<h2>​บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส&nbsp;2&nbsp;ของปี&nbsp;2568&nbsp;จำนวน&nbsp;12,786&nbsp;ล้านบาท เพิ่มขึ้น&nbsp;27.7%&nbsp;จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และ การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;สำหรับครึ่งแรกของปี&nbsp;2568&nbsp;บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน&nbsp;25,288&nbsp;ล้านบาท เพิ่มขึ้น&nbsp;18.7%&nbsp;จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2&nbsp; มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน </h2> &nbsp; &nbsp; &nbsp;ในไตรมาส 2 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,404 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.8% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,008 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน&nbsp; &nbsp; &nbsp;- รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,239 ล้านบาท จากกำไรของพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด&nbsp; &nbsp; &nbsp;- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2%&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;- บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 159%&nbsp; &nbsp; &nbsp;ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.31% ลดลงจาก 3.34% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)&nbsp;กล่าวว่า&nbsp;“ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านมาตรการที่หลากหลายและต่อเนื่อง โดยในส่วนของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วเป็นยอดหนี้รวมกว่า ห้าหมื่นล้านบาท และพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในมาตรการระยะที่ 2 เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้&nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลประกอบการไตรมาสที่สองปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้&nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว” ภาพ: SCBX เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-q-2-68-july-2025" alt="แบงก์กรุงศรี ครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิอยู่ที่ 15,830 ล้าน ยังโตที่ 0.5%YoY">แบงก์กรุงศรี ครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิอยู่ที่ 15,830 ล้าน ยังโตที่ 0.5%YoY</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SCBX ประกาศผลกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 ของปี 2568 จำนวน 12,786 ล้านบาท

<h2>เศรษฐกิจที่ยังซึมเซาต่อเนื่องมาตั้งแต่หลัง COVID-19 ส่งผลให้ MONIX บริษัทในเครือ SCBX เร่งเครื่องพัฒนาช่องทางดิจิทัลให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นในชื่อแอปฯ FINNIX ผ่านมาแล้ว 5 ปี ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ที่ปลุกปั้นมานานเติบโตแค่ไหน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด หรือ MONIX เปิดเผยว่า จากปัญหาหนี้นอกระบบที่ผู้มีรายได้น้อยในไทยมักต้องเจอ ทำให้ MONIX เปิดตัวแอปฯ ให้สินเชื่อดิจิทัล FINNIX ขึ้นมา ซึ่งผ่านมาแล้ว 5 ปี ปัจจุบันมีฐานลูกค้าราว 1.2 ล้านราย และมีสินเชื่อรวม 46,000 ล้านบาท (ไตรมาส 1/68) ซึ่งยังเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อาชีพอิสระ และกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน ปัจจุบันเฉลี่ยวงเงินกู้ 16,000 บาท/ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาพรวมธุรกิจในปีนี้ แม้ไตรมาส 1 ปี 2568 นี้พอร์ตสินเชื่อจะชะลอตัวลง แต่ยังคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย 57,000 ล้านบาท โดยจะมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังจะแย่ลง บริษัทฯ อาจมาเน้นการเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านความสามารถในการจ่ายคืน แต่เชื่อว่ายอดอนุมัติสินเชื่อจะอยู่ราว 20% ใกล้เคียงกับปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มองว่ายอดการอนุมัติสินเชื่อในปัจจุบันที่ราว 20% เป็นระดับที่เหมาะสม แม้จะลดลงจากช่วงแรกที่เริ่มทำธุรกิจซึ่งอยู่ราว 30% เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าอย่างรอบด้าน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/rcHBY4dXv9h2HV6jT5dZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="rcHBY4dXv9h2HV6jT5dZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,406" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของหนี้เสีย หรือ NPL ปัจจุบันยังอยู่ที่หลักเดียว ซึ่งคาดว่าจะรักษาระดับนี้ได้ถึงสิ้นปี 2568 ส่วนหนึ่งมาจากการคัดกรองสินเชื่อดิจิทัลที่มี AI ช่วยประมวลข้อมูลลูกค้าที่มีพฤติกรรมการเงินและความสามารถในการจ่ายคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp; &nbsp; ภายใต้การทำธุรกิจ 5 ปีที่ผ่านมายังพบอินไซต์ลูกค้าที่น่าสนใจในหลายด้านซึ่งสะท้อนการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และให้เห็นถึงพฤติกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้น เช่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มลูกค้ากว่า 60% อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด และภาคอีสานเป็นภาคที่มีอัตราการเติบโตของฐานลูกค้าสูงที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มลูกค้าสัดส่วนกว่า 58% ประกอบอาชีพอิสระ หรือ ลูกจ้างรายได้น้อยที่มีอาชีพเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- กลุ่มลูกค้ากว่า 57% มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 20,000 บาท&nbsp; &nbsp; - กว่า 90% ของลูกค้าหลังผ่านชำระหมดแล้วกลับมาใช้สินเชื่อซ้ำ โดยส่วนใหญ่จะกลับมาขอใช้สินเชื่อครัั้งใหม่ภายใน 2 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ด้านพฤติกรรมด้านการเงินพบว่า กลุ่ม Gen X มีวินัยในการชำระสินเชื่อที่ดีกว่ากลุ่มอื่น ส่วนจังหวัดที่มีลูกค้าซึ่งมีพฤติกรรมรักษาเครดิตดี เช่น ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และปทุมธานี เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ลูกค้ากว่า 40% ได้รับการเพิ่มวงเงินจากพฤติกรรมการเงินที่ดีและ 20% ในกลุ่มนี้ได้รับวงเงินใหม่ที่สูงกว่าวงเงินเดิมถึง 2 เท่า สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างและรักษาเครดิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/h1NbtuBAKhiZCNduYq3C.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="h1NbtuBAKhiZCNduYq3C.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,408" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลเหล่านี้ MONIX ยังนำมาต่อยอดแคมเปญและพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ในปีนี้จะออกใหม่รวม 3 ฟีเจอร์ เช่น อนุมัติไวสุดใน 5 วินาที, ฟีเจอร์ด้านเครดิตทางการเงิน ฯลฯ นอกจากนี้แม้จะมีพฤติกรรมการเงินที่ดี แต่การสร้างรายได้ยังเป็นส่วนสำคัญ ส่งผลให้ในแอปฯ FINNIX มีฟีเจอร์หางาน ปีนี้จะเร่งจับมือกับพันธมิตรที่มีตำแหน่งงานในเมืองรองเพื่อส่งเสริมกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดให้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในส่วนของ MONIX ปัจจุบันชะลอแผนนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แม้ว่าฝั่งการเงินจะทำได้ตามแผนและมีความพร้อมในการเข้าตลาดฯ แต่ยังต้องรอติดตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังไม่เอื้อต่อการนำบริษัทฯ เข้าตลาดฯ นัก<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/DuwtmXcJDssSiicdEKUS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DuwtmXcJDssSiicdEKUS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="2"></figure></div> ภาพ:&nbsp;MONIX เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/scb-techx-july-2025" alt="SCB TechX แต่งตั้ง &quot;สุทธิพงศ์ กนกากร&quot; ขึ้นเป็น CEO คนใหม่ มีผล 7 ก.ค. 68">SCB TechX แต่งตั้ง "สุทธิพงศ์ กนกากร" ขึ้นเป็น CEO คนใหม่ มีผล 7 ก.ค. 68</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนไทยเข้าไม่ถึงสินเชื่อ! ยิ่งต้องมีแอปกู้ออนไลน์ MONIX ตั้งเป้าปี 68 สินเชื่อรวมแตะ 57,000 ล้านบาท

<h2>กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ ประกาศแต่งตั้ง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2570 รับไม้ต่อจากนายอาทิตย์ นันทวิทยา ที่จะครบวาระในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เพื่อให้การบริหารองค์กรเกิดความต่อเนื่องและราบรื่น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภายหลังจากการสร้างและวางรากฐานของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว จากนี้ไปอีก 18 เดือน จะเป็นช่วงเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อส่งไม้ต่อสู่ผู้นำคนต่อไป เพื่อนำพากลุ่มเอสซีบีเอกซ์ไปสู่ยุคของการต่อยอดให้เกิดความสำเร็จอย่างยั่งยืนตามแผนการบริหารองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คณะกรรมการบริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสรรหาผู้ที่เหมาะสมที่จะมารับภารกิจดังกล่าว เพื่อความต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสุด ภายหลังจากกระบวนการสรรหา คณะกรรมการบริษัทมีความมั่นใจว่า ดร.อารักษ์จะเป็นผู้นำที่เหมาะสม ด้วยประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ และความสามารถในการสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคต จะสามารถนำพากลุ่มเอสซีบีเอกซ์ก้าวสู่อนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/06/sUWR5AQ4zbEPTh8FUrX1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="sUWR5AQ4zbEPTh8FUrX1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยต่อจากนี้ไปอีก 18 เดือน ดร.อารักษ์จะเข้ามาทำงานเคียงข้างผมอย่างใกล้ชิด สานต่อพันธกิจและยุทธศาสตร์ที่ได้วางเอาไว้ ร่วมในกระบวนการวางแผนตัดสินใจของบริษัทและกลุ่ม แสดงวิสัยทัศน์และทดสอบแนวคิดใหม่ๆ สนับสนุนการทำงานของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารระดับสูงของทุกบริษัทในกลุ่ม เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และขับเคลื่อนองค์กรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอาทิตย์ กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ดร.อารักษ์ ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด โดยมีบทบาทสำคัญในการวางยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนองค์กร รวมถึงดูแลงานด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้าน Data, AI และ Digital Assets เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจในธุรกิจธนาคารและธุรกิจอื่นของกลุ่มเอสซีบีเอกซ์กว่า 15 ปีที่ผ่านมา ดร.อารักษ์ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญภายในกลุ่ม ได้แก่ ผู้จัดการใหญ่, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและด้านยุทธศาสตร์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการร่วมบุกเบิกและก่อตั้ง พร้อมดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด มีบทบาทสำคัญในการปรับยุทธศาสตร์และเปลี่ยนโฉมการลงทุนแบบดั้งเดิมสู่การลงทุนแห่งอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ สำหรับบทบาทภายนอกองค์กร ดร.อารักษ์ เคยเป็นกรรมการในองค์กรกลางด้านระบบการเงินของประเทศไทย อาทิ สมาคมธนาคารไทย (TBA) และ ITMX&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านการศึกษา ดร.อารักษ์ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จาก Stanford University, California ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโทและปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ จาก Carnegie Mellon University, Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา ภาพ: SCBX เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/scb-gives-17-6-billion-baht-to-sc-asset-to-build-17-premium-residential-projects" alt="พันธมิตรแกร่ง! SCB หนุน SC Asset ให้วงเงิน 17,600 ล้าน พัฒนาบ้าน-คอนโดหรู 17 โครงการ">พันธมิตรแกร่ง! SCB หนุน SC Asset ให้วงเงิน 17,600 ล้าน พัฒนาบ้าน-คอนโดหรู 17 โครงการ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กลุ่ม SCBX ประกาศแต่งตั้ง “ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์” ดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่ มีผล 1 ม.ค. 2570

<h2>บมจ. เอสซีบี เอกซ์ ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2567 อยุ่ที่ 10,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)&nbsp;ส่วนช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 32,236 ล้านบาท ลดลง 0.9%YoY เพราะการขาดทุนที่ขายบริษัท PPV และค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการยุติให้บริการแอปฯ Robinhood รวมถึงกำไรการลงทุน ไปจนถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง&nbsp;</h2>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่มีแรงกดดันจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง มุ่งเน้นการเติบโตที่มีคุณภาพและเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขายกิจการแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี Robinhood (บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด หรือ PPV) ให้กับกลุ่มผู้ลงทุนซึ่งนำโดยบริษัท ยิบอินซอย จำกัด และร่วมมือกับ 2 ธนาคารดิจิทัล ได้แก่ KakaoBank และ WeBank ยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งว่าธุรกิจนี้จะช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้คนไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ไตรมาส 3 ของปี 2567 SCBX มีกำไรสุทธิ 10,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2%YoY โดยมี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 32,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5%YoY ส่วนยอดสินเชื่อโดยรวมลดลงที่ 0.9%YoY จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 9,985 ล้านบาท ลดลง 7.5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทฯ ตั้งเงินสำรองลดลง 10.4% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาสนี้ไม่มีการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ดังเช่นในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 32,236 ล้านบาท ลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรก ปี 2567 ได้แก่&nbsp; &nbsp; &nbsp;- กำไรสุทธิ ที่ 32,236 ล้านบาท ลดลง 0.9%YoY ผลจากการขาดทุนกรณีการขายบริษัท PPV และค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการยุติให้บริการแอปฯ Robinhood รวมถึงกำไรการลงทุน ไปจนถึงรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง&nbsp; &nbsp;&nbsp;- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่มีจำนวน 96,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2%YoY&nbsp; &nbsp;&nbsp;- อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ระดับ 3.89%&nbsp; &nbsp;&nbsp;- รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ อยู่ที่ 30,490 ล้านบาท ลดลง 7.8%YoY เพราะรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกัน และอื่นๆ ลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- รายได้จากการลงทุนและการค้า อยู่ที่ 1,082 ล้านบาท ลดลง 74.4%YoY สาเหตุหลักเพราะการขาดทุนจากการวัดมูลค่าตลาดของพอร์ตการลงทุนของ SCB 10X และการขาดทุนจากการขาย PPV จำนวน 731 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน มีจำนวน 54,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% ส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood และค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ไม่รวมผลกระทบจากจาก Robinhood จะอยู่ที่ 41.4%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 94,586 ล้านบาท ลดลง 0.50% จากสิ้นเดือน มิ.ย. 67&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ระดับ 3.38% ลดลงจากสิ้นปี 66 ที่อยู่ 3.44%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ณ 9 เดือนแรกปี 67 อยู่ที่ 32,795 ล้านบาท ลดลง 4.3%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ 163.9%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ที่ 19.0% เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bbl-q-3-2024" alt="แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-q-3-oct-2024" alt="กรุงศรีเผยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 23,424 ล้านบาท ลดลง 7% เหตุตั้งสำรองรับความเสี่ยงหนี้"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-q-3-oct-2024" alt="ธ. กสิกรไทย เปิดงบ 9 เดือนแรกปี 2567 กำไรสุทธิพุ่ง 38,104 ล้าน ขยายตัว 15.41%YoY">ธ. กสิกรไทย เปิดงบ 9 เดือนแรกปี 2567 กำไรสุทธิพุ่ง 38,104 ล้าน ขยายตัว 15.41%YoY</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SCBX เผย 9 เดือนแรกปี 67 กำไรสุทธิอยู่ที่ 32,236 ล้านบาท ลดลง 0.9%YoY ผลขาดทุนขายบ. PPV - ค่าใช้จ่ายฯ ยุติ Robinhood

