ลิขสิทธิ์ที่ได้รับจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลกสู่การสร้างรากฐานอาณาจักรอันแข็งแกร่งตลอดช่วง 6 ทศวรรษในฐานะผู้นำตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทย พร้อมยกเครื่ององค์กรเติมเต็มพอร์ตเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอลล์ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยความมุ่งมั่นขับเคลื่อน ไทยน้ำทิพย์ ขึ้นแท่น “Total Beverage Company” ผงาดระดับโลก
รอยยิ้มของความสุขสดชื่นหลังได้จิบเครื่องดื่มซาบซ่าในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวไม่เพียงเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่คุ้นเคยนานนับทศวรรษ แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ผู้ชมคว้าขวดน้ำอัดลมสัมผัสรสชาติความซ่าจนหยดสุดท้ายตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ภายใต้การผลิตและจัดจำหน่ายของผู้นำในตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากแบรนด์ระดับโลก พร้อมสร้างการเติบโตตลอดช่วงเวลา 60 ปี ต่อเนื่องถึงการขยายธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอลล์ครบวงจร ด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
“Coca-Cola เข้ามาในประเทศปี 2492 โดยมีบริษัทอื่นนำเข้ามา ส่วนไทยน้ำทิพย์เกิดขึ้นในปี 2502 เข้าไปซื้อกิจการและมีบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) ร่วมถือหุ้น ซึ่งปัจจุบันเราถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 พร้อมพัฒนาบริษัทให้เติบโตต่อเนื่อง โดยเรียนรู้จากความสำเร็จและนำความผิดพลาดเป็นบทเรียนแก้ไขปรับปรุงทำให้ดีขึ้น” พรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เริ่มต้นเล่าถึงยุคแรกในรุ่นปู่ โดย พจน์ สารสิน เป็นผู้ก่อตั้งและส่งมอบให้บุตรชายคนโต คือ พงส์ สารสินในรุ่นสอง ก่อนจะเป็นพรวุฒิรับช่วงการกุมบังเหียนอาณาจักรในปัจจุบัน
แม้จะเป็นทายาทที่ได้รับการวางตัวให้สืบทอดธุรกิจ แต่บุตรชายคนสุดท้องของตระกูลสารสินตระหนักถึงความสำคัญของการสั่งสมความรู้และประสบการณ์เพื่อแสดงฝีมือพิสูจน์ความสามารถและความพร้อมเป็นผู้นำสร้างการเติบโตให้บริษัท ด้วยการเลือกศึกษาด้านปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจที่ Boston University และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ จาก Pepperdine University สหรัฐอเมริกา พร้อมเริ่มต้นทำงานในธุรกิจของครอบครัวทันทีที่สำเร็จการศึกษาในปี 2528
ถอดบทเรียนขึ้นแท่นผู้นำ
กว่าจะนั่งเก้าอี้ประธานกรรมการในปี 2556 พรวุฒิเรียนรู้การทำงานในแต่ละแผนกรวมกว่า 28 ปีจากตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโฆษณาและส่งเสริมการขาย ขยับสู่ผู้จัดการสายงานการตลาดและเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (การตลาดและโรงงาน) รวมถึงผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส (ขายและการตลาด) จนถึงการเป็นรองประธานกรรมการ ซึ่งตลอดระยะเวลาทายาทรุ่นสามของสารสินได้เป็นกำลังสำคัญในการริเริ่มและผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นสู่ระดับนานาชาติ รวมถึงการขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศลาว
นอกจากนี้ พรวุฒิยังเป็นแกนนำหลักในการพัฒนาศักยภาพและการลงทุนครั้งใหญ่ของระบบซัพพลายเชน ทั้งยังพัฒนาการกระจายสินค้าของบริษัทให้มีความทันสมัยในฐานะบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแบรนด์ “โคคา-โคลา” ทั่วประเทศ (ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร ระนอง ยะลา กระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง พัทลุง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล ปัตตานี และนราธิวาส) โดยครองความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ของไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง เช่น โค้ก แฟนต้า สไปรท์ ชเวปปส์ รูทเบียร์ เอแอนด์ดับบลิว รวมถึงน้ำส้มมินิทเมด สแปลช น้ำดื่มน้ำทิพย์ เครื่องดื่มอควาเรียส ฟิวซ์ที เป็นต้น
“ผมเรียนรู้ทุกวัน และไม่หยุดการเรียนรู้ ผมถอดบทเรียนจากความผิดพลาด และพยายามไม่พลาดซ้ำ ซึ่งบริษัทของเราเป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเป็นฟังก์ชั่นหลักของไทยน้ำทิพย์ เราพยายามปรับระบบให้เป็นพรีเซลล์ เพื่อจะได้ทราบจำนวนล่วงหน้า และเตรียมส่งสินค้าไม่ให้สูญเปล่า ซึ่งสามารถทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น”
ขณะเดียวกันพรวุฒิยังสามารถยกเครื่ององค์กรสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ชื่อของบริษัทกลับมาผงาดเป็นอันดับ 1 อีกครั้ง ด้วยการสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งที่เป็นลูกค้ารายย่อยจำนวนมากกว่า 200,000 ร้านค้า พร้อมปรับโมเดลธุรกิจในด้านโครงสร้างของสินค้าที่จัดจำหน่ายในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมตามหลัก “BPPC” ประกอบด้วย Brand Price Pack และ Chanel รวมถึงการให้ความสำคัญกับฝ่ายขาย การตลาด และการจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับแข่งขันหรือความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
“ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ 12-13 ปีที่แล้ว เราต้องเปลี่ยนเพราะโมเดลที่ทำอยู่ ยิ่งทำยิ่งเสียส่วนแบ่งตลาด รายได้อาจจะดูโอเค แต่มาร์จิ้นลดลง ซึ่งย้อนไปก่อนหน้านั้น 10 ปีต้องยอมรับว่าเราเดินผิดทางที่เน้นตลาดโมเดิร์นเทรดมากเกินไปจนไม่ได้สนใจรายย่อยที่เป็นจุดแข็งของเรา ดังนั้น เราจึงต้องกลับไปให้ความสำคัญรายเล็กรายน้อย พร้อมพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญพอที่จะดีลกับโมเดิร์นเทรด”
รวมถึงการพัฒนาและปรับปรุงด้านการผลิตตามแนวทาง “Lean Management” โดยเน้นความคุ้มค่าและลดความสูญเสียให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ด้านศักยภาพบุคลากร การสร้างกระบวนการทำงานให้เป็นระบบและขั้นตอนที่ชัดเจน ทั้งยังนำเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว
สำหรับปัจจุบันกลุ่มไทยน้ำทิพย์มีโรงงานบรรจุขวดรวม 5 แห่งทั่วประเทศ พร้อมสายการผลิตทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งโรงงานรังสิตและปทุมธานีนับเป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีกำลังการผลิตสูงสุดและเร็วที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย
“สิ่งที่ภูมิใจมากคือ ยอดขาย 10 ปีของเราเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยแทบไม่ได้ลดคนและไม่ต้องลงทุนเพิ่มสร้างโรงงาน แต่มาร์จิ้นทุกอย่างขึ้น มาร์เก็ตแชร์มากขึ้นทีละนิดจากการให้ความสำคัญกับรายย่อย productivity และพนักงานเห็นคุณค่าของ productivity เมื่อเขามีผลงานหรือ productivity รายได้ก็เพิ่มขึ้น”
พรวุฒิย้ำถึงความสำเร็จที่ได้รับจากการยกเครื่ององค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้ระบบโลจิสติกส์และการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 50% ทั้งยังเพิ่มกำไรให้ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าของบริษัท ทำให้ไทยน้ำทิพย์เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลูกค้าต้องการทำงานด้วย
ทั้งนี้ ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทไทยน้ำทิพย์ ประกอบด้วย บริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัทไทยน้ำทิพย์ คอมเมอเชียล จำกัด และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด รวมรายได้ในปี 2560 จำนวน 5.57 หมื่นล้านบาท สินทรัพย์ 3.77 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 3.82 พันล้านบาท (ข้อมูลโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์) โดยโคคา-โคลา ประเทศไทย สามารถสร้างยอดขายติดอันดับที่ 15 ของโลก
