<h2>ธุรกิจ Robotaxi บริการเรียกรถโดยสารอัตโนมัติแบบไม่มีพวงมาลัย-ไร้คนขับ ในสหรัฐอเมริกากำลังสู้กันอย่างดุเดือด! ล่าสุดแบรนด์ Zoox จากค่าย Amazon เตรียมตัวกระโดดเข้าชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ช่วงปลายปี โดยชูจุดเด่น "โมเดลรถที่ออกแบบเอง! พร้อมติดตั้งกล้องและเซนเซอร์รอบทิศทาง" ถือเป็นการทุ่มทุนสร้าง ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยและความโดดเด่น แตกต่าง! ต่างจาก Tesla ของ Elon Musk ที่มีการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกและกล้องเพียง 8 ตัว </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตอนนี้ดูเหมือนว่าการแข่งขันของตลาด Robotaxi หรือ ระบบการเรียกรถโดยสารอัตโนมัติแบบไม่มีพวงมาลัย-ไร้คนขับ ในสหรัฐอเมริกากำลังสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากเจ้าตลาดอย่าง Waymo ของ Alphabet ที่จับมือกับ Uber กำลังเร่งเดินหน้าขยายการบริการไปทั่วอเมริกา ด้าน Tesla ของ Elon Musk ก็กำลังจะเปิดตัวโครงการนำร่อง ณ เมืองออสตินในสัปดาห์หน้า โดยชูจุดแข็งว่า “Tesla สามารถแซงหน้า Waymo บริษัทของ Alphabet Inc. ด้วยการใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติที่มีราคาถูกกว่ามาก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกัน Zoox ซึ่งเป็นผลงานของ Amazon ก็วางแผนที่จะเข้าร่วมสู้ศึกการแข่งขันเพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะเริ่มปักหมุดในช่วงปลายปีนี้ ณ เมืองลาสเวกัส ต่อด้วย ซานฟรานซิสโก ออสติน ไมอามี ลอสแองเจลิส และแอตแลนตา พร้อมชูจุดเด่น “โมเดลรถที่ออกแบบเอง รูปทรงภายนอกดูคล้ายกับรถตู้ ซึ่งเต็มไปด้วยระบบเซ็นเซอร์และกล้อง” ที่จะทำให้แตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างแน่นอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่ผ่านมา ทาง Amazon ได้ทุ่มเงินให้กับ Zoox พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ตัวนี้เป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการที่จะติดตั้งเซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์ลงไปในยานพาหนะที่มีอยู่แล้วแบบที่แบรนด์คู่แข่งเจ้าใหญ่อย่าง Waymo ทำ...มันคงดูธรรมดาเกินไป! การวางแผนกลยุทธ์ของแบรนด์ Zoox นับตั้งแต่เริ่มต้นจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างรถหุ่นยนต์ไฟฟ้าสำหรับการบริการที่สร้างความแตกต่าง และไม่เหมือนใครบนท้องถนนแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่มีพวงมาลัย, ไม่มีแป้นเหยียบ และไม่มีแม้แต่กระจกมองข้าง จะมีก็แต่ประตูบานเลื่อนที่ชวนให้นึกถึงโบกี้รถไฟ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี Design ออกแบบให้เป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนได้สองทิศทาง โดยมีทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่เหมือนกัน โรโบแท็กซี่ของ Zoox ตัวนี้ มีความเร็วสูงสุด 75 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้ว่าในตอนนี้จะยังใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่ อยู่ที่ไม่เกิน 45 ไมล์ต่อชั่วโมงในการวิ่งในเมืองและชานเมือง ซึ่งในส่วนของระบบการชาร์จไฟนั้น จะสามารถทำงานได้นานถึง 16 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งต่อวัน และให้บริการได้อย่างน้อย 5 ปี ในระยะทาง 100,000 ไมล์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jesse Levinson ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของ Zoox กล่าวว่า “เราตั้งใจมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้โดยสาร และเรามั่นใจว่าพวกเขาจะชอบคุณภาพในการให้บริการ ด้วยที่นั่งแบบรถม้า และห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราแตกต่าง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Aicha Evans ซีอีโอ Zoox ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “เรามุ่งมั่นที่จะขายประสบการณ์ที่ดีที่สุดของบริการรับส่งผู้โดยสาร ไม่ใช่การขายยานพาหนะ ด้วยอายุของการใช้งานที่ยาวนานและความสามารถในการให้บริการรับส่งผู้โดยสารได้หลายสิบเที่ยวต่อวัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ทำกำไรได้ แม้ว่ารถยนต์ของเราจะมีราคาสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปก็ตาม”&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/P5yS3iNHpGp1iSgNLpXM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="P5yS3iNHpGp1iSgNLpXM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>โมเดลรถที่ออกแบบด้านหน้า-หลังให้เหมือนกัน ขับเคลื่อนได้ 2 ทิศทาง</div></figcaption></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/cWEB37ThRd8ZMGf4AG8v.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cWEB37ThRd8ZMGf4AG8v.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือและที่วางแก้วน้ำภายในรถ</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางบริษัท Joox เอง ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขของการลงทุน หลังจากก่อตั้งโรงงาน Hayward ขึ้นในปีที่แล้ว และยังมีแผนการใหญ่สำหรับโรงงานขนาด 220,000 ตารางฟุตแห่งนี้ โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทกำลังสร้างโรโบแท็กซี่เพียงวันละคัน โดยคนงานและหุ่นยนต์จะประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ที่จัดหาโดยบริษัทต่างๆ เช่น Bosch และ ZF พร้อมส่งแผงตัวถังรถมาจากอิตาลี สำหรับแผนของปีหน้า เป้าหมายคือสามารถผลิตได้ชั่วโมงละ 3 คันในกะเดียว หรืออัตราสูงสุด 5,000 คันต่อปี และเมื่อบริการขยายไปยังเมืองต่างๆ มากขึ้น โรงงานแห่งนี้ก็จะสามารถผลิตได้สูงถึง 10,000 คันต่อปี จากการทำงานเต็ม 2 กะ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ในแนวทางการขับขี่อัตโนมัติของ Zoox นี้ มีความใกล้เคียงกับ Waymo มากกว่า Tesla โดยบริษัทได้ทดสอบและฝึกอบรมเทคโนโลยีที่ใช้ AI บนยานพาหนะที่ดัดแปลงบนท้องถนนในเมืองและในการจำลองเสมือนจริงที่เข้มข้น นอกจากนี้ ยังติดตั้งเซ็นเซอร์รุ่นพิเศษ เช่น ไลดาร์เลเซอร์ 8 ตัว เรดาร์ 10 ตัว กล้องดิจิทัล 18 ตัว ไมโครโฟน 8 ตัว (เพื่อฟังเสียงรถฉุกเฉิน เป็นต้น) รวมถึงการติดตั้งกล้องเทอร์มอล 4 ตัวที่สามารถตรวจจับมนุษย์และสัตว์ในสภาพอากาศที่มืดมัว แสงสลัว หรือแม้แต่ในหมอกและไอน้ำ ซึ่งคล้ายกับเซ็นเซอร์ปัจจุบันของ Waymo ที่ใช้อยู่&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/CdGJp9ivUBKHreAwo5De.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CdGJp9ivUBKHreAwo5De.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"><figcaption><div>ระบบกล้อง-เซนเซอร์ตรวจจับเพื่อความปลอดภัย</div></figcaption></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/k7nBsGdfD1MmsQxzUSLt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="k7nBsGdfD1MmsQxzUSLt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"><figcaption><div style="text-align: center;">ระบบถุงลมนิรภัยที่ออกแบบพิเศษ จะกางออกมาด้านข้างและด้านหน้าของที่นั่งกรณีฉุกเฉิน</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในทางกลับกัน Elon Musk กำลังส่งเสริมแนวคิดที่ว่าระบบขับขี่อัตโนมัติของ Tesla สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยด้วยกล้องเพียง 8 ตัวและเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกซึ่งมีราคาเพียงเศษเสี้ยวของเทคโนโลยีที่ Zoox และ Waymo ใช้ โดยเรื่องนี้สร้างความกังวลใจให้กับเหล่านักวิจัยด้านยานยนต์อัตโนมัติและผู้สนับสนุนด้านความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ Tesla เคยถูกหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ สอบสวนในอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้งที่เกี่ยวข้องกับฟีเจอร์ Autopilot และ Full-Self Driving ซึ่งแม้จะมีชื่อที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ใช่ระบบไร้คนขับจริงๆ&nbsp; ภาพ : Amazon&nbsp;แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.forbes.com/sites/alanohnsman/2025/06/18/forget-tesla-amazons-zoox-is-on-track-to-be-waymos-biggest-robotaxi-rival/" alt="Forget Tesla. Amazon’s Zoox Is On Track To Be Waymo’s Biggest Robotaxi Rival">Forget Tesla. Amazon’s Zoox Is On Track To Be Waymo’s Biggest Robotaxi Rival</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/worth-it-mark-zuckerberg-spends-15-billion-dollars-hire-alexandr-wang-develop-ai-for-meta" alt="จะคุ้มไหม? Mark Zuckerberg ทุ่มเงิน 15,000 ล้านเหรียญ จ้าง Alexandr Wang พัฒนา AI ให้ Meta">จะคุ้มไหม? Mark Zuckerberg ทุ่มเงิน 15,000 ล้านเหรียญ จ้าง Alexandr Wang พัฒนา AI ให้ Meta</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ลืม Tesla ไปได้เลย! เมื่อ Robotaxi ‘รถแท็กซี่ไร้คนขับ’ แบรนด์ Zoox จาก Amazon กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจ สู้กับ Waymo!

<h2>Aicha Evans ซีอีโอ แห่ง Zoox บริษัทยานยนต์ไร้คนขับใน Silicon Valley ที่ทาง Amazon เข้าซื้อเมื่อปีก่อนกล่าวถึงการยกเครื่ององค์กรก่อนเปิดตัวรถแท็กซี่ไร้คนขับที่ Las Vegas</h2>
Evans กล่าวว่า Zoox กำลังอยู่ในช่วงทบทวนแผนธุรกิจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวทางปฏิบัติ หรือการลงมือปฏิบัติจริง และวางแผนเตรียมตัวปรับขยายรถแท็กซี่ไร้คนขับนี้ ก่อนจะเปิดให้ใช้งานครั้งแรกที่ Las Vegas 

Zoox ได้เปิดตัว<a href="https://www.forbes.com/sites/bradtempleton/2020/12/14/amazon-owned-self-driving-taxi-zoox-reveals-its-secret-vehicle/?sh=339ac0c4c916">รถแท็กซี่ไฟฟ้าโดยสาร 5 คน</a>ที่ออกแบบเองเมื่อปีที่แล้ว และเมื่อตุลาคมก็ได้ประกาศแพลนที่จะทดสอบระบบอัตโนมัติใน Seattle เพิ่มจากเดิม ที่ทดสอบแค่ใน San Francisco และ Las Vegas อีกทั้งยังไม่มีแพลนที่จะลดจำนวนพนักงานในการทบทวนแผนธุรกิจครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม Evans กล่าวกับ Forbes ว่าก็มีพนักงานรุ่นแรกๆ ของที่นี้ที่เก็บของออกจากบริษัทไปบ้าง 

<figure><img class="wp-image-53388 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Zoox_CEO_Aicha_Evans-e1635927869812.png" alt="" width="720" height="479" /><figcaption> Aicha Evans ผู้นั่งตำแหน่ง CEO</figcaption></figure>

เธอไม่ได้แชร์ข้อมูลเฉพาะเจาะจงอะไรเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง หรือวันที่จะเริ่มให้บริการใน Las Vegas แต่ทาง Jesse Levinson ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CTO ได้บอกว่า ทางบริษัทคาดว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าแรกที่นำ “รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้คนเลยในสักขั้นตอน” ไปขับเคลื่อนบนท้องถนน 

“โค้งสุดท้ายสำหรับเราคือ แทนที่จะทำให้เดโม่โปรแกรมของเราเป็นเรืองฮือฮา หรืออะไรแบบนั้น เราเน้นทำให้บริษัทเราเติบโตอย่างเต็มที่ ให้ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจและการค้าที่เรามี” Evans กล่าว 

ซึ่งนั่นก็หมายถึง “เต็มที่กับการเตรียมปรับขยาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวทาง หรือหลักการ รวมไปถึงการบริหารองค์กร และคนที่เราเอาเข้ามา หรืออยู่ต่อกับเราด้วย นั้นคือถนนเส้นที่เราเดินอยู่ตอนนี้” 

ตอนนี้ ทางบริษัทกำลังแข่งอยู่กับคู่แข่งที่มีทุนหนามากหน้าหลายตา อย่าง Waymo Cruise บริษัทในเครือของ Alphabet  ที่มีทาง General Motors หนุนหลัง และ Argo AI ที่ Ford และ Volkswagen คอยสนับสนุนอยู่ เพื่อที่จะเป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ไร้คนขับเจ้าแรกๆ ที่จะพิสูจน์ว่ารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบออนดีมานด์สามารถประสบความสำเร็จ และมีศักยภาพในการเป็นธุรกิจกำไรมหาศาลได้

ตอนนี้ ทาง Waymo เองก็ได้เปิดให้บริการรถขับเคลื่อนเองเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่ชานเมือง Phoenix โดยมีรถมินิแวน Chrysler ที่ดัดแปลงแล้วให้บริการ และขยายการให้บริการไปยังบริเวณ Bay Area ใน San Francisco อีกด้วย แต่ก็ยังคงมีขอบเขตให้บริการจำกัด และต้องอยู่ในแผนที่ปฏิบัติการที่ร่างไว้เท่านั้น

นอกจาก Elon Musk ที่ตั้งและพลาดเป้าที่จะให้บริการรถแท็กซี่ไร้คนขับภายในสิ้นปี 2020 แล้ว ทั้งทาง Zoox และคู่แข่งทั้งหลายก็ไม่ปริปากเลยว่าแท็กซี่ไร้คนขับจะมีใช้งานทั่วไปเร็วสุดเมื่อไรกันแน่

เพื่อผลิตรถยนต์ L5 แห่งอนาคต บริษัท The Foster City ได้สร้างฐานผลิตและจัดการยานยนต์ไซส์เล็ก ที่เมือง Fremont รัฐ California และนอกจากนี้ยังได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อทดสอบรถ Toyota รุ่น Highlander ที่ดัดแปลงแล้วอีกด้วยซึ่งมีการทดสอบทุกวันทั้งในเมือง San Francisco Las Vegas และ Seattle

ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้มีพนักงานอยู่ราวๆ 1,500 คน และไม่มีทีท่าที่จะลดพนักงานเลย แต่ก็มี “คนสำคัญที่เป็นรุ่นแรกๆ” บางคน ที่ออกจากบริษัทไป Evans กล่าวโดยไม่ได้เจาะจงว่ามีใครบ้าง 

“เราชื่นชมพวกเขานะ เราขอบคุณพวกเขาสำหรับก้าวแรกๆ นั้น” เธอกล่าว สำหรับบางคน โค้งแรกๆ บริษัทนี้คงจะสนุกมากกว่าโค้งบริษัทกำลังเข้าอยู่ตอนนี้ 

“โค้งนี้มันก็จะเร้าใจน้อยกว่าหน่อย มันขรุขระซะมากกว่า แต่นี้ก็เป็นเส้นทางที่เราต้องเดินไปเพื่อที่จะสามารถสร้างบริษัทที่ส่งออกผลิตภัณฑ์ และเปลี่ยนแปลงสังคม” Evans ทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Zoox CEO Overhauling Amazon’s Robotaxi Unit Ahead Of Las Vegas Commercial Launch เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/5-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81.html">5 มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ธุรกิจทะยานท่ามกลางสถานการณ์โควิด</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CEO Zoox ยกเครื่องแท็กซี่ไร้คนขับ ก่อนเปิดตัวที่ Las Vegas

<h2 class="p1">Tim Kentley Klay ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Zoox บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับ ที่ Amazon เข้าควบรวมกิจการ เปิดตัว "HYPR" สตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแห่งใหม่ มุ่งมั่นพัฒนาซอฟแวร์ปัญญาประดิษฐ์ให้ "รถยนต์สามารถเรียนรู้ที่จะขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง"</h2>
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ยานยนต์ของ HYPR ถูกพัฒนาขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยี Reinforcement Learning หนึ่งในเทคนิคการทำปัญญาประดิษฐ์ ที่ใช้วิธีการให้รางวัลหรือการลงโทษ เพื่อที่จะขับเคลื่อนรถยนต์คันนั้นๆ ไปยังทิศทางเป้าหมายที่ระบุไว้ โดยไม่ต้องใช้การสั่งการหรือการควบคุมจากมนุษย์เลย ก่อนที่จะต่อยอดสู่การพัฒนาซอฟแวร์ให้รถยนต์สามารถเรียนรู้ที่จะขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง
ล่าสุด สตาร์ทอัพจากเมือง Alamada, California แห่งใหม่นี้ สามารถระดมทุนมากถึง 10 ล้านเหรียญในรอบแรกจากธุรกิจร่วมลงทุนอย่าง R7 Ventures และมหาเศรษฐีพันล้านชาวออสเตรเลีย <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/profile/andrew-forrest/?sh=7271e40715d6">Andrew Forrest </a>เพื่อใช้ในการทดสอบระบบปฏิบัติงาน


<figure><img class="wp-image-38115" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/134385_132200_4125.jpg" alt="Tim Kentley Klay" width="720" height="574" /><figcaption> Tim Kentley Klay ผู้ก่อตั้ง HYPR</figcaption></figure>
“HYPR กำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่เหนือความคาดหมาย โดยตอนนี้เรากำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Machine Learning สำหรับการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ ที่มนุษย์มีหน้าที่เพียงการเขียนโปรแกรม แล้วให้หุ่นยนต์เรียนรู้จากข้อมูลที่ได้รับมา และนำไปปฏิบัติในส่วนต่อๆ ไปด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อไรที่เราทำในส่วนนี้สำเร็จ เราก็พร้อมที่จะแบ่งปันข้อมูลดังกล่าว” Kentley Klay กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ Forbes 
<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/alanohnsman/2020/11/22/now-an-amazon-company-zoox-is-ready-to-dial-up-its-robotaxi-push/?sh=7990156c3b0e">Zoox </a>ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดย<a style="color: #333333;" href="https://timkentleyklay.com/"> Kentley Klay </a>นักออกแบบชาวออสเตรเลีย และ Jesse Levinson นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ บุตรชายของประธานบริษัท Apple อย่าง Arthur Levinson และผู้พัฒนายานยนต์ไร้คนขับจากมหาวิทยาลัย Standford University ภายใต้โมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นผลิตรถยนต์เพื่อให้องค์กรนำไปใช้งานเป็นหลัก ไม่ใช่การผลิตเพื่อให้บริการเอง โดยในช่วงแรก ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองสามารถระดมทุนได้มากถึง 1 พันล้านเหรียญ สำหรับพัฒนาเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับให้กับกลุ่มลูกค้าในเมืองใหญ่ โดยเริ่มจากใน San Francisco เป็นที่แรก ก่อนที่จะขยายออกไปยังเมืองอื่นๆ
สำหรับการเข้าสู่วงการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นมาจากความสนใจของ Kentley Klay ที่ต้องการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ที่อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร โดยที่ไม่ต้องแม้แต่บังคับทิศทาง เบรก หรือสตาร์ทเครื่องยนต์เลยทีเดียว
ถึงกระนั้น ในช่วงปลายปี 2018 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขององค์กร เมื่อ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/alanohnsman/2018/08/22/twists-on-the-road-to-robotaxi-revolution-zooxs-founding-ceo-is-out/?sh=5ae099d116dc"> Kentley Klay </a>ถูกให้ออกจากบริษัท เพราะความเห็นต่างในกลยุทธ์การบริหารงานของ Zoox ก่อนที่สตาร์ทอัพจากเมือง Foster City, California แห่งนี้จะถูกควบรวมกิจการโดย Amazon ที่มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญ ในปี 2019 ที่ผ่านมา โดยมี Levinson ผู้ร่วมก่อตั้งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ท่ามกลางความสนใจในศักยภาพของนวัตกรรมแห่งอนาคตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การจัดการปัญหาที่เป็นข้อท้าทายในเชิงเทคนิคกลับต้องใช้ระยะเวลายาวนานเกินกว่าใครจะคาดการณ์ได้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในทุกอุตสาหกรรม จนทำให้โครงการรถยนต์ไร้คนขับของบริษัทชั้นนำอย่าง Waymo ของ Alphabet, Cruise ของ General Motor  หรือ Motional ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Hyundai Motor และ Aptiv สามารถทดลองให้บริการรถยนต์อัจฉริยะในปริมาณที่จำกัด และในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ต่างมองว่า อาจจะใช้เวลาถึง 3-4 ปีกว่าอุปสงค์ในแท็กซี่ไร้คนขับจะขยายสู่วงกว้างมากขึ้น


<figure><img class="wp-image-38114" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/960x0-1.jpg" alt="Tim Kentley Klay " width="720" height="409" /><figcaption> ผู้ร่วมก่อตั้ง Zoox (ซ้าย) Tim Kentley-Klay (ขวา) Jesse Levison ในปี 2018</figcaption></figure>
ในส่วนของ Zoox นั้น ล่าสุดทางบริษัทได้ออกมาเปิดเผยว่า กำลังพัฒนา "แท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 2 ทิศทาง (bi-directional robotaxi)" โมเดลที่บริษัทเป็นผู้ออกแบบเอง และวางแผนจะเริ่มทำการผลิตที่โรงงานในเมือง Fremont, California ภายในเดือนธันวาคม 2020 ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ดี Aicha Evans ซีอีโอคนใหม่ของบริษัทยังไม่ได้กล่าวถึงกำหนดการอื่นๆของรถยนต์รุ่นดังกล่าว
สำหรับแท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 2 ทิศทางนี้ จะไม่มีการติดตั้งพวงมาลัย ทั้งยังไม่มีการบอกว่าส่วนไหนคือด้านหน้าหรือด้านหลังของรถ ทำให้สามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางใดก็ได้ ตลอดจนสามารถย้อนทิศได้เลยถ้าหากว่าติดอยู่บนถนนที่คับแคบหรือรถติด เป็นต้น ดังนั้นจึงคาดว่าจะมีประโยชน์อย่างมากในเมืองที่มีบริการเรียกยานพาหนะรับส่งโดยสารและส่งสินค้า
ขณะที่ทาง HYPR ของ Kentley Kley กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ใหม่ๆที่รวดเร็วกว่าการปฏิบัติงานที่ใช้กันอยู่ในบริษัทยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแห่งอื่นๆ
“ผมเชื่อในกระบวนการเรียนรู้แบบครบวงจร ที่การประมวลผลบนระบบคลาวด์จะเชื่อมต่อข้อมูลทุกอย่างและกระจายสู่การเรียนรู้บนโลกออนไลน์ ซึ่งคล้ายกับการทำงานของเครือข่ายระบบประสาทของมนุษย์ ที่สามารถเห็นภาพบางส่วนแล้วเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆในสมอง ซึ่งในอนาคตอันไม่ไกลนี้ ระบบหุ่นยนต์หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก็จะทำงานในลักษณะเดียวกัน” Kentley Kley กล่าว พร้อมทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า “โปรดติดตาม! เพราะผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเป็นสิ่งที่คุณคาดไม่ถึงและไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน”
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Creator Of Amazon’s Zoox Robotaxi Unit Has A New Self-Driving Startup เผยแพร่บน forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/technology/hyundai-%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-ineos-%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%8c-%e0%b9%84%e0%b8%ae%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%88.html">Hyundai ร่วมกับ Ineos ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์รายใหญ่จากอังกฤษ พัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนสำหรับยานยนต์</a>

Tim Kentley Klay เปิดตัว "HYPR" สตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแห่งใหม่

<h2>ตามที่ Amazon ได้เคยกล่าวว่าจะรุกโลก ยานยนต์ไร้คนขับ ในตลาดโลจิสติกส์แบบล้ำๆ การควบรวมกิจการสตาร์ทอัพ Zoox ผู้พัฒนาเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวครั้งสำคัญ</h2>
Amazon ตกเป็นข่าวเตรียมควักเงินซื้อ Zoox สตาร์ทอัพด้าน ยานยนต์ไร้คนขับ ตามรายงานของ Wall Street Journal ขณะที่ Amazon ยังให้ความสนใจสตาร์ทอัพอื่นๆ ใน Silicon Valley ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไร้คนขับแห่งโลกอนาคต

โดย Wall Street Journal รายงานด้วยว่า มูลค่าทางการตลาดของ Zoox อยู่ที่ราว 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมูลค่าที่ประเมินจากการระดมทุนรอบล่าสุด

ขณะที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อไรและมูลค่าการขายที่ราคาใด อีกฟากหนึ่งแหล่งข่าวจาก Forbes ในความเห็นว่า นักลงทุนบางส่วนหวังว่าบริษัทจะพัฒนาเทคโนโลยีแท็กซี่ไร้คนขับด้วยลำแข้งของพวกเขาและการทำงานที่เป็นอิสระ ทั้งนี้หลังจากมีข่าวลือการซื้อกิจการ ​Zoox ด้าน ​Amazon ออกแถลงการณ์ปฏิเสธไม่ขอแสดงความเห็นใดๆ

“เราเชื่อว่ามูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญ คือราคาที่เหมาะสมสำหรับ Zoox หรือเพียง 65% จากที่เขาลือกัน” Asad Hussain นักวิเคราะห์จาก Pitchbook ที่คร่ำหวอดด้านธุรกิจสตาร์ทอัพกล่าว

<figure><img class="wp-image-30536 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/ยานยนต์ไร้คนขับ_03.jpg" alt="" width="600" height="341" /><figcaption> โครงสร้างต้นแบบที่ Zoox เตรียมพัฒนา</figcaption></figure>

Zoox ก่อตั้งโดย 2 ผู้ก่อตั้ง Tim Kentley-Klay นักออกแบบชาวออสเตรเลีย และ Jesse Levinson นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ จาก Stanford เมื่อปี 2014 ตั้งเป้าพัฒนา "การบริการขนส่ง" ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีไร้คนขับและพลังงานไฟฟ้าเพื่อเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าในเมืองใหญ่ โดยมีโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นผลิตรถยนต์เพื่อให้องค์กรนำไปใช้งานเป็นหลัก ไม่ได้ผลิตเพื่อให้บริการเอง

แต่กระนั้น Zoox เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ Tim Kentley-Klay หนึ่งในผู้ก่อตั้งถูกให้ออกหลังจากบริษัทได้รับเงินระดมทุน 500 ล้านเหรียญฯ ไม่นาน และได้ Aicha Evans อดีตผู้บริหารจาก Intel เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอแทนที่ ในขณะที่มูลค่าของบริษัท สูงเกือบ 1 พันล้านเหรียญ และบริษัทตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยี ยานยนต์ไร้คนขับ เพื่อใช้งานในมหานคร แต่ประเด็นความปลอดภัยจากการใช้งานยังเป็นที่กังวัลอยู่

“ดูเหมือนว่า Zoox จะถูกซื้อโดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เนื่องจากสถานะทางการเงินที่ไม่อาจทำให้สามารถผลักดันให้เทคโนโลยีขับขี่ไร้คนขับไปสู่การใช้งานในเมืองหลวงได้ ขณะที่การควบรวม Zoox ไม่ได้ช่วยให้ Amazon ขยายฐานด้านโลจิสติกส์ของตนได้” Asad Hussain นักวิเคราะห์กล่าว

ก่อนหน้านี้ Amazon เพิ่งได้ลงเงินก้อนใหญ่ไปกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Rivian ราว 440 ล้านเหรียญ ประกาศแผนการผลิตรถยนต์ขนส่งไฟฟ้า 100,000 คัน นับเป็นก้าวการลงทุนที่สำคัญของ Amazon ในการรุกธุรกิจสู่เทคโนโลยีการขับขี่ไร้คนขับ
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%95%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%84%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b9%89%e0%b8%b2-rivian.html">Amazon ทุ่มหลายพันล้านเหรียญ สั่งซื้อ รถตู้ไฟฟ้า 1 แสนคันจากสตาร์ทอัพ Rivian</a></li>
</ul>
ถ้า Amazon จบการซื้อครั้งนี้ราว 1 พันล้านเหรียญ Zoox จะมีมูลค่าเท่ากับบรรดาธุรกิจด้านขนส่งสินค้าไร้คนขับที่ทาง Amazon จ้องเตรียมลงทุนอยู่ อาทิ TuSimple ที่มูลค่าบริษัทอยู่ที่ราว 1.2 ล้านเหรียญฯหลังผ่านการระดมทุนในรอบ Series D เมื่อกันยายน ปีที่ผ่านมา และ PlusAI ที่มีมูลค่าบริษัทราว 1 พันล้านเหรียญ เช่นกัน

เรียบเรียงจาก Amazon Said To Be In Talks To Buy Self-Driving Startup Zoox เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/global/uber-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html">Uber เดินหน้าแผนปลดคน เตรียมเลย์ออฟพนักงานในอินเดีย 600 ตำแหน่ง</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความด้านธุรกิจ ติดตามได้ที่ Facebook: Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events