<h2>SCBX เปิดเผยกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 67 เหลือ 21,295 ล้านบาท ลดลง 6.9% ค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการยุติแอปฯ Robinhood ส่วนไตรมาส 2 ปีนี้ ยังมีการตั้งสำรองฯ พิเศษเพื่อรับความเสี่ยงลูกค้ารายใหญ่เจ้าหนึ่ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง (มุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ) เน้นความมั่นคงทางการเงิน รักษาระดับเงินสำรองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และการบริหารต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ครึ่งปีแรก 2567 ทางบริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 21,295 ล้านบาท ลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักมาจาก ค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการยุติการให้บริการแอปพลิเคชัน Robinhood อีกทั้งกำไรจากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะเพิ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ไตรมาส 2 ของปี 2567 มีกำไรสุทธิ จำนวน 10,014 ล้านบาท ลดลง 15.6%YoY&nbsp;และมีการตั้งเงินสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่จะเกิดขึ้นจำนวน 11,626 ล้านบาท ลดลง 3.9%YoY โดยในไตรมาสนี้รวมการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่รายหนึ่งสรุปผลประกอบการสำหรับครึ่งแรกของปี 2567- กำไรสุทธิ จำนวน 21,295 ล้านบาท ลดลง 6.9%YoY - รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ 64,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7%YoY - ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.9% เพิ่มขึ้นจาก 3.70% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 - รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ อยู่ที่ 20,506 ล้านบาท ลดลง 7.9%YoY - รายได้จากการลงทุนและการค้า อยู่ที่ 1,406 ล้านบาท ลดลง 56.2%YoY - ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 36,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6%YoY - อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียว อยู่ที่ 42.5% (ไม่รวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวอยู่ที่ 41.6%) - สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ 30 มิ.ย. 67 อยู่ที่ 95,097 ล้านบาท ลดลง 0.1% จากสิ้นเดือน มี.ค. 67​ - อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.34% ลดลงจากสิ้นเดือน มี.ค. 67​ ที่อยู่ระดับ 3.52% - อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 161.7% - ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อยู่ที่ 21,828 ล้านบาท ลดลง 0.9%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ 30 มิ.ย. 67 มีเงินให้สินเชื่อรวม 2.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6%YoY มีเงินรับฝากรวม 2.47 ล้านล้านบาท ลดลง 0.4%YoY โดยมีเงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8% เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bay-1-h-july-2024" alt="กรุงศรีเผยกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 67 อยู่ที่ 15,750 ล้านบาท ลดลง 7.9% ผลจากตั้งสำรองฯ เพิ่ม ยังคุมเข้มปล่อยกู้">กรุงศรีเผยกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 67 อยู่ที่ 15,750 ล้านบาท ลดลง 7.9% ผลจากตั้งสำรองฯ เพิ่ม ยังคุมเข้มปล่อยกู้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SCBX เผยกำไรครึ่งปีแรก 67 เหลือ 21,295 ล้าน ลดลง 6.9% ผลจากค่าใช้จ่ายฯ หลังปิดแอป Robinhood

<h2>SCBX เตรียมเสนอขาย ‘หุ้นกู้ อายุ 4 ปี’ เคาะดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.10 ต่อปี จ่ายทุก 6 เดือน พร้อมเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อได้ระหว่าง 14-20 มิ.ย. 2567 ผ่านช่องทางดิจิทัล</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.10% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท ทั้งนี้ มีอันดับเครดิตของบริษัทฯ ที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้ม ‘Stable’ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ ‘AA+(tha)’ โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน สะท้อนถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ให้ผลตอบแทนมั่นคง โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน 2567 ผ่านช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2567 นับเป็นการเปิดโอกาสอีกครั้งให้ผู้ลงทุนทั่วไปในวงกว้างสามารถเข้าถึงหุ้นกู้ที่มีความมั่นคงสูง ให้ผลตอบแทนดี มีความเสี่ยงต่ำ ภายใต้สภาวะที่ตลาดทุนมีความผันผวน หุ้นกู้ของ SCBX ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ ‘AA+(tha)’ ซึ่งเป็นอันดับความน่าเชื่อถือที่สูงที่สุดของบริษัทเอกชนที่เสนอขายหุ้นกู้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (PO) ตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ค. 2567)&nbsp; สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน กรอบการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบ และเป็นอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันกับธนาคารไทยพาณิชย์”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การนำเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทยังคงเน้นให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการจองซื้อและฝากแบบดิจิทัลทั้งหมด ครบจบในที่เดียวผ่านแอปพลิเคชัน SCB EASY ("แอป SCB EASY”) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อำนวยความสะดวก และส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงไปยังผู้ลงทุนทั่วไป นอกจากนี้ SCBX กำลังดำเนินการจัดตั้ง SCBX Debenture Club คอมมูนิตี้ของผู้ถือหุ้นกู้ SCBX เพื่อรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุน แนวโน้มเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ตลอดจนกิจกรรมให้ความรู้ต่างๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“วัตถุประสงค์หลักของการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ เพื่อขยายและพัฒนาธุรกิจของกลุ่ม SCBX เพื่อนำพาองค์กรเดินหน้าสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการเงินชั้นนำในระดับภูมิภาค โดยมุ่งเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและเพิ่มมูลค่ากิจการของกลุ่มในระยะยาว นอกจากนี้เราเชื่อมั่นว่าหุ้นกู้ SCBX จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับนักลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้รับผลตอบแทนคงที่ตลอดระยะเวลาการลงทุนอีกด้วย” อาทิตย์ กล่าวทิ้งท้าย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา สามารถจองซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวได้ผ่านแอป SCB EASY ซึ่งกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน 2567&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/jocNFG1afjaw3ezshsDv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jocNFG1afjaw3ezshsDv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/csr-sustainability/coca-cola-300-ml-use-plastic-recycle" alt="ขายแล้ว ‘โค้ก’ ไซส์ 300 มล. ใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100%"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bts-cutloss-kex-2023-2024" alt="BTS เปิดงบปี 66/67 ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท หลังตัดขายหุ้นเคอรี่ฯ">BTS เปิดงบปี 66/67 ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท หลังตัดขายหุ้นเคอรี่ฯ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 SCBX เปิดขาย ‘หุ้นกู้ 4 ปี’ ดอกเบี้ยคงที่ 3.10% แก่ประชาชนทั่วไป ระหว่าง 14-20 มิ.ย. 67 นี้

<h2>บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (“SCBX”) ประกาศเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (“SCB”) เพื่อเข้าซื้อส่วนของทุน (Charter Capital) ในอัตราส่วนร้อยละ 100 ของบริษัท Home Credit Vietnam Finance Company Limited (“Home Credit Vietnam”) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) ในประเทศเวียดนาม จาก Home Credit N.V. (“Home Credit Group”) โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 20,973 พันล้านดองเวียดนาม หรือประมาณ 31,000 ล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Home Credit Vietnam ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการสินเชื่อสินค้าคงทน (consumer durable loans) สินเชื่อหมุนเวียน (revolving loans) สินเชื่อเงินสด (cash loans) และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ (two-wheeler loans) ให้กับผู้บริโภคชาวเวียดนาม ในกลุ่ม mass และ upper mass&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Home Credit Vietnam ให้บริการลูกค้าตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทไปแล้วรวมทั้งสิ้นประมาณ 15 ล้านราย และมีเครือข่ายจุดให้บริการ (Point of Sales – POS) ที่แข็งแกร่งทั่วเวียดนามกว่า 14,000 จุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Home Credit Vietnam มีกำไรสุทธิตามงบตรวจสอบแล้วปีล่าสุด (ปี 2565) ประมาณ 1,320 พันล้านดอง (หรือเทียบเท่าประมาณ 1,940 ล้านบาท) และตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Home Credit Vietnam มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของสินทรัพย์ต่อปีในอัตราร้อยละ 18.7 สะท้อนถึงศักยภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของ Home Credit Vietnam&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Home Credit Vietnam มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายและแข็งแกร่ง (Omni Channel) โดยมีการผสมผสานช่องทางการสื่อสารและการจัดจำหน่ายทั้งออนไลน์ (Online) และการขายหน้าร้าน (Offline) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างไร้รอยต่อ มีวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ มีขีดความสามารถในการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความทันสมัยสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน Home Credit Vietnam มีส่วนแบ่งการตลาดใหญ่เป็นอันดับสองในตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม คิดเป็นประมาณร้อยละ 14 ของตลาดทั้งหมด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตลาดสินเชื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง นโยบายเศรษฐกิจที่สนับสนุนการเติบโต โครงสร้างประชากรที่เอื้ออำนวย และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกลุ่มชนชั้นกลาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “การเข้าซื้อธุรกิจ Home Credit Vietnam ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ SCBX ในแผนยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำของภูมิภาค ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SCBX ในตลาดอาเซียนที่มีการเติบโตสูง และเพื่อเพิ่มมูลค่าและผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เศรษฐกิจของเวียดนามมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการเติบโตของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อปีของประเทศเวียดนาม (GDP) เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.5 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งมีประชากรที่ตื่นตัวด้านเทคโนโลยี จึงเป็นตลาดที่ SCBX ให้ความสำคัญอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจของกลุ่ม SCBX เข้าไปในประเทศเวียดนามซึ่งมีประชากรกว่า 100 ล้านคน เราเชื่อมั่นว่าด้วยฐานลูกค้ากว่า 15 ล้านคน ประกอบกับเครือข่ายจุดให้บริการกว่า 14,000 จุดทั่วประเทศ และผู้บริหารที่มีความสามารถ อันเกิดจากส่วนผสมที่ลงตัวของทีมงานชาวยุโรปและเวียดนาม จะทำให้ Home Credit Vietnam เป็นฐานที่มั่นที่สำคัญในเวียดนามให้กับกลุ่ม SCBX&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากจะสามารถเริ่มทำกำไรให้กับกลุ่มได้ทันทีหลังการเข้าทำรายการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ของกลุ่มเพื่อความแข็งแกร่งในอนาคต โดยภายหลังจากการทำธุรกรรมนี้แล้ว สถานะเงินกองทุนของ SCBX และธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง” อาทิตย์ กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราเดค พลูฮาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Home Credit Group กล่าวว่า “นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา Home Credit Vietnam มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาด ผมปรารถนาที่จะแสดงความยินดีกับเพื่อนพนักงานทุกคนที่ได้ร่วมกันสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและได้รับความเชื่อมั่นจากการให้บริการลูกค้าชาวเวียดนามมากกว่า 15 ล้านราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในวันนี้เรากำลังส่งไม้ต่อให้กับกลุ่ม SCBX ที่จะมาเป็นเจ้าของรายใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตและอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจ Home Credit Vietnam ต่อไป”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Home Credit Vietnam เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจ Home Credit Group จากสาธารณรัฐเช็ก โดยมีการดำเนินงานในหลายประเทศ ทั้งในเอเชีย และยุโรป ตั้งแต่ปี 2540 บริหารจัดการโดยกลุ่ม PPF กลุ่มการลงทุนระหว่างประเทศชั้นนำ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/3-factors-vietnam-market" alt="SCB CIO มอง 3 ปัจจัยหลักหนุนตลาดหุ้นเวียดนามฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะทยอยลงทุน Valuation ยังต่ำ พร้อมโอกาสยกระดับเข้าตลาดเกิดใหม่">SCB CIO มอง 3 ปัจจัยหลักหนุนตลาดหุ้นเวียดนามฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะทยอยลงทุน Valuation ยังต่ำ พร้อมโอกาสยกระดับเข้าตลาดเกิดใหม่</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SCBX บุกสินเชื่อรายย่อยในเวียดนาม ลงนามซื้อกิจการ Home Credit Vietnam มูลค่าลงทุนกว่า 31,000 ล้าน

<h2>กลุ่ม SCBX ปรับทัพผู้บริหารระดับสูง 2 บริษัทในเครือฯ แต่งตั้ง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DataX และประธานกรรมการ InnovestX เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกับนางบุญทิพย์ กฤตชัยกุล ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร InnovestX</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่ม SCBX ประกาศปรับทัพผู้บริหารระดับสูง 2 บริษัทในเครือฯ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยแต่งตั้ง ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เดต้า เอกซ์ จำกัด (DataX) นอกเหนือจากการดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX) เพื่อรับภารกิจสำคัญในการวางรากฐานและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่ม SCBX ในระยะยาวผ่านการใช้ประโยชน์จาก big data, data science และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดรับยุทธศาสตร์องค์กร มุ่งสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับภูมิภาค ภายใต้ AI-First Organization เป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับกลุ่ม SCBX ในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้ง ดร.อารักษ์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) และแต่งตั้ง นางบุญทิพย์ กฤตชัยกุล เข้าดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร InnovestX เพื่อรับภารกิจสำคัญสานต่อเป้าหมายในการขับเคลื่อนธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจเรือธงด้านการเงินการลงทุนของกลุ่ม SCBX เพื่อก้าวสู่ผู้นำด้านการลงทุนหลักทรัพย์และบริการสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครบวงจรของอาเซียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมวางรากฐานนวัตกรรมทางการเงินการลงทุนแห่งอนาคตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างโอกาสในการลงทุนทางเลือกรูปแบบใหม่ๆ โดยมุ่งหวังให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ดร.อารักษ์ ร่วมงานกับกลุ่ม SCBX รวมระยะเวลามากว่า 14 ปี เป็นผู้มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ทั้งด้านการธนาคาร โดยเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ อีกทั้งยังมีประสบการณ์และเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในการร่วมบุกเบิกด้าน data ให้กับธนาคารในฐานะ Chief Data Officer&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีความรู้และทักษะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อองค์กรได้ปรับโครงสร้างให้ SCBX ขึ้นเป็นบริษัทแม่ ดร.อารักษ์ ในฐานะรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้าน R&amp;D ของกลุ่ม SCBX ที่มุ่งโฟกัสเรื่องของการพัฒนาด้าน AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ นางบุญทิพย์ คร่ำหวอดในแวดวงตลาดทุนของมาไทยกว่า 37 ปี ตั้งแต่ครั้งที่ตลาดหุ้นของประเทศยังเป็นระบบเคาะกระดาน และได้พัฒนามาถึงยุคดิจิทัลในปัจจุบัน นางบุญทิพย์เป็นผู้ที่มีความสามารถ มากไปด้วยประสบการณ์ โดยได้ร่วมงานกับกลุ่ม SCBX ในธุรกิจหลักทรัพย์ตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่ภายใต้ชื่อบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) จวบจนกระทั่งเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในปัจจุบัน รวมระยะเวลามากกว่า 20 ปี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/gift-new-assistant-to-ceo" alt="GIFT แต่งตั้ง ‘โชติ เชษฐโชติศักดิ์’ ลูกชายคนเล็ก ‘เฮียฮ้อ’ เป็นผู้ช่วยซีอีโอ เสริมทัพผู้นำรุ่นใหม่">GIFT แต่งตั้ง ‘โชติ เชษฐโชติศักดิ์’ ลูกชายคนเล็ก ‘เฮียฮ้อ’ เป็นผู้ช่วยซีอีโอ เสริมทัพผู้นำรุ่นใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

SCBX ปรับทัพผู้บริหาร 2 บริษัทในเครือ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ นั่งซีอีโอ DataX ควบประธานบอร์ด InnovestX

<h2>กลุ่มไทยพาณิชย์ (SCB Group) ประกาศวิสัยทัศน์องค์กร รับบริบทใหม่ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ “SCBX” เร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ เตรียมพร้อมเข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ยกระดับสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการเงินระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างฐานลูกค้าสองร้อยล้านคน พร้อมภารกิจเชื่อมต่อ ecosystem ทั้งในและต่างประเทศ โดย “SCBX” จะยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่ใกล้ชิดของธนาคารแห่งประเทศไทย</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-51536" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/SCBX-CEO-Presentation-1.jpg" alt="" width="600" height="338" />

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ปี 2025 การมาถึงของ decentralized finance technology การขยายตัวและการบุกของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจการเงิน พฤติกรรมของผู้บริโภคหลังโควิด (post-covid) รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนไปอย่างมาก จะทำให้รูปแบบการทำธุรกิจ (business model) ในแบบ intermediaries  หรือการเป็นตัวกลางเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารแบบดั้งเดิมจะลดบทบาทลง เพราะจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภคได้ ความสำคัญของธนาคารต่อผู้บริโภคจะลดลงและจะส่งผลลบต่อการให้มูลค่าอนาคตของนักลงทุนต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“แนวโน้มของการถูก disrupt นั้นเริ่มมาเมื่อหกปีก่อนและชัดเจนมากในอีกสามปีข้างหน้า SCB ได้ตั้งโจทย์และเพิ่มศักยภาพตัวเองมาโดยตลอด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุดในการตั้งคำถามแห่งอนาคตว่าในช่วงเวลาสามปีจากนี้ที่เข้มข้นที่สุด SCB จะต้องแปลงสภาพตัวเองอย่างไรจึงจะสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้บริโภค รวมถึงสามารถเติบโตไปกับโลกใหม่ได้ SCB จึงจะต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ที่ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไป หากแต่ต้องใช้ความเข้มแข็งทางการเงินของธุรกิจธนาคารปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ เร่งขยายธุรกิจเชิงรุกเข้าสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และสร้างขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยี รวมถึงการบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก เข้าสู่สนามการแข่งขันแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อที่จะอยู่รอดปลอดภัยในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้” อาทิตย์ กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-51531" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/อาทิตย์-นันทวิทยา_0901.jpg" alt="" width="600" height="400" />

โดยกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งธนาคารควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจใหม่สำหรับอนาคตนั้น ในส่วนของธนาคารจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการปรับลดกระบวนการขั้นตอนต่างๆให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้มากที่สุดในทุกช่องทาง  ธนาคารจะเน้นความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าเป็นที่ตั้ง

SCB จะไม่เท่ากับธนาคารในความหมายเดิมอีก แต่จะแปลงสภาพกลายเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารที่แข็งแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และจะขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลที่มีการเติบโตสูงที่ธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้ โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศ และระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่ง ที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากการขยายเข้าสู่ธุรกิจการเงินส่วนบุคคลแล้ว SCB จะต้องยกระดับขีดความสามารถของกลุ่มในการสามารถสร้างและบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (technology platform) หลังจากนำร่องด้วย “โรบินฮู้ด ฟู้ดเดลิเวอรี” เป็นโครงการแรก เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มระดับโลก และได้สร้างขีดความสามารถของบุคลากรด้านเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัท “SCB Tech X” และบริษัท “Data X” ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อสร้างขีดความสามารถพื้นฐานด้านเทคโนโลยีภายในที่จะสามารถสร้างและ scale platform ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

<img class="alignnone size-full wp-image-51539" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/อาทิตย์-นันทวิทยา_090.jpg" alt="" width="600" height="481" />

นอกจากนั้น SCB จะขยายเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset business) ในระดับโลกเพื่อเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตผ่าน SCB 10X และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) โดยการร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกองทุนระดับโลก และการพัฒนาธุรกิจ digital asset ด้านต่างๆ ใน business model ใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มในระยะยาว

“ในปี 2025 ความคาดหวังของ SCB  คือ การสามารถสร้างมูลค่าของบริษัทจากธุรกิจใหม่ให้มีขนาดที่มีนัยยะสำคัญนอกเหนือจากผลกำไรพื้นฐานและความมั่นคงของธุรกิจธนาคารหลัก  ซึ่งรวมถึงการสร้างฐานลูกค้าในระบบให้ได้ถึง 200 ล้านคน  การขยายธุรกิจใหม่ออกสู่ต่างประเทศ และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี (technology platform) ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และหลังจากสามปีนี้ SCB จะไม่เท่ากับธนาคารอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจการเงินและแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยี(technology platform} ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภคและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในระดับโลกได้อย่างทัดเทียม เพื่อสร้างมูลค่าใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นทดแทนธุรกิจธนาคารที่อาจจะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที” อาทิตย์ กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tmbam-eastspring-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%a2%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%83.html">TMBAM Eastspring ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการรักษาผลประโยชน์ผู้ลงทุน 4 กองทุนตราสารหนี้</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events