ธุรกิจ Robotaxi บริการเรียกรถโดยสารอัตโนมัติแบบไม่มีพวงมาลัย-ไร้คนขับ ในสหรัฐอเมริกากำลังสู้กันอย่างดุเดือด! ล่าสุดแบรนด์ Zoox จากค่าย Amazon เตรียมตัวกระโดดเข้าชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ช่วงปลายปี โดยชูจุดเด่น "โมเดลรถที่ออกแบบเอง! พร้อมติดตั้งกล้องและเซนเซอร์รอบทิศทาง" ถือเป็นการทุ่มทุนสร้าง ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยและความโดดเด่น แตกต่าง! ต่างจาก Tesla ของ Elon Musk ที่มีการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกและกล้องเพียง 8 ตัว
ตอนนี้ดูเหมือนว่าการแข่งขันของตลาด Robotaxi หรือ ระบบการเรียกรถโดยสารอัตโนมัติแบบไม่มีพวงมาลัย-ไร้คนขับ ในสหรัฐอเมริกากำลังสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากเจ้าตลาดอย่าง Waymo ของ Alphabet ที่จับมือกับ Uber กำลังเร่งเดินหน้าขยายการบริการไปทั่วอเมริกา ด้าน Tesla ของ Elon Musk ก็กำลังจะเปิดตัวโครงการนำร่อง ณ เมืองออสตินในสัปดาห์หน้า โดยชูจุดแข็งว่า “Tesla สามารถแซงหน้า Waymo บริษัทของ Alphabet Inc. ด้วยการใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติที่มีราคาถูกกว่ามาก”
ขณะเดียวกัน Zoox ซึ่งเป็นผลงานของ Amazon ก็วางแผนที่จะเข้าร่วมสู้ศึกการแข่งขันเพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะเริ่มปักหมุดในช่วงปลายปีนี้ ณ เมืองลาสเวกัส ต่อด้วย ซานฟรานซิสโก ออสติน ไมอามี ลอสแองเจลิส และแอตแลนตา พร้อมชูจุดเด่น “โมเดลรถที่ออกแบบเอง รูปทรงภายนอกดูคล้ายกับรถตู้ ซึ่งเต็มไปด้วยระบบเซ็นเซอร์และกล้อง” ที่จะทำให้แตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่ผ่านมา ทาง Amazon ได้ทุ่มเงินให้กับ Zoox พัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ตัวนี้เป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการที่จะติดตั้งเซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์ลงไปในยานพาหนะที่มีอยู่แล้วแบบที่แบรนด์คู่แข่งเจ้าใหญ่อย่าง Waymo ทำ...มันคงดูธรรมดาเกินไป! การวางแผนกลยุทธ์ของแบรนด์ Zoox นับตั้งแต่เริ่มต้นจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างรถหุ่นยนต์ไฟฟ้าสำหรับการบริการที่สร้างความแตกต่าง และไม่เหมือนใครบนท้องถนนแทน
ไม่มีพวงมาลัย, ไม่มีแป้นเหยียบ และไม่มีแม้แต่กระจกมองข้าง จะมีก็แต่ประตูบานเลื่อนที่ชวนให้นึกถึงโบกี้รถไฟ รวมถึงการใช้เทคโนโลยี Design ออกแบบให้เป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนได้สองทิศทาง โดยมีทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่เหมือนกัน โรโบแท็กซี่ของ Zoox ตัวนี้ มีความเร็วสูงสุด 75 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้ว่าในตอนนี้จะยังใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่ อยู่ที่ไม่เกิน 45 ไมล์ต่อชั่วโมงในการวิ่งในเมืองและชานเมือง ซึ่งในส่วนของระบบการชาร์จไฟนั้น จะสามารถทำงานได้นานถึง 16 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งต่อวัน และให้บริการได้อย่างน้อย 5 ปี ในระยะทาง 100,000 ไมล์
Jesse Levinson ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) ของ Zoox กล่าวว่า “เราตั้งใจมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้โดยสาร และเรามั่นใจว่าพวกเขาจะชอบคุณภาพในการให้บริการ ด้วยที่นั่งแบบรถม้า และห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราแตกต่าง”
นอกจากนี้ Aicha Evans ซีอีโอ Zoox ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “เรามุ่งมั่นที่จะขายประสบการณ์ที่ดีที่สุดของบริการรับส่งผู้โดยสาร ไม่ใช่การขายยานพาหนะ ด้วยอายุของการใช้งานที่ยาวนานและความสามารถในการให้บริการรับส่งผู้โดยสารได้หลายสิบเที่ยวต่อวัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ทำกำไรได้ แม้ว่ารถยนต์ของเราจะมีราคาสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปก็ตาม”


ทางบริษัท Joox เอง ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขของการลงทุน หลังจากก่อตั้งโรงงาน Hayward ขึ้นในปีที่แล้ว และยังมีแผนการใหญ่สำหรับโรงงานขนาด 220,000 ตารางฟุตแห่งนี้ โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทกำลังสร้างโรโบแท็กซี่เพียงวันละคัน โดยคนงานและหุ่นยนต์จะประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ที่จัดหาโดยบริษัทต่างๆ เช่น Bosch และ ZF พร้อมส่งแผงตัวถังรถมาจากอิตาลี สำหรับแผนของปีหน้า เป้าหมายคือสามารถผลิตได้ชั่วโมงละ 3 คันในกะเดียว หรืออัตราสูงสุด 5,000 คันต่อปี และเมื่อบริการขยายไปยังเมืองต่างๆ มากขึ้น โรงงานแห่งนี้ก็จะสามารถผลิตได้สูงถึง 10,000 คันต่อปี จากการทำงานเต็ม 2 กะ
อย่างไรก็ตาม ในแนวทางการขับขี่อัตโนมัติของ Zoox นี้ มีความใกล้เคียงกับ Waymo มากกว่า Tesla โดยบริษัทได้ทดสอบและฝึกอบรมเทคโนโลยีที่ใช้ AI บนยานพาหนะที่ดัดแปลงบนท้องถนนในเมืองและในการจำลองเสมือนจริงที่เข้มข้น นอกจากนี้ ยังติดตั้งเซ็นเซอร์รุ่นพิเศษ เช่น ไลดาร์เลเซอร์ 8 ตัว เรดาร์ 10 ตัว กล้องดิจิทัล 18 ตัว ไมโครโฟน 8 ตัว (เพื่อฟังเสียงรถฉุกเฉิน เป็นต้น) รวมถึงการติดตั้งกล้องเทอร์มอล 4 ตัวที่สามารถตรวจจับมนุษย์และสัตว์ในสภาพอากาศที่มืดมัว แสงสลัว หรือแม้แต่ในหมอกและไอน้ำ ซึ่งคล้ายกับเซ็นเซอร์ปัจจุบันของ Waymo ที่ใช้อยู่


ในทางกลับกัน Elon Musk กำลังส่งเสริมแนวคิดที่ว่าระบบขับขี่อัตโนมัติของ Tesla สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยด้วยกล้องเพียง 8 ตัวและเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกซึ่งมีราคาเพียงเศษเสี้ยวของเทคโนโลยีที่ Zoox และ Waymo ใช้ โดยเรื่องนี้สร้างความกังวลใจให้กับเหล่านักวิจัยด้านยานยนต์อัตโนมัติและผู้สนับสนุนด้านความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ Tesla เคยถูกหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ สอบสวนในอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้งที่เกี่ยวข้องกับฟีเจอร์ Autopilot และ Full-Self Driving ซึ่งแม้จะมีชื่อที่ทำให้หลายคนเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ใช่ระบบไร้คนขับจริงๆ
ภาพ : Amazon
แปลและเรียบเรียงจากบทความ : Forget Tesla. Amazon’s Zoox Is On Track To Be Waymo’s Biggest Robotaxi Rival
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จะคุ้มไหม? Mark Zuckerberg ทุ่มเงิน 15,000 ล้านเหรียญ จ้าง Alexandr Wang พัฒนา AI ให้ Meta
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine