<h2>Google ขายซอฟต์แวร์คลาวด์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19</h2>
<figure><img class="wp-image-47777" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/180405-google-ceo-ai-pentagon-feature-1024x682.jpg" alt="Google ขาย AI" width="720" height="480" /><figcaption> Sundar Pichai ซีอีโอ Alphabet และ Google</figcaption></figure>

ข้อตกลงมูลค่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการเปิดเผยรายละเอียดตาม<a style="color: #008000;" href="https://www.documentcloud.org/documents/20982296-carahsoft-contract-with-defense-re-google-tech-for-covid-19-response">กฎหมายเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร (FOIA)</a> แสดงให้เห็นว่า Google ร่วมกับ Carahsoft ส่งมอบเครื่องมือระบบคลาวด์และ AI ของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีให้กับ United States Northern Command (USNORTHCOM) ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบัญชาการและควบคุมส่วนกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของชาติและการทหารของกระทรวงกลาโหม (DOD) 

ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวมีกำหนดการเริ่มงานในเดือนพฤษภาคม 2020 และคงอยู่เป็นระยะเวลา 1 ปี และขณะนี้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ สัญญายังระบุถึงวิธีใช้ซอฟต์แวร์ของ Google ในการรวบรวมข้อมูลของกระทรวงกลาโหม “เพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินอื่นๆ” ด้วยการ "บูรณาการ รวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญ”

ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับ MIT Lincoln Laboratory ในการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางทหารที่มีทักษะที่เกี่ยวข้อง หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทต่างๆ “เพื่อเข้าถึงชุดข้อมูลและอัลกอริทึมที่มีอยู่ และคาดการณ์การขาดแคลนห่วงโซ่อุปทานในอนาคต"

ก่อนหน้านี้ Forbes เปิดเผยว่าบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับทุนจาก GV (เดิมคือ Google Ventures ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนภายใต้กลุ่ม Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google) กำลังทำงานตรวจสอบข้อมูลภูมิสารสนเทศทุกรูปแบบสำหรับกระทรวงกลาโหม โดยการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางดาวเทียม วิดีโอจากโดรน และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งจากสมาร์ทโฟน 

มากกว่า สัญญาฉบับนี้ยังอนุญาตให้ใช้เครื่องมือของ Google ได้อย่างกว้างขวาง โดยผสานรวม "กับหน่วยงานและองค์กรภายใต้กระทรวงกลาโหม ของรัฐบาลกลาง รัฐ ท้องถิ่น เอกชน และระหว่างประเทศ" (Google ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะงานเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้หารือเกี่ยวกับสัญญาโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากลูกค้า)

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีของ Google จะถูกใช้เพื่อประเด็นอื่นๆ นอกจากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในที่นี้ Jack Poulson อดีตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลของ Google ที่ลาออกเพราะข้อกังวลด้านจริยธรรม ยังคงมีความกังวลว่าสัญญานี้หากไม่มีข้อกำหนดเพิ่มเติม อาจนำไปใช้ด้วยวิธีอื่นได้ โดยเขาชี้ไปที่กรณีการใช้งานที่เป็นไปได้สำหรับ <a style="color: #008000;" href="https://www.army.mil/article/76607/jtf_north_deploys_soldiers_to_support_border_patrol_in_n_m_ariz">Joint Task Force North (JTF-North)</a> ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ USNORTHCOM ซึ่งก่อนหน้านี้เคยช่วยสนับสนุนการป้องกันชายแดนของอเมริกา สงครามกับยาเสพติด และการต่อต้านการก่อการร้าย

ในที่นี้ เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ในเดือนมิถุนายน 2018 Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้ให้คำมั่นสัญญาบนบล็อก ‘AI at Google: our principles’ ว่า Google จะหลีกเลี่ยงการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้าง “อาวุธหรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเสียหายโดยตรงแก่ประชาชน”

แต่ในช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัทกลับต้องเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องจากพนักงานกว่า 3 พันคน ที่คัดค้านความร่วมมือของบริษัทกับกระทรวงกลาโหมใน<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/thomasbrewster/2020/12/22/google-promised-not-to-use-its-ai-in-weapons-so-why-is-alphabet-investing-in-ai-satellite-startups-with-military-contracts/?sh=50f5a1987595">โครงการ Maven</a> ซึ่งเป็นการนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์รูปถ่ายจากโดรน เพื่อระบุตัวตนของคนและวัตถุได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยโครงการนี้มีมูลค่าราว 250 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับ Google ที่ 15 ล้านเหรียญ เป็นระยะเวลา 18 เดือนด้วยกัน

โดยในจดหมายเปิดผนึกของพนักงาน Google มีข้อเรียกร้องหลักๆ อยู่ 3 ข้อ คือ หนึ่ง ยกเลิกสัญญากับกระทรวงกลาโหมในโครงการ Mavn สอง ให้คำมั่นว่าจะไม่พัฒนาเทคโนโลยีทางทหาร และจะไม่อนุญาตให้รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร และสามสัญญาว่าจะไม่เข้าร่วมพัฒนาหรือสนับสนุน ค้า หรือ ผลิต อาวุธอัตโนมัติและสนับสนุนการคว่ำบาตรอาวุธอัตโนมัติ “พวกเราเชื่อว่า Google ไม่ควรจะกลายเป็นธุรกิจแห่งสงคราม”

หลังจากที่มีการเรียกร้องและลาออกของพนักงาน Google ทางผู้บริหารได้ตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวโดยการ ไม่ต่อสัญญากับโครงการ Maven เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงในปี 2019

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Google Sold $2.5 Million In AI To The Pentagon For Its Covid-19 Recovery เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/america/เหตุใด-google-จึงเลือกลงทุนใน.html">Google ไม่ใช้ AI สร้างอาวุธ แต่กลับเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพด้านสงคราม</a>

Google ขาย AI มูลค่า 2.5 ล้านเหรียญฯ ให้เพนตากอนใช้ในสถานการณ์โควิด-19

<h2>Google เตรียมให้ใช้พื้นที่ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นตึก ลานจอดรถ และพื้นที่ต่างๆ เพื่อเป็นคลินิดฉีดวัคซีนโควิด-19 เช่นเดียวกับ Disney, Amazon และ Starbucks ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับประเทศ  เพื่อเร่งกระบวนการการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงทั้งประเทศ</h2>
<figure><img class="wp-image-40679 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/sundar.jpg" alt="Google" width="720" height="539" /><figcaption> Sundar Pichai ซีอีโอ Google</figcaption></figure>

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2021 <a href="https://blog.google/technology/health/vaccines-how-were-helping">Sundar Pichai</a> ซีอีโอของ Google ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงแผนการการจัดตั้งคลินิกฉีดวัคซีนใน Los Angeles, San Francisco, Kirkland, Washington และ New York City ก่อนที่จะขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ เมื่อจำนวนวัคซีนสามารถใช้ได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมลงทุนเป็นมูลค่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการศึกษาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมอย่างเสมอภาค

ขณะที่มูลนิธิ CDC องค์การอนามัยโลก และองค์กรไม่แสวงหากำไรอื่นๆ จะได้รับเงินสนับสนุนโฆษณามูลค่า 100 ล้านเหรียญ และอีก 50 ล้านเหรียญจะถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในการส่งข้อมูลเรื่องวัคซีนให้กับชุมชนผู้ด้อยโอกาส

มากกว่านี้ ในฐานะเสิร์ชเอนจินรายใหญ่ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ ทางบริษัทจะทำการขยายช่องทางการให้ข้อมูลด้านวัคซีนในแถบค้นหา ซึ่งหมายรวมถึงกระบวนการในการเข้ารับการฉีด และสถานที่ที่ให้บริการใน Google Maps ใน Arizona, Louisiana, Mississippi และ Texas ขณะที่อีกหลายๆ รัฐจะค่อยๆ ทยอยเพิ่มมาทีหลัง เพื่อให้สะดวกต่อการค้นคว้า โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2021 ที่ผ่านมา มีการค้นหาคำว่า “วัคซีนใกล้ตัวฉัน” ในแถบค้นหา เพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่า

แถลงการณ์ของ Google ในครั้งนี้ได้เห็นถึงความพยายามในการเป็นช่องทางหนึ่ง ที่จะสามารถเอื้ออำนวยความสะดวกด้านวัคซีนให้คนภายในประเทศ เช่นเดียวกับที่ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ทาง Orange County ซึ่งเป็นหนึ่งในเคาน์ตี้ในรัฐ California ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่า <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/alisondurkee/2021/01/12/disneyland-resort-to-become-covid-19-vaccination-super-site/?sh=490d86081164">Disneyland Resort</a> ใน Anaheim จะปรับตัวเป็นคลินิดฉีดวัคซีนโควิด-19 ราวพันเข็มต่อวัน ขณะที่ทาง Disney ได้รายงานว่า กำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือกับทางการ Florida ในการดำเนินการเปลี่ยนสวนสนุก <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/siladityaray/2021/01/25/google-is-the-latest-company-to-turn-its-facilities-into-covid-19-vaccination-sites/?sh=6ef910122e9a">Disney World</a> เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน 

และในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา <a style="color: #008000;" href="https://www.politico.com/news/2021/01/23/amazon-covid-vaccine-distribution-461525">Amazon</a> ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลกได้จัดตั้งสถานที่ฉีดวัคซีนชั่วคราวใน Seattle ที่สามารถรองรับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2,000 คน พร้อมทั้งมีความยินดีที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการขนส่ง เพื่อเอื้ออำนวยการจัดส่งวัคซีนให้ครอบคลุมทั้งประเทศ 

ไม่เพียงเท่านี้ Jay Inslee ผู้ว่าราชการ Washington ได้ออกมาเปิดเผยว่า ทางรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับหลากหลายบริษัท อาทิเช่น <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/rachelsandler/2021/01/18/washington-state-partners-with-starbucks-for-vaccine-distribution/?sh=479c5a257ce9">Starbucks</a>, Microsoft และ Costco เพื่อจัดส่งวัคซีนภายในรัฐ โดยล่าสุดได้ทำการจัดเตรียมเปลี่ยนสนามกีฬาหลายๆ แห่งให้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 อาทิเช่น Dodger Stadium ใน Los Angeles, Citi Field ใน New York, State Farm Stadium ในชานเมือง Phoenix, Minute Maid Park ใน Houston และ Hard Rock Stadium ใน Miami

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Google Is The Latest Company To Turn Its Facilities Into Covid-19 Vaccination Sites เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/เหตุใด-google-จึงเลือกลงทุนใน.html">Google ไม่ใช้ AI สร้างอาวุธ แต่กลับเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพด้านสงคราม</a>

Google เตรียมให้ใช้พื้นที่ของบริษัทเป็นจุดฉีดวัคซีนโควิด-19

Google ไม่ใช้ AI สร้างอาวุธ แต่กลับเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพด้านสงคราม

GOOGLE กำลังจะพลิกโฉมครั้งใหญ่ – อีกครั้ง

ในบล๊อค Alphabet ของ Google ได้เขียนถึงการปรับโครงสร้างของ Google และยังมีเรื่องน่าประหลาดใจยิ่ง เมื่อ Larry Page เปรยถึง Sundar Pichai วัย43 ปี ผู้ทำงานกับ Google กว่า 11 ปี ผู้ที่จะมาแทน Page ในฐานะ CEO แห่ง Google คนต่อไป 
 
&ldquo;Sundar พูดภาษาเดียวกับผม (ซึ่งดีกว่าในบางครั้ง) ผมสนุกกับการทำงานร่วมกัน และตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงความก้าวหน้าและความทุ่มเทให้กับบริษัทของเขา&rdquo; Page CEO แห่ง Google ผู้รั้งตำแหน่ง CEO เมื่อปี 2011 เขียนบางส่วนในบล๊อคดังกล่าว 
 
Pichai เป็นใคร? มาจากไหน? ผู้ที่จะมานำบริษัทเอกชนที่สร้างผลกำไรสูงสุดในสหรัฐฯ โดยปีที่ผ่านมา 89% ของรายได้จาก 66 พันล้านเหรียญสหรัฐ ของ Google มาจากแผนกที่ Pichai เป็นผู้นำทัพ นั่นเอง 
 
ย้อนไปครั้งแรกที่ Pichai เข้าร่วมกับ Google นั้น เขาเหมือนพนักงานที่เฉลี่ยวฉลาดทั่วๆ ไปของบริษัท และดำรงตนด้วยความถ่อมตน Bloomberg BusinessWeek เคยนำ Pichai มาขึ้นปกเมื่อมิถุนายน 2014 บทความเล่าถึงตัวตนของเขาว่าด้วยการเกิดและเติบโตใน Chennai เมืองทางตอนใต้ของอินเดียที่มีประชากร 4 ล้านคน มารดาทำงานเป็นนักชวเลขก่อนที่จะมีเขาและน้องชาายะพ่อของเขาเป็นนักวิศวกรทางด้านไฟฟ้าดูแลโรงงานสัญชาติอังกฤษ 
 
ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ภายในอะพาร์ตเมนต์ขนาด 2 ห้อง เขาและน้องชายอาศัยนอนในห้องรับแขก ครอบครัวเขาไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และเมื่อเขาอายุ 12 ปี พวกเขาเพิ่งมีโทรศัพท์เป็นเครื่องแรก 
 
Pichai ถือเป็นนักเรียนหัวแถว เขาศึกษาทางด้านวิศวกรรม ด้วยผลการเรียนที่ดีจาก Indian Institute of Technology Kharagpur ทำให้เขาได้รับทุนการศึกษาต่อที่ Stanford University แต่เดิมเขาวางแผนที่เรียนต่อถึงขึ้นปริญญาเอก ในสาขา materials science and semiconductor physics เพื่อเป็นนักวิชาการ แต่เขาต้องหยุดเรียนไว้กลางคันเพื่อทำงานในฐานะ engineer and product manager ใน บริษัท Applied Materials บริษัทผู้ผลิต semiconductor ย่าน Silicon Valley 
 
ปี 2002 เขาสำเร็จ MBA ที่ Wharton School of the University of Pennsylvania และทำงานในฐานะที่ปรึกษาที่ McKinsey &amp; Company ก่อนเริ่มงานกับ Google ในปี 2004 
 
งานแรกของเขาที่ Google ร่วมกับทีมเล็กๆ พัฒนาเกี่ยวกับ search toolbar ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานจากที่หลากหลายค้นหาผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และด้วยไอเดียนี้ของเขา Page และ Brin ชื่นชอบในโครงการแต่ Eric Schmidt CEO แห่ง Google ในขณะนั้นไม่เห็นด้วย ตามการรายงานจาก BusinessWeek Eric Schmidt คิดว่า โครงการ Browser เป็นโครงการไม่ตรงจุดและให้สร้างค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก แต่แน่นอน Chrome คือเป็นความสำเร็จมหาศาลของ Google มีสัดส่วน 45% จากส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลก 
 
Pichai ยังเข้าร่วมในการพัฒนาระบบจาก Chrome สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ต่อการสำรองข้อมูลไว้บน Cloud และพัฒนาระบบปฏิบัติการ Chrome จะใช้นำไปติดตั้งในคอมพิวเตอร์พกพาราคาประหยัดที่เรียกว่า Chromebook ที่เป็นที่นิยมในโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ทั้งนี้เขายังดูแลผลิตภัณฑ์สำคัญๆ ของ Google อย่าง Gmail, Google Drive and Google Maps 
 
ปี 2013 เขาได้รับงานใหญ่ในการควบคุมระบบ Android เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการโทรศัพท์สู่ระบบปฏิบัติการอื่นๆ อาทิ นาฬิกาอัจฉริยะ ระบบปฏิบัติการทีวี ในรถยนต์ และระบบการชำระเงิน ทั้งนี้ Pichai ยังต้องการการขยายฐานเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟน ระบบ Android ราคาถูกที่เกิดใหม่ 
 
การเลื่อนตำแหน่งสู่หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ปี 2014 เลื่อนเขาสู่เบอร์สองเป็นรองเพียง Page เข้ามาดูแลการดำเนินงานระหว่างประเทศของผลิตภัณฑ์หลักใน Google รวมไปถึง Google Maps, การค้นหา และ การโฆษณา และความพยายามใหม่ๆ อย่าง Google Photos และ Google Now และ ผู้ช่วยส่วนตัวที่ชาญฉลาดใกล้เคียงกับ Siri ของ Apple &ldquo;เขาสร้างสิ่งมหัศจรรย์มาตลอดเกือบ 12 ปี ผลงานของผู้ชายคนนี้ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาด&rdquo; Wesley Chan อดีตตผู้ร่วมงานสมัยร่วมกันทำโครงการ toolbar กล่าวผ่านบทสัมภาษณ์ผ่าน Wall Street Journal 
 
จากความสำเร็จของเขาที่ Google ทำให้เขาติดในรายชื่อถูกถึงตัวไปทำงานไม่ว่าจะบรรดายักษ์ไอทีสหรัฐ อย่าง&nbsp; Twitter หรือ Microsoft &ldquo;โครงสร้างใหม่เป็นข้อเสนอสำคัญที่เลื่อนตำแหน่งและรั้ง Sundar Pichai ไว้&rdquo; William Bird นักวิเคราะห์จาก FBR Capital กล่าวถึงการเทคนิคของ Page and Brin ในการเก็บตัวเขาไว้กับ Google
<hr />
เรียบเรียงจาก "Who Is Google&#39;s New Chief, Sundar Pichai?" โดย Susan Adams Forbes Staff

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events