“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” ทุนตระกูลสิริวัฒนภักดี เซ็นสัญญาให้เช่า 15 ปีกับ “เซ็นทรัล รีเทล” พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่รับ omnichannel โตต่อเนื่อง
เขย่าวงการโลจิสติกส์อีกครั้งเมื่อ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่เป็นบริษัทในเครือบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” ได้ร่วมลงในสัญญาเช่าระยะยาว 15 ปีกับบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อพัฒนาศูนย์กระจายสินค้ารองรับ omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล
โสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าวตั้งอยู่ในโครงการเฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้โลจิสติกส์เซ็นเตอร์ (บางพลี) ขนาดพื้นที่กว่า 75,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งพัฒนาโดยใช้รูปแบบ Build-to-Suit หรือเป็นการพัฒนาตามความต้องการของลูกค้า โดยใช้งบประมาณในการลงทุนเฉพาะสิ่งก่อสร้างกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าสามารถส่งมอบได้ภายในเดือนสิงหาคม 2563
“ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อกับกรุงเทพฯ และเข้าสู่ถนนวงแหวนรอบนอกไปสู่ตอนเหนือได้อย่างสะดวก ภายในประกอบไปด้วยอาคารสูง 25 เมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้ 10 ตัน/ตร.ม. และอาคารสูง 15 เมตรสำหรับสินค้าขนาดเล็ก รองรับน้ำหนักได้ 5 ตัน/ตร.ม. ทั้งนี้ การออกแบบดำเนินงานโดยยึดความต้องการของลูกค้าและคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเซ็นทรัล รีเทลให้ความสำคัญกับคนและสิ่งแวดล้อม พร้อมต้องการยกระดับศูนย์แห่งนี้เป็น ‘โลจิสติกส์แคมปัสระดับเวิลด์คลาส’ แห่งแรกของไทย ทำให้เราพยายามออกแบบพื้นที่มาอย่างเหมาะสมต่อการทำงานของพนักงาน มีพื้นที่โรงอาหาร, สนามกีฬาในร่ม, ลู่ทางเดิน รวมทั้งมีการออกแบบเส้นทางการจราจรภายในให้การขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่น”
โสภณ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง solar rooftop มีการออกแบบบริเวณคลังสินค้าให้ถ่ายเทความร้อนได้ดี ขณะที่บริเวณสำนักงานยังออกแแบบให้มีการไหลเวียนอากาศได้ดี และเน้นใช้แสงจากธรรมชาติ
“อีกส่วนที่ FPT ให้ความสำคัญคือการนำโซลูชั่นอัจฉริยะอย่างหุ่นยนต์เข้าใช้บริหารจัดการภายในคลังสินค้า ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่หลายประเทศเริ่มใช้ โดยเรามองว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงานได้” โสภณกล่าว
Forbes Thailand รายงานว่า ภายในโครงการเดียวกันยังมีศูนย์กระจายสินค้าที่พัฒนาแบบ Build-to-Suit ของเพาเวอร์บายซึ่งอยู่ในเครือเซ็นทรัล พื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตร โดย FPT พัฒนาและส่งมอบอาคารตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา โดยหากศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้แล้วเสร็จ จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล มีศูนย์กระจายสินค้าที่พัฒนาโดย FPT รวมพื้นที่กว่า 105,000 ตร.ม.เลยทีเดียว
ศูนย์ฯใหม่รับการเติบโต omnichannel เซ็นทรัล
ดร.ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า ในเซ็นทรัลมีการพูดคุยมาก่อนแล้วในเรื่อง new retail โดยเฉพาะ omnichannel หรือการให้บริการได้ทุกช่องทางอย่างไม่มีสะดุด จึงร่วมกับเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้
โดยเซ็นทรัลจะยุบ 5 ศูนย์กระจายสินค้าเดิมที่มีพื้นที่รวมกันราว 50,000 ตารางเมตร (แต่มีความจุรวมน้อยเนื่องจากมีความสูงน้อยกว่าแห่งใหม่) และย้ายสินค้ามาไว้ที่นี่แทน ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่บางพลีกว่า 1,000 ตำแหน่ง
“ส่วนที่เซ็นทรัลลงทุนจะเป็นเรื่องระบบภายใน เช่น ชั้นวาง รถยก มูลค่าการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท/ปี โดยศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้จะเป็นคลังของสินค้า non-food จากทุกหน่วยธุรกิจของเครือเซ็นทรัล อาทิ โรบินสัน, ออฟฟิศเมท, ซูเปอร์สปอร์ต, B2S, Muji ฯลฯ พร้อมตอบรับกับทุกช่องทางการขายของเซ็นทรัล รีเทล ทั้งส่วน Physical Platform และ Digital Platform อย่างเว็บไซต์, บริการแชต & ช็อป, บริการ e-ordering”
ทั้งนี้ ยอดขายจาก omnichannel ของสินค้ากลุ่มแฟชั่น, กลุ่มฮาร์ดไลน์ และกลุ่มฟู้ดของเซ็นทรัล รีเทล เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 ร้อยละ 75 และร้อยละ 31 ตามลำดับในปี 2561 และเพิ่มขึ้นอีกในงวดสามเดือน (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562) คิดเป็นร้อยละ 104 ร้อยละ 50 และร้อยละ 26 ตามลำดับ ซึ่งการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ถือเป็นการเตรียมความพร้อมในรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการขายผ่าน omnichannel
“เรายังต้องการให้ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงดึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ เช่น ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) และระบบอุปกรณ์สั่งงานด้วยเสียงอัตโนมัติ เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ช่วยซัพพอร์ตการเติบโตของเซ็นทรัล รีเทล 5-10%”
ดร.ปิยะพงษ์ ระบุอีกว่า ปัจจุบันเครือเซ็นทรัลสามารถจัดส่งสินค้าได้ภายในวันเดียวกัน (หากสั่งสินค้าก่อนเวลา 14.00 น.) และตั้งเป้าว่าภายในต้นปีหน้าจะสามารถส่งสินค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมง ซึ่งศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่จะเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยเสริมให้เข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น จากเดิม 20% เป็นเกือบ 100%
เฟรเซอร์สตั้งเป้า Build-to-Suit ปีละแสนตารางเมตร
โสภณ กล่าวถึงทิศทางของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ว่า ที่ผ่านมาภาคอุตสาหกรรมมีการใช้อสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับตัว ไม่พัฒนาเพียงโครงสร้างอีกต่อไป แต่ต้องรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีภายในด้วย จึงขยายธุรกิจมาสู่การทำดาต้าเซ็นเตอร์, มีการนำโซลูชั่นอัจฉริยะเข้ามาใช้ในอาคาร, เริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ township จนถึงการเป็นสปอนเซอร์ในกองทรัสต์ FTREIT
“ขณะที่หลักกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตของเราคือการร่วมมือกับพันธมิตร, การนำเทคโนโลยีข้อมูลมาใช้ในการพัฒนา, การพัฒนาสินทรัพย์หลากหลายหมวดให้อยู่ร่วมกัน และการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้เราหันไปสู่การพัฒนาโครงการรูปแบบ Build-to-Suit มากขึ้น เนื่องจากแต่ละครั้งจะเกิดการเซ็นสัญญาระยะยาว ซึ่งมีข้อดีคือช่วยให้งบประมาณนิ่งมากขึ้น”
โสภณ กล่าวว่า ปัจจุบันเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้มีลูกค้ารวม 300-400 ราย ส่วนลูกค้ากลุ่ม Build-to-Suit ในปัจจุบันนอกจากเครือเซ็นทรัลแล้วก็มีฮาวี ลอจิสติกส์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม โดยตั้งเป้า Build-to-Suit เติบโตมากกว่า 100,000 ตารางเมตร/ปี ซึ่งจะช่วยดันให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทดีขึ้นได้ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับอันดับ 1 ของตลาด
อ่านเพิ่มเติม รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator