้ำเสียทั้งสองแห่งอยู่ตลอดเวลา
นอกจากการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้ประกอบการของไทยยังดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของภาครัฐอย่างจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังของไทยได้รับการจับตามองและเป็นตัวเลือกแรกๆ ซึ่งแม้จะมีประเทศเวียดนามเป็นคู่แข่งที่สำคัญ แต่เวียดนามก็ยังมีข้อจำกัดหลายด้าน ทำให้ลูกค้านิยมและไว้วางใจให้โรงงานฟอกหนังของไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าให้


<figure><img class="size-full wp-image-9987" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/-2-e1561727544583.jpg" alt="กระบวนการฟอกหนัง อุตสาหกรรมฟอกหนัง" width="533" height="800" /><figcaption> กระบวนการฟอกหนัง</figcaption></figure>
เช่นเดียวกับทักษะทางด้านแรงงานฝีมือ ซึ่งผู้ประกอบการในไทยล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ สามารถผลิตสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
แม้ว่าอุตสาหกรรมจะอยู่ในจุดที่ลูกค้าเชื่อมั่นแล้วก็ตาม แต่ผู้ประกอบการก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะปรับปรุงระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมต่างๆ ให้ดีขึ้น จากเดิมที่มุ่งมั่นที่จะบำบัดน้ำเสียจากสถานประกอบการ ปัจจุบันผู้ประกอบการหันมาปรับปรุงทางด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดขยะ กำจัดตะกอน และจัดทำโครงการศึกษาเรื่องขยะชีวมวลร่วมกับทางภาครัฐและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการในหลายๆ ส่วนต่างตั้งใจที่จะพัฒนาให้อุตสาหกรรมฟอกหนังไทยมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมตามกระแสการดำเนินงานและการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%84%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9b.html">ความมุ่งมั่นของไทยต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน</a></li>
</ul>
แม้จะมีอุปสรรคที่ผู้ประกอบการยังคงติดปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องของเทคนิคการผลิตสมัยใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุน ข้อกฎหมายการส่งออกสินค้าประเภทหนังฟอกสำเร็จรูปที่ทำให้ผู้ซื้อยังลังเลที่จะสั่งสินค้าจากไทยเพราะยังมีกำแพงภาษีส่งออกสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการและลูกค้าได้รับความลำบากในการตีความสินค้าส่งออก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทยได้ดำเนินการเจรจากับทางภาครัฐเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขประเด็นนี้ได้ และจะทำให้เกิดการลงทุน รวมถึงการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ต่อลูกค้าและนักลงทุนต่างประเทศ


<figure><img class="size-full wp-image-9988" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/-e1561727574499.jpg" alt="ผลิตภัณฑ์หนังที่ฟอกแล้ว อุตสาหกรรมฟอกหนัง" width="800" height="600" /><figcaption> ผลิตภัณฑ์หนังที่ฟอกแล้ว</figcaption></figure>
ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ยังมีปัจจัยบวกเล็กๆ ของอุตสาหกรรมฟอกหนัง นั่นคือ การที่ราคาวัตถุดิบหนังปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันลดลงต่ำสุดในรอบ 10 ปีแล้ว จุดนี้ทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบลดลง แต่ก็จะพบกับปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดลดลงไปด้วย ดังนั้น ปีนี้จึงถือว่าเป็นปีที่ยังน่าเป็นห่วงสำหรับธุรกิจฟอกหนัง ซึ่งทางสมาคมพยายามที่จะช่วยผู้ประกอบการให้ผ่านช่วงเวลาเช่นนี้ไปให้ได้
โดยเป้าหมายของสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย คือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน มีการผลักดันในเรื่องของการปรับปรุงการผลิต แก้ไขปัญหา ข้อกฎหมาย สนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและการบริหารงานให้ตอบรับกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงการค้าของตลาดโลก
ขณะที่ปัจจัยท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องเจอในปีนี้ มีทั้งความผันผวนสูงจากภาวะการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฟอกหนังจะต้องศึกษาถึงกระบวนการทางด้านการเงิน การติดต่อการค้ากับต่างประเทศ และการเข้ามาลงทุนจากกลุ่มทุนต่างประเทศให้มากขึ้น โดยต้องมีการปรับปรุงระบบการผลิตและการจัดการทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เพื่อทำให้อุตสาหกรรมฟอกหนังไทยเป็นไปอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในด้านต่างๆ รวมถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ได้ผลผลิตมากขึ้น และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามไปด้วย
ทั้งหมดนี้จะทำให้ผู้ประกอบการฟอกหนังสามารถดำเนินกิจการได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดภาวะ disruption ในภาคอุตสาหกรรมในภาวะปัจจุบันแม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันในอนาคต รวมถึงการถูกรบกวนหรือแทรกแซงจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
แต่อุตสาหกรรมฟอกหนัง ซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่อยู่มานานและมีความสำคัญกับประเทศไทย ขณะที่สินค้าเครื่องหนังของไทยก็เป็นที่รู้จักและเป็นสินค้าส่งออกสำคัญตั้งแต่อดีต นั่นทำให้อุตสาหกรรมไทยยังคงได้รับความเชื่อใจและยังคงดำเนินธุรกิจได้ถึงปัจจุบัน และทำให้ ณ วันนี้ ประเทศไทยก็ยังคงเป็นเจ้าตลาดอุตสาหกรรมฟอกหนังในอาเซียนได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
&nbsp;

<img class="alignnone size-full wp-image-9985" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/สุวัชชัย-วงษ์เจริญสิน.jpg" alt="สุวัชชัย-วงษ์เจริญสิน นายกสมาคม อุตสาหกรรมฟอกหนัง ไทย" width="300" height="300" />
สุวัชชัย วงษ์เจริญสิน
นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย

การปรับตัวของ "อุตสาหกรรมฟอกหนัง" ยุค Technology Disruption

<h2 class="p3">Hermes เผยโฉมร้านใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ICONSIAM กรุงเทพมหานคร ร้านแห่งใหม่ล่าสุดนี้งดงามด้วยรายละเอียดของการออกแบบสถาปัตยกรรมโดย RDAI ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบจากปารีส ในร้านสองชั้นมีพื้นที่รวมถึง 368 ตร.ม. ซึ่งเป็นร้าน Hermes ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย</h2>
Hermes ได้เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 21 ปี การเปิดตัวร้านแห่งใหม่นี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงการให้ความสำคัญกับประเทศไทยที่เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมาอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ สำหรับจุดหมายปลายทางแห่งใหม่นี้ Hermes ได้เตรียมที่จะมอบความตื่นตาตื่นใจให้กับแขกทุกท่าน ด้วยผลงานสร้างสรรค์อันเป็นที่สุดจากช่างฝีมือด้วยความรู้ที่ถูกสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ในทันทีที่แขกผู้มาเยือนก้าวเข้าสู่ร้าน จะพบกับโลโก้ ex-libris อันเป็นเอกลักษณ์ของร้าน Hermes และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร้านผ่านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ พื้นหินขัดสีชาและน้ำตาลเทาฝังด้วยไวท์สโตนดูเรียบง่ายสะอาดตา ด้านหน้าของร้านเป็นกระจกพับซ้อนขนาดใหญ่ที่สูงเด่นสง่างาม และเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งด้านในที่ลาดเอียงไปในทิศทางเดียวกันกับกระจกด้านนอก ให้ความรู้สึกที่โดดเด่นและแตกต่าง
<img class="alignnone size-full wp-image-2248" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Hermes_IconSiam_G-Floor_Maison1-e1543580736485.jpg" alt="" width="800" height="614" />
ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟ Grecques lights ที่ถูกออกแบบขึ้นตั้งแต่ปี 1925 เป็นเอกลักษณ์ของร้าน Hermes ดึงดูดความสนใจของผู้มาเยือนให้ได้สัมผัสความสวยงามของพื้นที่ต้อนรับในชั้น Main floor ของร้าน
ในส่วนของการจัดแบ่งโซนนั้นแยกออกเป็นสี่ส่วนหลัก แต่ละส่วนถูกแบ่งด้วยบานกระจกขนาดใหญ่ จัดแสดงสินค้าได้แก่ ผ้าพันคอซิลค์ น้ำหอม เครื่องประดับแฟชั่น ตามมาด้วยส่วนของเครื่องหนัง เครื่องแต่งกายของบุรุษและสตรี และส่วนของนาฬิกาและเครื่องประดับจิวเวลรี่ แขกผู้มาเยือนจะรู้สึกผ่อนคลายและได้ใช้เวลาอย่างเป็นส่วนตัวในขณะที่ชมสินค้าของ Hermes ท่ามกลางทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาที่น่าประทับใจ
<img class="alignnone size-full wp-image-2249" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Hermes_IconSiam_G-Floor_MRTW-e1543580787785.jpg" alt="" width="800" height="533" />
ทั้งสองชั้นของร้านถูกเชื่อมด้วยบันไดโปร่งที่ถูกออกแบบมาจากหินและไม้พิเศษ ระหว่างทางเดินลงไปที่ชั้น Ground floor สามารถมองออกไปเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเข้าสู่ชั้นนี้จะเป็นมุมมองที่เปิดกว้างออกไปสู่ตัวอาคารด้านนอก ซึงสินค้าในกลุ่ม Equestrian ที่เกี่ยวข้องกับม้าอันเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์จะถูกจัดแสดงอยู่ในชั้นนี้ พร้อมด้วยสินค้าในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านที่มาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
<img class="alignnone size-full wp-image-2250" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Hermes_IconSiam_exterior_day2-e1543580829851.jpg" alt="" width="640" height="800" />
เช่นเดียวกับความมุ่งมั่นของ Hermes ที่เน้นถึงความประณีตสวยงามในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในทุกชิ้นให้ดีที่สุด ความประณีตงดงามของกระจกส่วนหน้าของร้านได้รับแรงบันดาลใจจากกระทงของไทย ที่ถูกประดับด้วยตาข่ายถักระยิบระยับดุจแสงเทียน โอบล้อมร้านทั้งสองชั้นไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว
เพื่อเป็นการฉลองร้านใหม่นี้ทาง Hermes มีสองผลิตภัณฑ์พิเศษที่ถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมวยไทย ได้แก่ กระเป๋า kit bag ที่สร้างสรรค์ขึ้นจาก H canvas และ Swift calfskin สี turquoise และถุงมือชกมวยทำจากหนังสีเข้ากัน ทั้งสองผลิตภัณฑ์ประดับด้วย calfskin badge และ tiger head ที่ออกแบบและวาดด้วยมือ ผลงานทั้งหมดสร้างสรรค์โดยนักธรรมชาติวิทยา Robert Dallet 
<img class="alignnone size-full wp-image-2251" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Hermes-Products-Celebration-Iconsiam.jpg" alt="" width="800" height="800" />

<img class="alignnone size-full wp-image-2245" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Ribbon-Cutting-e1543577264962.jpg" alt="" width="800" height="533" />
ที่ Hermes การแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ความหลงใหลในการสร้างสรรค์อนาคต และความเคารพในประวัติอันเก่าแก่ คือสายใยที่เชื่อมโยงเราไว้อย่างแนบแน่นตั้งแต่ปี 1837 กว่า 180 ปีแล้วที่ความรักในการสร้างสรรค์งานศิลปะได้หลอมรวมจิตวิญญาณของตระกูล Hermes และช่างฝีมือไว้ยาวนานกว่าหกรุ่น เพื่อผลงานคุณภาพที่ประณีตและยอดเยี่ยมที่สุด จากชิ้นงานแรกที่ทำขึ้นในตระกูลมาสู่คอลเล็คชั่นทรงคุณค่าที่เป็นออริจินัลในวันนี้ เรายังคงยึดมั่นในคุณค่าที่เป็นหัวใจแห่งอิสรภาพของการสร้างสรรค์ ผสานด้วยงานฝีมือที่ล้ำค่า นวัตกรรม และความเป็นเลิศที่ยังคงสะท้อนอยู่ในผลงานทุกชิ้นจนถึงปัจจุบัน
Hermes เป็นบริษัทของครอบครัวที่อยู่ภายใต้การนำของผู้สืบทอดรุ่นที่หกทั้งสองท่าน ได้แก่ Axel Dumas ในฐานะ CEO และ Pierre-Alexis Dumas ในฐานะผู้ดูแลด้าน creative direction ซึ่งทั้งสองท่านนั้นเป็นผู้สืบต่อ Hermes ในรุ่นที่ 6 สำหรับการออกแบบสโตร์และสถาปัตยกรรมทั่วโลกของ Hermes นั้นจะอยู่ในการดูแลของบริษัท RDAI ภายใต้การบริหารของ Denis Montel ผลิตภัณฑ์ของ Hermes นั้น สามารถค้นพบได้จากร้านทั้ง 308 แห่งทั่วโลก

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events