Sundar Pichai ผู้รับตำแหน่ง CEO คนใหม่ คือ อัจฉริยะมากประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลพัฒนาผลิตภัณฑ์ เขามุ่งเป้าหวังพลิกโฉมองค์กรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกและวิถีการใช้เทคโนโลยีของทุกคน ด้วยนวัตกรรมจาก AI
บรรดาแฟนเพลงผู้รักในเสียงดนตรีคงคุ้น กันดีกับ Shoreline Amphitheater สถานที่จัดงานแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่นั่งใน Silicon Valley เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ Sundar Pichai ผู้นำคนใหม่ของ Google ได้ปรากฏตัวบนเวทีพร้อมเพลงจังหวะมันส์ๆ และวีดีโอประกอบการนำเสนอที่มีสีสันเหมือนฉากในเกมซึ่งฉายอยู่บนจอขนาดยักษ์ อาจดูเกินจริงที่เขาปรากฏตัวบนเวทียิ่งใหญ่นี้ด้วยท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย ระหว่างพูดบนเวที Pichai ผู้บริหารหนุ่มแสนชาญฉลาดวัย 43 ปีรูปร่างสูงชะลูด อย่างไรก็ตาม ที่งานสัมมนาประจำปีของ Google ในครั้งนี้เขาคือดาวเด่นคนสำคัญ “เรากำลังอยู่ในยุคสมัยอันน่าตื่นเต้นเร้าใจ โลกเทคโนโลยีได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่” ซึ่งเรียกเสียงเฮ จากผู้เข้าร่วมฟังเมื่อเขาเน้นย้ำและลากเสียงยาวคำว่า “ยิ่งใหญ่” เขาดูไม่เหมือน Steve Jobs และแตกต่างจากทั้ง Mark Zuckerberg, Jeff Bezos หรือแม้แต่ Tim Cook เนื่องจาก Pichai เป็นผู้นำที่ไต่เต้ามาจากตำแหน่งภายในองค์กรตามแบบฉบับคนยุคก่อน เขาไม่ชอบเป็นจุดเด่น ทำตัวเรียบง่าย มีระเบียบแบบแผนและพอใจกับการตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพัฒนาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ยุคใหม่มากกว่าเดินขึ้นเวทีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คุณสมบัติทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google มองหาเมื่อเขาตัดสินใจเลือก Pichai เข้ารับหน้าที่ดูแลหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกและตำแหน่งนี้ได้มาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ มูลค่ากิจการตามราคาตลาดของบริษัทอยู่ที่ราว 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ Google หรือจะพูดให้ถูกก็คือบริษัทแม่อย่าง Alphabet ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกและครองตลาดสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงธุรกิจค้นหาข้อมูลสื่อโฆษณาดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ และวิดีโอ ทั้ง Page และ Pichai เข้าใจเป็นอย่างดีว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักพลาดพลั้งหลงทิศทางในช่วงที่ธุรกิจกำลังแข็งแกร่งที่สุด ก่อนหน้านี้อดีตยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีอย่าง IBM และ Blackberry เคยพ่ายแพ้เสียทีให้กับคู่แข่งรายสำคัญรายหนึ่ง แต่ Google รับศึกหนักหลายด้านเมื่อต้องชนกับ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี บริษัทต้องต่อกรกับ Apple ในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ แข่งขันกับ Facebook ในตลาดโฆษณา วิดีโอและสื่อสังคมบนโลกออนไลน์ บริษัทเปิดศึกกับ Amazonในธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ และพยายามแย่งชิงตลาดซอฟต์แวร์กับ Microsoft ซึ่งกำลังพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม Pichai เชื่อว่าโลกเทคโนโลยียุคใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ Google เนื่องด้วยหนึ่งปัจจัยสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (artificial intelligence) ซึ่งเทคโนโลยี AIที่เป็นหัวใจสำคัญอยู่ในกรอบการทำงานของ Google มานานหลายปีแล้ว บริษัทได้ทุ่มลงทุนในการศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีอันเป็นรากฐานสำคัญมาเป็นเวลานานก่อนคู่แข่งเกือบทุกราย “เราคาดการณ์มาก่อนหน้านี้หลายปีว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากยุคของสมาร์ทโฟนมาเป็นยุคแห่งเทคโนโลยี AI” Pichai กล่าวกับ FORBES บนเวทีสัมมนา Pichai ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับไม้เด็ดที่ได้จากการหล่อหลอมเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกัน ลำโพงอัจฉริยะ Google Home จะออกมาชนตลาดกับ Echo ของ Amazon (และรวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Apple ที่ลือกันว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา) และจะส่งแอพพลิเคชั่นรับส่งข้อความ Allo ออกสู่ตลาด ทั้งสองผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มาพร้อมทีเด็ดของ Pichai ที่เรียกว่า “Google Assistant” ผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถสั่งการด้วยเสียงและพูดคุยตอบโต้ผู้ใช้งานที่บริษัทปลุกปั้นพัฒนาขึ้น หน้าที่ของ Pichai คือการทำให้แน่ใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ Google พร้อมทั้งต้องบริหารดูแลบริษัทที่มีพนักงานกว่า 60,000 คนและทำรายได้ 7.5 หมื่นล้านเหรียญต่อปีให้ขับเคลื่อนต่อไปภาระอันใหญ่หลวงนี้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่ Page คัดเลือกคนจากศักยภาพที่เห็นได้เด่นชัด สิ่งที่ Pichai ต้องลงมือเป็นอย่างแรกเริ่มจากทำให้ธุรกิจต่างๆ ภายใต้อาณาจักรเทคโนโลยี ตั้งแต่เว็บไซต์ค้นหาข้อมูล, Android, Maps, YouTube, Play และบริการอื่นๆ สร้างเม็ดเงินให้กับบริษัท นอกจากนี้เขายังต้องประคองคู่แข่งรายต่างๆ ในธุรกิจ Android ให้สมานฉันท์ ควบรวมสองระบบปฏิบัติการ Android และ Chrome ของบริษัทเข้าด้วยกัน และรับมือกับประเด็นทางกฎหมาย การตรวจสอบทางภาษีในยุโรปและประเทศอื่นๆ Pichai กล่าวว่าเขาพร้อมที่จะนำทัพ Google สู่ความพลิกเปลี่ยนโดยสมบรูณ์แบบ “โดยส่วนตัวแล้วมีการวางแผนที่จะปรับทิศทางขององค์กรและมุ่งพัฒนาสู่ยุคแห่งสมองกลและเทคโนโลยี AI” หากย้อนกลับไป Pichai เริ่มชีวิตการทำงานกับ Google ในปี 2004 เขาเคยรับหน้าที่พัฒนาซอฟต์แวร์ Google Toolbar ซึ่งแม้ไม่ใช่งานที่น่าตื่นเต้นท้าทายแต่ก็มีความสำคัญอย่างมาก แถบเครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดหน้าเว็บไซต์ Google หลังจาก Pichai คุมทีมดูแลเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการพัฒนาแถบเครื่องมือนี้ เขาวางเดิมพันครั้งใหญ่กับโครงการใหม่ นั่นคือการสร้างเบราว์เซอร์ Chrome โครงการนี้เป็นที่โต้เถียงกันในองค์กรเนื่องจากบางคนมองว่าบริการนี้ไม่อาจสร้างความระแคะระคายต่อ Microsoft ที่มี Internet Explorer ครองตลาดอยู่ แต่ Pichai แย้งว่า Google สามารถสร้างเบราว์เซอร์ที่มีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่งและบริษัทมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มหาศาลจากธุรกิจบริการค้นหาข้อมูลหาก Microsoft สกัดกั้นผู้ใช้งานไม่ให้เข้าถึงเว็บ Google ด้วย Explorer ได้สำเร็จ Pichaiซึ่งตอนนั้นทำงานภายใต้การดูแลของ Marissa Meyer ซึ่งปัจจุบันคือ CEO ของYahoo พร้อมทีมงานไม่กี่คนได้ลงมือพัฒนาเบราว์เซอร์ตัวใหม่นี้อย่างเงียบๆ แต่การเปิดตัว Chrome ที่วางแผนมาอย่างดีเมื่อปีและเบราว์เซอร์ของ Pichai สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยจากประสิทธิภาพการทำงานที่ขึ้นชื่อว่ามีความทันสมัยและเร็วที่สุดในตลาด ความสำเร็จของ Chrome ในสมรภูมิที่แทบไม่มีโอกาสชนะยิ่งตอกย้ำศักยภาพของ Pichai ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Google เทคโนโลยีที่กลายมาเป็นรากฐานสำคัญสำหรับ Pichai ในการก้าวสู่โลก AI มีจุดกำเนิดอยู่ที่ตึกสองชั้นหน้าตาธรรมดาหลังหนึ่ง ที่ Mountain View รัฐ California ทีมเฉพาะกิจหรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Google Brain ได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีต่างๆที่จะมาเป็นอาวุธหลักสำหรับ Google และผลิตภัณฑ์ของบริษัทในอนาคต ทีมพัฒนานี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนโดยมีเป้าหมายในการวิจัยและพัฒนา AI ที่เรียกว่า Deep Learning หรือชุดคำสั่งเพื่อเลียนแบบสมองมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ได้พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมานานหลายปีก่อนหน้านั้น แต่พวกเขายังไม่ได้ทดลองโปรแกรมอย่างเต็มรูปแบบเนื่องจากต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่รองรับการประมวลผลข้อมูลในปริมาณมหาศาล ทว่า Google มีสิ่งนี้ในครอบครอง ดังนั้นบริษัทจึงมอบหมายให้ Jeff Dean หนึ่งในวิศวกรที่มีประสบการณ์สูงด้านระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูงและผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี AI จำนวนหนึ่งให้เข้ามาดูแลโครงการนี้ พวกเขาฝึกให้คอมพิวเตอร์จดจำแยกแยะภาพต่างๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างมากและช่วยให้ Google พัฒนาอย่างก้าวกระโดด Google Photos ซึ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลได้สัมผัสเทคโนโลยีสุดล้ำเหล่านี้และสร้างความฮือฮาในวงการเทคโนโลยีด้วยคุณสมบัติในการจดจำแยกแยะรูปภาพพร้อมทั้งจัดหมวดหมู่ให้โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถเลือกค้นหาบุคคล สัตว์ชนิดต่างๆ หรือคนกำลังกอดกัน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในตลาด Google Photos มีผู้ใช้งานกว่า 200 ล้านคนแล้ว สำหรับ Pichai สิ่งนี้ คือตัวอย่างอันดีที่จะแสดงให้เห็นว่า AI ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าสามารถช่วยให้ Google คว้าชัยชนะเหนือคู่แข่ง ล่าสุดพวกเขาได้พัฒนาชุดคำสั่งและระบบคอมพิวเตอร์ คือชิปประมวลผลของ Google เองที่ออกแบบให้รองรับการใช้งานกับเทคโนโลยี AI ในรูปแบบต่างๆ (ซอฟต์แวร์สำหรับสมองกลของ Google Brain คือ TensorFlow ส่วนชิปประมวลผลเรียกกันว่า Tensor Processing Units) ส่งผลให้ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีที่ได้ จาก Google Brain ไปใช้ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 2,000 โครงการ แต่ทั้งนี้ คู่แข่งของ Google เร่งฝีเท้าก้าวสู่โลกเทคโนโลยี AI เช่นกัน เริ่มจาก Microsoft ซึ่งทีมพัฒนาคล้ายทีมของ Google Brain กำลังมุ่งเป้านำระบบการเรียนรู้อัตโนมัติไปเสริมเพิ่มคุณสมบัติในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขณะที่ Zuckerberg จาก Facebook ได้ตั้งศูนย์พัฒนานวัตกรรม AI ซึ่งประกอบด้วยทีมนักวิจัยหลายร้อยคนและประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบจดจำใบหน้าและการรับคำสั่งด้วยเสียงเมื่อไม่นานมานี้ ส่วน Bezos แห่ง Amazon มอบหมายให้ทีมงานมากกว่า 1,000 คน ริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีระบบสั่งงานด้วยเสียงอันเฉลียวฉลาดอย่าง Alexa ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการทำงานของ Echo ลำโพงอัจฉริยะทางด้าน Apple ก็กำลังวุ่นอยู่กับการขยายความสามารถSiri และคาดว่าจะเปิดกว้างให้นักพัฒนาภายนอกสามารถมีส่วนร่วม ในอีกไม่ช้า Pichai เชื่อมั่นว่า Google นำหน้าอยู่เหนือคู่แข่ง เขายกตัวอย่างถึงซอฟต์แวร์ AlphaGo ที่เพิ่งโค่นแชมป์หมากล้อมของโลกเมื่อไม่นานมานี้และอาจได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต ตาจากในมุมของผู้สังเกตการณ์ภายนอกอย่าง Yoffie ศาสตราจารย์จาก Harvard เห็นพ้องว่า Google มีความพร้อมเหนือคู่แข่งที่จะก้าวสู่ยุคเทคโนโลยี AI “Sundar ก้าวกระโดดมาได้ถูกทางและตัดสินใจได้ดีในหลายๆ เรื่อง” Yoffie กล่าว จากนั้นเขาเสริมต่อว่า “แต่เขายังไม่ได้ผ่านการทดสอบที่แท้จริง” เรื่อง: Miguel Helft เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนาคลิ๊กอ่าน "GOOGLE กำลังจะพลิกโฉมครั้งใหญ่ – อีกครั้ง" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ AUGUST 2016 ในรูปแบบ e-Magazine