ไม่ต้องบินไปไกลถึงเกาหลีแล้ว! ‘เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป’ เตรียมนำ ‘Hanam Pig’ แบรนด์ปิ้งย่างอันดับหนึ่งของเกาหลีที่อยู่ในฉากหนึ่งของซีรีส์ดัง Queen of Tears มาเสิร์ฟคนไทยถึงที่กลางปีนี้
เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หนึ่งในผู้นำด้านร้านอาหารเครือข่ายอันดับต้นๆ ของเมืองไทย พร้อมลุยใหม่อาหารอีก 2 เซ็กเม็นต์ ปิ้งย่าง-ชาบู เตรียมเปิดตัว “Hanam Pig” แบรนด์ปิ้งย่างอันดับหนึ่งจากเกาหลีกลางปีนี้ พร้อมจับมือเจ้าของแฟรนไชส์โอโตยะจากญี่ปุ่น ร่วมพัฒนาร้านชาบู ชาบู คอนเซ็ปต์แรกของโลก เตรียมเปิดตัวกลางปีนี้เช่นเดียวกัน
แม้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมถูกมองว่ายังไม่มีความแข็งแรงพอ และอาจจะกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค มีผลให้ธุรกิจหลายภาคส่วนลงทุนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น หรือชะลอการลงทุน แต่ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจร้านอาหารอย่าง บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ CRG ที่ประกาศจะเปิดร้านอาหารที่เป็น Asian Brands อีกถึง 20 ร้านในปีนี้ ทั้งส่วนที่เป็นแบรนด์เดิม แบรนด์ใหม่ และในร้านโมเดลใหม่ๆ
ซึ่งแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีแรกของปีนี้ ได้แก่ “Hanam Pig” ร้านปิ้งย่างอันดับหนึ่ง ที่มีสาขาในเกาหลีมากกว่า 200 แห่ง และร้านโอโตยะ ชาบู ชาบู
โดยอาหารทั้ง 2 กลุ่มใหม่ที่จะมาเติมเต็มพอร์ตอาหารที่เป็น Asian Cuisine ภายใต้ CRG ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 9 แบรนด์ ได้แก่ Ootoya, Katsuya, Pepper Lunch, Yoshinoya, Chabuton, Ramen Kagetsu Arashi, Tenya, Kiani และส้มตำนัว รวมสาขาทั้งหมด 213 สาขาในปี 2567 คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตอาหารภายใต้ CRG ทั้งหมด หรือทำรายได้เป็นอันดับ 3 รองจากธุรกิจเคเอฟซี และเบเกอรี่
ธีรวัฒน์ เลิศถิรพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่ม Asian Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า CRG เริ่มให้ความสำคัญกับการขยายแบรนด์อาหารที่เป็น Asian Cuisine มาประมาณ 2-3 ปี หลังจากที่ CRG ได้ขยายอาหารตะวันตก อาทิ เคเอฟซี และร้านประเภทเบเกอรี่ อาทิ อานตี้แอนส์ มิสเตอร์โดนัท ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

“ในปีนี้เรายังคงให้ความสำคัญกับการขยายพอร์ตของ Asian Cuisine เพราะทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นและอาหารเกาหลีมีโอกาสเติบโตสูงกว่าอาหารประเภทอื่นๆ อาหารญี่ปุ่นแทบจะกลายเป็นอาหารพื้นบ้านของคนไทยไปแล้ว เราจะเห็นการขยายร้านอาหารญี่ปุ่นในมุมที่ลึกขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของเจโทรฯ ที่ระบุว่า จะมีร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทสเปเชียลตี้มากขึ้น คนไทยคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นเพราะเข้าถึงง่าย มีความครบในเรื่องระดับราคา เซ็กเมนต์ และมีเปิดบริการครบทุกจังหวัด
“ขณะที่ความนิยมศิลปิน นักร้องเกาหลี และซีรีส์เกาหลี ก็จะทำให้อาหารเกาหลีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในเมืองไทยด้วยเช่นเดียวกัน” ธีรวัฒน์กล่าว และว่า CRG จะขยายพอร์ต Asian Cuisine โดยการซื้อแฟรนไชส์แบรนด์ที่อยู่ในระดับท็อปของร้านอาหารในแต่ละ category เพราะมั่นใจเรื่องคุณภาพ และชื่อเสียงแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก
สำหรับแบรนด์อันดับ 10 ที่จะเปิดตัวภายใต้พอร์ต Asian Cuisine ของ CRG ในปีนี้ ธีรวัฒน์บอกว่าขณะนี้การเจรจาคืบหน้าไป 80-90% แล้ว และคาดว่าจะเปิดตัวได้ในราวไตรมาสสองของปีนี้ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นแบรนด์อะไร บอกได้เพียงคร่าวๆ ว่าเป็นแบรนด์ปิ้งย่างอันดับ 1 มีสาขามากที่สุดในเกาหลี และน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทย เพราะอยู่ในซีรีส์ดังเรื่อง “Queen of Tears”

อย่างไรก็ตาม จากการหาข้อมูลจากซีรีส์ดังกล่าว พบว่าร้านปิ้งย่างที่พระเอกมานั่งปรับทุกข์กับเพื่อนโดยมีนางเอกมานั่งฟังอยู่ด้วย คือร้าน “Hanam Pig” ร้านนี้มีจุดเด่นที่ใช้เนื้อหมูสดไม่แช่แข็ง มีขนาดความหนาแบบสเต็ก มาย่างถ่านด้วยไฟแรงๆ จนเนื้อหมูมีผิวเกรียมๆ และมีกลิ่นหอมๆ ก่อนจะนำมาตัดเป็นคำๆ แล้วย่างต่อ หมูย่างที่นี่มีให้เลือกทุกส่วน ตั้งแต่หมูสามชั้น เนื้อสันนอก สันใน ซี่โครง และไส้ใน เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงและรีฟิลไม่อั้น


ปัจจุบัน CRG มีร้านอาหารเกาหลีอยู่แล้ว 1 แบรนด์คือ Kiani เป็นร้านอาหารเกาหลีสไตล์โฮมเมดสูตรคุณแม่ คล้ายกับร้านโอโตยะ คือมีอาหารเกาหลีหลายประเภทรวมๆ กัน โดย CRG ได้ซื้อแฟรนไชส์มาจากเจ้าของชาวเกาหลีที่อยู่ในเมืองไทย ปัจจุบันเปิดบริการสาขาแรกที่เซ็นทรัลพระราม 9 เมื่อปีที่ผ่านมา ภายหลังจากได้เรียนรู้วิธีการต่างๆ ในปีนี้ CRG พร้อมจะขยายสาขา Kiani อีก 3 แห่ง พร้อมโมเดลใหม่ๆ
ปัจจุบันมีร้านอาหารประเภทปิ้งย่างเกาหลีในประเทศไทยประมาณ 433 แห่ง เพิ่มจากปี 2566 และปี 2565 ที่มีอยู่ 417 แห่ง และ 341 แห่งตามลำดับ
ส่วนแบรนด์โอโตยะ ในปีนี้จะมีการเปิดตัวโอโตยะทั้งหมด 5 สาขา มีทั้งที่อยู่ภายใต้แบรนด์เดิม และเป็นแบรนด์ลูกแบรนด์ใหม่ของโอโตยะที่ทำธุรกิจร้านชาบู ชาบู รูปแบบใหม่ที่จะเปิดตัวในเมืองไทยเป็นที่แรกของโลก ทำให้สาขาโอโตยะในปีนี้มีทั้งสิ้น 60 แห่ง
“เจ้าของแบรนด์โอโตยะ ให้ความสำคัญกับตลาดในเมืองไทยมาก จึงมาร่วมพัฒนาชาบู ชาบู ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ยังไม่มีในญี่ปุ่น ทั้งนี้เพราะโอโตยะเมืองไทยเติบโตได้ดีที่สุดหากเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะเซ็นทรัลมีเครือข่ายที่แข็งแรงทั้งทีมงาน ประสบการณ์และทำเล” ธีรวัฒน์กล่าว
ชาบู ชาบูแบรนด์ใหม่เป็นร้านชาบูที่รวมอาหาร healthy แต่มีกลิ่นอายของโอโตยะ มีขนาดร้าน 200 ตารางเมตร คาดจะเปิดได้ 1-2 แห่งในปีนี้ โดยสาขาแรกจะเปิดในราวเดือน พ.ค. หรือเดือน มิ.ย. โดยจากข้อมูลของเจโทรฯ พบว่า มีร้านอาหารประเภทสุกี้และชาบูในเมืองไทยประมาณ 386 สาขา 453 สาขา และ 448 สาขาในปี 2565 ปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ
นอกจากนี้แล้ว บริษัทยังมีแผนจะปรับสาขาเดิมของโอโตยะให้เป็น “โอโตยะพรีเมียม” เสนอวัตถุดิบดี ในราคาที่เข้าถึงง่าย และมีเมนูพรีเมียมที่ไม่เคยขายในร้านมาก่อน นอกจากนี้โอโตยะจะขยายร้านเข้าไปยังช่องทางโรงพยาบาลมากขึ้นอีก 2-3 แห่ง จากที่ก่อนหน้านีเข้าไปเปิดบริการแล้วที่โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต และโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่
“ปัญหาเศรษฐกิจมีผลกระทบธุรกิจอาหารระดับหนึ่ง เพราะคนต้องกินต้องใช้ หากเราเสนออาหารคุณภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ ทำสินค้าของเราให้มีความยูนีค เชื่อว่าลูกค้าจะคิดถึงเราก่อน” ธีรวัฒน์บอก
นอกจากโอโตยะแล้ว บริษัทยังมีแผนจะเปิดร้านเปปเปอร์ ลั้นซ์ อีก 5 สาขาในปีนี้ ทำให้สาขาของเปปเปอร์ ลั้นซ์ในปีนี้จะมีทั้งหมด 56 แห่ง เนื่องจากเปปเปอร์ ลั้นซ์ เป็นอีกแบรนด์อาหารที่เน้นประสบการณ์ และมียอดขายเป็นอันดับ 2 ของพอร์ต Asian Cuisine และไม่มีคู่แข่งโดยตรง บริษัทจึงเตรียมปรับ mood and tone ใหม่จากร้านเดิมที่มีโทนสีดำ ให้มีความสว่างขึ้นอีก 3-4 ร้านในปีนี้ พร้อมเปลี่ยนโลโก้ใหม่ให้มีความสนุกสนานมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ลูกค้าจะสามารถทำ DIY ในกระทะได้ด้วยตนเอง ทำให้การมาทานเปปเปอร์ ลั้นซ์ แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ ปัจจุบันคนเข้าร้านเปปเปอร์ ลั้นซ์ เดือนละ 2 ครั้ง หลังเพิ่มลูกเล่นต่างๆ เข้าไปบริษัทคาดว่าจะดึงลูกค้าเข้าร้านได้ 3 ครั้งต่อเดือน และอาจจะมาทุกสัปดาห์ในอนาคต
ส่วนร้านหมูทอดคัตสึยะ บริษัทจะเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 5 แห่ง รวมมีสาขาทั้งสิ้น 60 แห่งในสิ้นปี และจะเพิ่มสาขาที่สามารถรีฟิลด์อาหาร อาทิ ข้าว ซุป ได้ไม่อั้น อีก 10 สาขา หลังจากประสบความสำเร็จที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์และแจ้งวัฒนะด้วยยอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 30 % นอกจากนี้ยังมีการปรับโฉมของร้านคัตสึยะเดิมอีก 5 สาขาเพื่อให้มีความทันสมัย และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ธีรวัฒน์กล่าวต่อว่า บริษัทจะสื่อสารทางโซเชียลมีเดียในเรื่องหมูทอดทงคัตสึมากขึ้น เพราะลูกค้าคิดว่าคัตสึยะเป็นหมูทอดราคาถูก จึงหนีไปกินทงคัตสึระดับราคาที่สูงขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงสื่อสารในสิ่งที่ลูกค้าไม่รู้ให้ลูกค้าได้รู้ อาทิ การสั่งเนื้อหมูมาจากฟาร์มโดยตรง ไม่มีการแช่แข็ง ทำให้เนื้อนุ่ม ใช้เกล็ดขนมปังสด ทำให้มีความกรอบและฟูกว่า รวมทั้งการรูปลักษณ์อาหาร ทำ food presentation และออก Tokyo set ให้ดูพรีเมียมขึ้น

ส่วนร้านส้มตำนัว บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 4 สาขา จะทำให้จำนวนสาขาเพิ่มเป็น 14 แห่งในปีนี้ โดยส้มตำนัวเป็นแบรนด์ที่ CRG ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ แบรนด์ส้มตำนัวเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่แบรนด์ส้มตำในตลาดจะมีชื่อคล้ายๆ กัน ทำให้ลูกค้าสับสน ดังนั้นในปีนี้บริษัทจะเน้นทำ branding เพื่อให้คนจำได้
ทั้งนี้ ส้มตำเป็นหนึ่งในอาหารที่นักท่องเที่ยวมองหา และส้มตำนัวได้ชื่อว่าเป็นส้มตำรสชาติคนกรุงเทพฯ ปีนี้บริษัทจะเพิ่มความหลากหลายของเมนู อาทิ ส้มตำสไตล์อุดรธานี และส้มตำโมเดิร์นที่จะใช้วัตถุดิบแปลกๆ จากตะวันตกมาเป็นส่วนผสม ทำให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าคนทำงานและนักท่องเที่ยว
ธีรวัฒน์กล่าวว่า ยอดขายของอาหารภายใต้พอร์ต Asian Cuisine พอร์ต มีการเติบโตทะลุเป้ามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 ทำรายได้กว่า 2,400 ล้านบาท เติบโตจากปี 66 ประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ และจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ แม้ยังคงมีความท้าทายอีกหลายเรื่องทั้งค่าแรง ต้นทุนวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และปัญหาแรงงาน บริษัทจึงต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวมากขึ้น
และต้องลงทุนระบบกับทุกแบรนด์ มีการ implement ระบบ QR ordering และเตรียมทดลองติดแท็บเล็ตตามโต๊ะอีกราว 3 สาขา เพื่อดูการตอบรับจากฐานลูกค้าซึ่งสูงอายุกว่าแบรนด์อื่นๆ พร้อมปรับ operation flow เพื่อให้พนักงานมีสกิลการทำงานที่หลากหลาย และแต่ละแบรนด์จะสั่งวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์โดยตรง เพื่อลดขั้นตอนการขนส่ง ลดการเสียเวลา และยังคงความสดของสินค้า
“เราเห็นความท้าทายในตลาด Asean Cuisine มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องคู่แข่ง จากเดิมที่ก่อนหน้านี้ เจ้าของแบรนด์ญี่ปุ่นจะไม่ปล่อยแฟรนไชส์ให้บริษัทขนาดเล็กซื้อแฟรนไชส์เข้ามาขยายธุรกิจในเมืองไทยได้ง่ายเหมือนในปัจจุบัน barrier ตรงนี้ลดลงอย่างมาก” ธีรวัฒน์บอก
จากข้อมูลการสำรวจจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นของเจโทรฯ ในปีที่ผ่านมา พบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นในไทยทุกปี ตั้งแต่ปี 2563 มีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดบริการทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย และล่าสุดจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นมีมากถึง 5,916 สาขาในปีที่ผ่านมา จากที่เคยมีเพียงแค่ 745 สาขาในปี 2550
และ 3 กลยุทธ์ที่จะทำให้ Asian Cuisine brand ผ่านความท้าทายในปีนี้ไปได้คือ 1.การเพิ่มการสื่อสารกับลูกค้าผ่านโซเชียล เพื่อทำให้เข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น 2.การปรับตัวร้านให้ตรงกับที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะเรื่อง socialize และ 3.ใช้ data ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ออกแบบขนาดเมนูอาหาร ประเภทอาหาร และช่วงเวลาที่เหมาะกับการออกโปรโมชั่นแต่ละโปรโมชั่น
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เปิด 3 เหตุผลหลัก ทำไมปี 67 ร้านซูชิในไทย ปิดตัวระนาวครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine