ไม่สำคัญว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ว่ารัฐบาลควรกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องขออนุญาตจากลูกค้าก่อนที่จะนำข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปเผยแพร่ หรือสั่งการให้ที่ปรึกษาทางการเงินกระทำการโดยยึดผลประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นสำคัญ มีบริษัทสัญชาติอเมริกันชั้นนำจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เริ่ม “กำกับตนเอง” ในเรื่องที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของส่วนรวมในทุกๆ ด้าน
Just Capital ได้ทำการสำรวจคนอเมริกันมากกว่า 80,000 คนถึงสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากบริษัทในเรื่องของพนักงาน สิ่งแวดล้อม ลูกค้าและผลิตภัณฑ์ ชุมชน ผู้ถือหุ้น และสิทธิมนุษยชน ในประเทศที่เชื่อกันว่าเต็มไปด้วยการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าบริษัทควรจ่ายค่าจ้างพนักงานอย่างเป็นธรรม รักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า และลดการปล่อยมลพิษ การสำรวจนั้นออกมาเป็นทำเนียบ Just 100 บริษัทอเมริกันร้อยแห่งที่มีแนวปฏิบัติต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีที่สุด บริษัทในทำเนียบ Just 100 ใช้หลักการสำคัญในหนังสือ The Wealth of Nations ของ Adam Smith ที่ว่า “ในขณะที่แสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจตามสมควรแก่เหตุผล ท้ายที่สุดแล้วผู้นำองค์กรธุรกิจก็จะรับใช้สังคมไปพร้อมกันด้วย” เป็นต้นแบบ มีข้อมูลตัวเลขสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ในระยะเวลา 50 สัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ดัชนี S&P ให้ผลตอบแทน 3.6% แต่บริษัทในทำเนียบ Just 100 ให้ผลตอบแทน 7.5% และบริษัท Microsoft 29.9%
ค่าจ้างที่เป็นธรรม
เมื่อพูดถึงแวดวงธุรกิจ คนอเมริกันให้คุณค่ากับการที่บริษัทจ่ายค่าจ้างอย่างเป็นธรรมมากที่สุด 84% พวกเขาบอกกับ Just Capital ว่านั่นเป็นสิ่งที่บริษัทควรทำ อารมณ์ความรู้สึกนี้แสดงออกมาเป็นคำตอบในแง่ที่ว่าบริษัทใดที่ผู้คนอยากติดต่อซื้อขายด้วย และบริษัทใดที่ผู้คนอยากร่วมงานด้วย ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดแรงงานตึงตัวถึงที่สุดก็ตาม ในปี 2017 Target ห้างค้าปลีกชั้นนำ เริ่มปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำภายในองค์กรจาก 10 เหรียญ (ปัจจุบันอยู่ที่ 12 เหรียญ) และให้คำมั่นว่าจะปรับค่าแรงเพิ่มเป็น 15 เหรียญภายในสิ้นปี 2020 ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่นักเรียกร้องสิทธิแรงงานต้องการให้รัฐบาลกำหนดเป็นข้อบังคับ และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Amazon ได้ปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสำหรับแรงงานรายปีจำนวน 250,000 คน และแรงงานตามฤดูกาลจำนวน 100,000 คนเป็น 15 เหรียญในคราวเดียวสิทธิและความเสมอภาคของพนักงาน
ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อย่าง Nvidia อนุญาตให้คุณแม่มือใหม่ลาหยุดโดยได้รับค่าจ้างนาน 22 สัปดาห์ และให้สิทธิพนักงานใช้บริการผู้ช่วยจัดการธุระส่วนตัวคนละไม่เกิน 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ Adobe เสนอเงินมูลค่าไม่เกิน 20,000 เหรียญเพื่อช่วยค่ายารักษาภาวะเจริญพันธุ์ เงินมูลค่าไม่เกิน 25,000 เหรียญเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในการอุ้มบุญและการรับบุตรบุญธรรม และบริการเลี้ยงเด็กไม่เกิน 100 ชั่วโมงต่อปี ความเสมอภาคของค่าจ้างก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ภาครัฐอาจปล่อยปละละเลย หากแต่ทุกวันนี้สุดยอดบริษัทกำกับดูแลเรื่องนี้เอง โดยมีบริษัท 69 แห่งในทำเนียบ Just 100 ทำการวิเคราะห์ความเสมอภาคของค่าจ้างระหว่างเพศชายกับเพศหญิง ตัวอย่างเช่น Salesforce กำลังทำการตรวจสอบประจำปี เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายค่าจ้างอย่างเท่าเทียมกันสำหรับงานที่ปริมาณเท่ากันโดยไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ และกลุ่มชาติพันธุ์ การตรวจสอบที่ทำขึ้นในปี 2018 ซึ่งเป็นรอบที่ 3 พบว่าแรงงานของบริษัท 6% ได้รับค่าจ้างน้อยเกินไป ซึ่งลดลงจาก 11% ในปี 2017ลดใช้ไฟฟ้า ลดการปล่อยของเสีย
ภายในโกดังที่ Seattle เป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กของ Microsoft ภายในมีเครื่องจักรที่ทำงานด้วยพลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ แทนการใช้กระแสไฟฟ้า ตั้งเรียงซ้อนขึ้นไป 20 ชั้น เป้าหมายสูงสุดของการทดลองนี้ก็คือการลดปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลลงครึ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ปล่อยของเสียซึ่งมีเพียงแค่น้ำที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้
ลดการใช้พลาสติก
ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่อย่าง P&G ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สร้างขยะพลาสติกรายใหญ่ที่สุดในโลกกำลังประชาสัมพันธ์บรรจุภัณฑ์ใหม่ของแบรนด์ Tide ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบที่มีส่วนประกอบของกระดาษแข็งมากขึ้นและใช้พลาสติกน้อยลง และขวดบรรจุผลิตภัณฑ์แบรนด์ Head & Shoulder ซึ่งทำจาก "พลาสติกรีไซเคิล" ขวดแชมพูที่ทำจากวัตถุรีไซเคิลซึ่งเป็นมากกว่ากลยุทธ์การประชาสัมพันธ์นี้ ได้รับการจัดวางอย่างโดดเด่นเป็นพิเศษโดยผู้ค้าปลีกซึ่งต้องการส่งสัญญาณถึงผู้บริโภคว่าตนก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มโอกาสในการขายอีกด้วย
ทำธุรกิจอย่างโปร่งใส
Coinbase ซึ่งอยู่ในภาคส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมที่มีกฎหมายกำกับดูแลน้อยที่สุดในปัจจุบัน อันได้แก่ คริปโตเคอเรนซี ในปี 2013 มีทนายคนหนึ่งได้แนะนำผู้ร่วมก่อตั้งซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่อย่าง Brian Armstrong และ Fred Ehrsam ให้เพิกเฉยต่อ “แนวทางปฏิบัติที่ต้องอาศัยการตีความหมาย” ของ U.S. Financial Crimes Enforcement Network ซึ่งกำหนดให้ธุรกิจสตาร์ทอัพกระเป๋าเงินบิตคอยน์ของทั้งคู่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ให้บริการโอนเงินและปฏิบัติตามข้อบังคับในพระราชบัญญัติ Bank Secrecy Act ที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก แทนที่จะเชื่อฟังคำแนะนำดังกล่าว ทั้งสองกลับไล่ทนายคนนั้นออก และใช้เงินทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดในการลงมือทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น สองเดือนต่อมา Union Square Ventures เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในการระดมทุนรอบ Series A ของ Coinbase ซึ่งทำเงินได้ 6.1 ล้านเหรียญในการระดมทุนรอบล่าสุด Coinbase ได้รับเงินอัดฉีดจำนวน 300 ล้านเหรียญจาก Tiger Global และผู้ลงทุนรายอื่นๆ จึงทำให้ซีอีโออย่าง Armstrong ซึ่งปัจจุบันอายุ 35 ปีขึ้นแท่นเป็นเศรษฐีพันล้าน สิ่งที่ทำให้ Coinbase โดดเด่นกว่าคู่แข่งก็คือ ความน่าเชื่อถือ และ ความซื่อสัตย์ ซึ่งคุณธรรมทั้งสองประการนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในวงการดังกล่าว “ระบบแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และเชื่อมโยงกับระบบการเงินแบบดั้งเดิมเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยทำให้วงการเงินดิจิทัลเติบโตขึ้น” Armstrong แสดงความคิดเห็นไว้ในโพสต์ในปี 2016คลิกเพื่ออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2562 ในรูปแบบ e-Magazine