ขณะที่ตลาดน้ำอัดลมของประเทศไทยในปี 2561 มีมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาทและมีอัตราการเติบโตประมาณ 1.7% เทียบระหว่างปี 2561 และ 2560 โดยสินค้ายี่ห้อโค้กในตลาดน้ำอัดลมมียอดขายเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนมูลค่าทางการตลาดประมาณ 35% และสัดส่วนปริมาณการจัดจำหน่าย 34% เมื่อเทียบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมในช่วงเวลาเดียวกัน
“2-3 ปีหลังไม่ค่อยเติบโต ตลาดร้านอาหาร เครื่องดื่มตกหมด แต่เราไม่เสียมาร์เก็ตแชร์ โดยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว เราเริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขในปีนี้เราเติบโตประมาณ 4% ไทยน้ำทิพย์ ใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของโลก ส่วนแฟนต้าอันดับที่ 5 หรือ 6 ของโลก โดยความตั้งใจของพวกเราทุกคน คือ ต้องการเป็น world class bottler ทั้งการจัดจำหน่าย สินค้า การขาย การจัดจำหน่าย การปฏิบัติงาน โรงงาน เทคโนโลยี”
รุกขยายพอร์ตตอบโจทย์
มากกว่าทศวรรษหลังการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จให้กับไทยน้ำทิพย์ในวันนี้ พรวุฒิเล็งเห็นจังหวะและความสำคัญของการ “Transformation” อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคและความต้องการยุคปัจจุบัน พร้อมเติมเต็มช่องว่างทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว
“สิ่งที่ทำเมื่อสิบกว่าปีก่อนเริ่มอิ่มตัวแล้ว เราดูเรื่องแบรนด์ใหม่ ปรับราคาให้มีประสิทธิภาพถูกต้อง เจาะลึกร้านค้ามากขึ้น ซึ่งเมื่ออิ่มตัว เราจึงต้องทำ transformation อีกรอบเพื่อเพิ่มยอดขาย เราพยายามหาสินค้าใหม่ และหาลูกค้าเพิ่มในตลาดจากเดิม 250,000 ราย ในตลาดยังมีรายเล็กรายน้อยอีก 400,000-500,000 ราย โดยเราเข้าไปช่วยสนับสนุนหรือพัฒนาระบบให้เขา แต่ไม่ได้แย่งตลาดใคร ผมดีใจที่พนักงานของเราเข้าใจว่า โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานและเขาต้องเปลี่ยนไปกับมัน”
https://www.instagram.com/p/B1JsWOjnuKF/?utm_source=ig_web_copy_linkผู้นำอาณาจักรวัย 60 ปี ยังเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค Digital Transformation ด้วยการปรับปรุงระบบขนส่งหรือโลจิสติกส์ให้สามารถบริหารจัดการเส้นทางเดินรถการกระจายสินค้าได้ทันเวลาและแม่นยำ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเครื่องดื่มให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มโคคา-โคลา ซึ่งมุ่งเน้นการขยายพอร์ตเครื่องดื่มให้มีความหลากหลาย เช่น กาแฟ ชา รวมถึงการปรับสูตรลดน้ำตาลในกลุ่มอควาเรียส มินิเมด ออเรนจ์ ไฟเบอร์ มินิเมด ฮันนี่ เลมอน และซิโค่ น้ำมะพร้าว 100% เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพ
“Innovation เป็นเรื่องใหญ่มากที่โคคา-โคลาให้ความสำคัญ ขณะที่เราก็ต้องเข้าใจความต้องการผู้บริโภคและร้านค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของเขาได้ เช่น เครื่องดื่มน้ำตาลน้อยที่สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพและสังคมผู้สูงอายุในอนาคต เพราะเราต้องการเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจร ไม่เฉพาะน้ำอัดลม อะไรที่ดื่มได้ ไม่มีแอลกอฮอลล์ เราควรมีให้หมด ดังนั้น เราต้องศึกษาทุกอย่างที่เป็นเครื่องดื่ม โดยหวังว่าภายใน 10 ปีเราจะเป็นได้มากกว่านี้”
ชมคลิป https://youtu.be/9pgAtwcmUeQ อ่านเพิ่มเติม- ภารกิจนายใหญ่ โคคา-โคลา ประเทศไทย
- อริสา กุลปิยะวาจา สกัด passion คั้นนมอัลมอนด์ 137 ดีกรี ตีตลาดคนรักสุขภาพ
คลิกอ่านฉบับเต็ม “พรวุฒิ สารสิน 60 ปีแห่งบัลลังก์น้ำดำ ไทยน้ำทิพย์ปักหมุดเวิลด์คลาส” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine