เหตุการณ์เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของนักศึกษาอเมริกัน Otto Warmbier ด้วยน้ำมือของเกาหลีเหนือน่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้สหรัฐฯ ดำเนินมาตรการอย่างเต็มพิกัดเพื่อต่อกรกับประเทศจอมเผด็จการของโลกทั้งเพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงของชาติ นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลภายใต้การบริหารของ Trump เอาจริงเอาจังกับประเด็นเรื่องเกาหลีเหนือมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา
เมื่อ
ประธานาธิบดี Trump พบปะและร่วมหารือกับ
Xi Jinping ผู้นำของจีนในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาออกโรงกระตุ้นให้ประธานาธิบดีจีนเร่งมือกำราบเกาหลีเหนือซึ่งนับวันยิ่งทวีความแข็งกร้าวขึ้น ทว่า จนถึงปัจจุบันจีนก็ยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นั่นคือสาเหตุที่สหรัฐฯ จะต้องดำเนินมาตรการหลายข้อในทันที ซึ่งมาตรการดังต่อไปนี้จะส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือและกดดันให้จีนทำตามคำสัญญาของตน
• ห้ามพลเมืองอเมริกันเดินทางไปเกาหลีเหนือซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ประกาศให้มีผลบังคับใช้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเตือนพลเมืองชาวอเมริกันให้เลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายนี้แต่ก็ไม่ได้กำหนดเป็นข้อห้ามเด็ดขาด อย่าลืมว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ชาวอเมริกันใช้จ่ายในเกาหลีเหนือสุดท้ายจะตกอยู่ในมือของ
Kim Jong-un จอมเผด็จการสุดป่าเถื่อนและถูกนำไปใช้เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์และก่อการร้าย
• ขึ้นบัญชีดำเกาหลีเหนือให้อยู่ในรายชื่อประเทศหนุนก่อการร้ายของสหรัฐฯ อีกครั้ง ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดี
George W. Bush เขาดำเนินนโยบายจำยอมสละและถอดเกาหลีเหนือจากบัญชีประเทศที่ให้การสนับสนุนก่อการร้ายในปี 2008 โดยหวังว่าโสมแดงจะยึดมั่นในข้อตกลงยุติโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ แต่เราก็เห็นแล้วว่านโยบายจำยอมสละซึ่งมีแบบแผนมาจาก
Neville Chamberlain นั้นไม่ได้ผล
รัฐบาลเกาหลีเหนือละเมิดข้อตกลงบ่อยครั้งนับตั้งแต่
Bill Clinton เริ่มกระบวนการโอนอ่อนผ่อนปรนในปี 1994 โครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและการทดสอบขีปนาวุธอานุภาพรุนแรงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง โดยขีปนาวุธได้รับการพัฒนาจนพิสัยทำการไกลขึ้นและน่าจะยิงถึงแผ่นดินสหรัฐฯ ในอีกไม่ช้า
• ออกมาตรการลงโทษที่เข้มงวดสำหรับธนาคารและบริษัททุกแห่งที่ทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ เริ่มดำเนินมาตรการนี้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 และดูจะเริ่มส่งประสิทธิผลจนทำให้รัฐบาลโสมแดงส่งสัญญาณต่อรัฐบาล Bush ว่าถ้าสหรัฐฯ ยอมผ่อนปรน พวกเขาก็พร้อมที่จะเจรจาทำข้อตกลง สุดท้ายสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกมาตรการบทลงโทษ ทว่า สุดท้ายเกาหลีเหนือก็ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
สถาบันการเงินหรือบริษัทที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการจะถูกระงับห้ามทำธุรกรรมหรือดำเนินธุรกิจกับสหรัฐฯ โดยมาตรการดังกล่าวจะครอบคลุมถึงบริษัทที่ไม่ให้ความร่วมมือทุกแห่งทั่วโลกซึ่งรวมถึงบริษัทในยุโรปและจีน ธนาคารที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกตัดออกจากเครือข่าย
SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) ซึ่งเป็นเครือข่ายสากลเพื่อการสื่อสารระหว่างสถาบันการเงินทั่วโลกแห่งใหญ่ที่สุด อันจะส่งผลให้ธนาคารแห่งนั้นไม่สามารถรับและโอนเงินต่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออกโดยทันที
เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารของเกาหลีเหนือ 3 แห่งถูกถอดออกจากเครือข่าย SWIFT โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงสถาบันการเงินทุกแห่งที่ทำธุรกรรมกับบริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ
• ประกาศให้กองทัพเรือสหรัฐฯ มีอำนาจหยุดเรือต้องสงสัยว่าลักลอบขนส่งสินค้าอาวุธจากเกาหลีเหนือซึ่งรวมถึงส่วนประกอบและวัสดุนิวเคลียร์หรือขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และส่วนประกอบนิวเคลียร์ไปยังเกาหลีเหนือ สิ่งนี้เท่ากับการประกาศอย่างชัดแจ้งให้ทั่วโลกรับรู้ว่าสหรัฐฯ เอาจริงและจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับประเทศที่ถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลก
• ยกระดับแผนต่อต้านขีปนาวุธ โดยตั้งเป้าที่จะสั่งการยิงจรวดต่อต้านขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือทุกลูก แผนดำเนินการนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศแถบเอเชียอื่นๆ ว่าเราไม่ได้ละเลยพันธสัญญาที่ให้ไว้หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งระบุว่าจะช่วยป้องกันการรุกรานและรักษาความสงบสุขให้กับเหล่าประเทศในภูมิภาคนี้
มาตรการทั้งหมดนี้ต้องใช้พลังดำเนินการอันแรงกล้า แต่การเตะถ่วงปัญหาประเด็นเกาหลีเหนืออย่างที่เราทำมานานกว่า 20 ปีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป