<h2 class="p1">Lei Jun มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Xiaomi เดินหน้านำบริษัทรุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยมูลค่าการลงทุน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอีก 10 ปีต่อจากนี้ เพื่อเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เฟื่องฟูของจีน</h2>
<img class="alignnone wp-image-43783" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/117769312_gettyimages-1230594866-1024x576.jpg" alt="Lei Jun" width="720" height="405" />
“ผมจะบริหารจัดการโปรเจคนี้ด้วยตนเอง” <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/profile/lei-jun/?sh=77bce1226e64">Lei </a>กล่าว พร้อมเสริมว่า “ในอนาคต ผมหวังว่าจะได้เห็นรถยนต์ของ Xiaomi วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก”
การประกาศอย่างเป็นทางการของทางบริษัทนับเป็นการยืนยันข่าวลือเรื่องการเข้าลงทุนในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ธุรกิจหลักของ Xiaomi คือ การจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปีที่แล้วถึงร้อยละ 60 คิดเป็นมูลค่า 2.459 แสนล้านหยวน (3.74 หมื่นล้านเหรียญ) โดยนับเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 12 
ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสการหดตัวลงของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก <a style="color: #333333;" href="https://www.canalys.com/newsroom/global-smartphone-shipment-Q4-2020">Canalys</a> บริษัทวิจัยด้านการตลาดรายงานว่า มีการส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกอยู่ที่ 1.26 พันล้านชิ้นในปี 2020 ลดลงจากปีก่อนราวร้อยละ 7 ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 
ด้าน Lei Jun ผู้ซึ่งได้รับอานิสงส์จากสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 2.4 หมื่นบ้านเหรียญ ครองตำแหน่งเป็นมหาเศรษฐอันดับที่ 13 ของจีนจากการประเมินของ<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#484e7a383d78"> Forbes </a>
อย่างไรก็ดี นอกจากการหดตัวของตลาดแล้ว ทางบริษัทยังได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างประเทศในสหรัฐฯ เช่นกัน โดยล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษาสหรัฐฯ ถอดถอน Xiaomi ออกจากบัญชีดำของรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งเป็นคำสั่งของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ที่กำหนดมาเพื่อสั่งห้ามให้ชาวอเมริกันลงทุนในบริษัทจีนแห่งนี้และอีกหลายๆ แห่ง ซึ่งได้ส่งผลให้หุ้นของบริษัทปรับตัวลงร้อยละ 10 หลังประกาศนโยบายดังกล่าวออกมา
ในที่นี้ นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าอาจกลายเป็นโอกาสในการเติบโตครั้งใหม่ของบริษัท หลังจากในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริโภคชาวจีนเริ่มให้ความสนใจกับรูปแบบโมเดลรถยนต์ใหม่ที่ได้รับการเปิดเผยออกมา ที่นอกจากจะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างอัตโนมัติแล้ว ยังเชื่อมต่อกับระบบสตรีมมิ่งเพลงและวิดีโอในรถยนต์ด้วยการสั่งการระยะไกลอีกด้วย โดยในปีนี้คาดว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะเพิ่มเป็น 1.9 หมื่นคัน หรือราวร้อยละ 51 จากปีก่อนหน้า
“บริษัทอินเทอร์เน็ตอาจคิดว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบ เพราะรถยนต์เริ่มมีความอัจฉริยะมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดเปรียบได้กับคอมพิวเตอร์ที่มี 4 ล้อ” Yale Zhang นักวิเคราะห์จาก Automative Forsight บริษัทให้คำปรึกษาในเซี่ยงไฮ้กล่าว พร้อมเสริมว่า “แต่การผลิตรถยนต์นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าการลงทุนของ Xiaomi ในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่”
ในที่นี้ Zhong ได้ชี้ให้เห็นถึงวัฏจักรเศรษฐกิจของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กว่า 100 สตาร์ทอัพต่างเดินหน้าคว้าโอกาสในตลาดที่กำลังเติบโตประเภทนี้ แต่หลังจากที่โครงการเงินอุดหนุนของรัฐบาลเริ่มลดน้อยลง ก็เหลือบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่
สำหรับประเด็นนี้ Lei เผยว่า เขาได้ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าลงทุนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หลังจากที่เริ่มประเมินและทำวิจัยตลาดตั้งแต่กลางเดือนมกราคม “เราได้ประเมินจุดเสี่ยง และตระหนักดีว่าการลงทุนในโปรเจกต์นี้จะต้องใช้เงินหลายพันล้าน แล้วมีความเป็นไปได้ว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3-5 ปีกว่าจะคืนทุน”
ทั้งนี้ โฆษกของ Xiaomi ระบุว่า ทางบริษัทยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีในการผลิตหรือเวลาในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรก
โดยในช่วงก่อนหน้านี้ Lei เคยมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านทาง Shunwei Capital ธุรกิจร่วมลงทุนที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2011 ที่มีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Nio และ Xpeng อยู่ในพอร์ตฟอลิโอ ไม่เพียงเท่านี้ เขายังไ้ด้ลงทุนใน Momenta สตาร์ทอัพรถยนต์อัตโนมัติ ที่มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญหลังรอบระดมทุนในปี 2018
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Chinese Smartphone Giant Commits $10 Billion For Electric Car Expansion เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/technology/monarch-tractor-%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7-%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%a3.html">Monarch Tractor พร้อมเปิดตัว “แทรกเตอร์พลังงานไฟฟ้าไร้คนขับ” นอกตลาดสหรัฐฯ</a>

Lei Jun นำ Xiaomi รุกธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า

อะไรก็ฉุดไม่อยู่! Xiaomi เผยรายได้ปี 2562 ทะลุ 2 แสนล้านหยวน โตทุกกลุ่มธุรกิจ

เรื่อง: Russell Flannery เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม
<h2>สมาร์ตโฟนที่ Lei Jun เปิดตัวครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ในนาม “ข้าวเมล็ดน้อย” หรือ Xiaomi ในภาษาจีนกลาง ได้พิสูจน์ให้เห็นในห้วงเวลาสั้นๆ ถึงความโดดเด่นที่เหนือใครในด้านขนาดตัวเครื่องผนวกกับราคาที่ย่อมเยา Xiaomi สามารถรุกตลาดขนาดใหญ่ของโทรศัพท์มือถือในเอเชียได้อย่างรวดเร็ว ราคาที่ย่อมเยาของ Xiaomi ทำให้ผู้คนหลายพันล้านได้เป็นเจ้าของอุปกรณ์สื่อสารดิจิทัลอันทรงพลัง และ Forbes Asia เลือก Lei ให้เป็น นักธุรกิจแห่งปี 2014 เนื่องจากบทบาทของเขาในการผลักดันให้สมาร์ตโฟนกลายมาเป็นของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบัน</h2>
รายได้ของ Xiaomi ในช่วงครึ่งแรกของ 2014 อยู่ที่ ระดับ 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่ารายได้ทั้งปี 2013 ซึ่งบริษัทมีเงินได้สุทธิ 566 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ การวางจุดยืนบริษัทก็เป็นไปอย่างชาญฉลาด Xiaomi วางตัวเองเป็นผู้เล่นตัวเล็กๆ ของจีนในตลาดโทรศัพท์โลก นำเสนอผลิตภัณฑ์ในราคายุติธรรม โทรศัพท์มาตรฐานของ Xiaomi เครื่องละไม่กี่ร้อยเหรียญ ถูกกว่าไอโฟนในจีนถึงเท่าตัว แต่กลับไม่ได้ด้อยไปกว่าแบรนด์ชั้นนำทั้งหลายที่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์

บริษัท วิจัยตลาด Kantar พบว่า Lei ดึงราคาเฉลี่ยของโทรศัพท์ลงเร็วว่าผู้ผลิตรายอื่น Xiaomi หั่นราคาโทรศัพท์มือถือลงอย่างน้อย 10% ด้วยการวางขายออนไลน์เท่านั้นทำให้สามารถตัดส่วนกำไรของร้านค้าปลีกและคน กลางออก

“เป้าหมายของผมคือการทำให้ Xiaomi กลายเป็นแบรนด์ประจำชาติ ที่มีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์อุตสาหกรรมของจีนและรังสรรค์ประโยชน์ให้กับทุกคนใน โลก” เขากล่าวกับ Forbes Asia

Lei Jun ในวัย 45 ปี รั้งตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของประเทศจีน ในทำเนียบ Forbes โดยล่าสุดจากการจัดลำดับมหาเศรษฐีพันล้านประจำปี 2015 เขามีทรัพย์สินในลำดับที่ 87 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.32 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

Leader Board: วงล้อแห่งความมั่งคั่งของ Lei Jun
<a href="http://www.forbesthailand.com/leader_inside.php?leaderboard_id=15"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Untitled-2-2.jpg" alt="" width="359" height="262" /></a>

<hr />

<a href="http://goo.gl/APDH22">อ่านฉบับเต็ม "Lei Jun ป่วนโลกสมาร์ตโฟนด้วย Xiaomi" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2015</a>

Lei Jun ป่วนโลกสมาร์ตโฟนด้วย Xiaomi

Lei Jun ในวัย 45 ปี รั้งตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของประเทศจีน ในทำเนียบ Forbes โดยล่าสุดจากการจัดลำดับมหาเศรษฐีพันล้านประจำปี 2015 เขามีทรัพย์สินในลำดับที่ 87 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1.32 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

วงล้อแห่งความมั่งคั่งของ Lei Jun

<div>
	<div>
		Lei Jun เจ้าของสมาร์ตโฟนแบรนด์ Xiaomi (หมายถึง &ldquo;ข้าวเมล็ดเล็กๆ&rdquo;) ซึ่งก่อตั้งเมื่อสี่ปีก่อน ใช้เวลาเพียงไม่นานเพื่อพิสูจน์ตนเองบนเส้นทางธุรกิจ โทรศัพท์มือถือที่เขาสร้างขึ้น จำหน่ายได้ในราคาต่ำกว่าของคู่แข่ง จนบุกยึดตลาดโมบายของเอเชียได้รวดเร็วราวพายุ 
		&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		Lei Jun สร้างให้ Xiaomi เป็นผู้นำปฏิวัติโลก ในฐานะเครื่องมือสื่อสารยุคดิจิทัลอันทรงพลัง แต่มีราคาย่อมเยา จนผู้คนมากมายหลายพันล้านเป็นเจ้าของได้ ในยุคสมัยที่ธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชั่นมากมายไหลเวียนอยู่ในวงจรเศรษฐกิจโลก จนก่อความปั่นป่วนให้กับการพาณิชย์และวงการบันเทิงแบบดั้งเดิม ย่อมสร้างโอกาสอันสดใสให้กับอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ตโฟน ด้วยบทบาทของ Lei ต่อการสร้างสรรค์เครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ เขาจึงเป็นนักธุรกิจแห่งปี 2014 ของ FORBES ASIA</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		Tim Ferguson บรรณาธิการ Forbes Asia เปิดเผยว่า ในปี 2014 ที่กำลังจะผ่านไป เป็นปีที่น่าจดจำของบริษัทที่ประกอบธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตมากรายในทวีปเอเชีย ทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับงานบนเว็บ ต่างทราบดีว่าอุปกรณ์พกพาได้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขสู่โลกออนไลน์ โดยไม่มีใครจะพัฒนาสมาร์ตโฟนเพื่อผู้คนในวงกว้าง ครบสมบูรณ์ทั้งคุณภาพและราคา ได้เทียบเท่าสมาร์ตโฟน Xiaomi ของ Lei Jun</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		แม้ว่า Xiaomi ยังมิได้ขยายสาขาไปยังอเมริกาหรือยุโรป ลำพังแต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก ยอดขาย Xiaomi ได้พุ่งแซงหน้า Apple ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้แล้ว ไม่นับคู่แข่งรายอื่นๆ ในจีนด้วยกันเอง ที่ก่อตั้งมานานและมีขนาดธุรกิจใหญ่กว่า อย่างเช่น Lenovo ผู้ผลิตพีซีหมายเลขหนึ่ง หรือ Huawei บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารระดับโลก และหากพิจารณาทั้งโลกแล้ว <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=96">หลังผ่านไตรมาส 3 ของปีนี้ Xiaomi ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 3 รองจาก &nbsp;Samsung และ Apple</a> คาดว่าตลอดทั้งปีจะสร้างยอดขายได้ถึง 60 ล้านเครื่อง&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ในวัย 45 ปี Lei คือมหาเศรษฐีอันดับ 8 ของประเทศจีนแห่งทำเนียบ&nbsp;<a href="http://www.forbesthailand.com/_preview_article_detail.php?article_id=178">Forbes China Rich List</a> ด้วยทรัพย์สิน 9.9 พันล้านเหรียญ สำเร็จการศึกษาวิชาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จาก Wuhan University ในประเทศจีนนั่นเอง เขาเคยบอกว่าต้องทำงานหนักสัปดาห์ละถึง 100 ชั่วโมง และตลอดทั้งชีวิตแทบไม่เคยก้าวออกจากเมืองจีนเลย แต่เพียงแค่ในบ้านเกิด ตัวเขาก็โด่งดังและเป็นที่รู้จักไปทั่ว ฐานะมวยรองสัญชาติจีนในเวทีตลาดโทรศัพท์มือถือระดับโลก ที่หยิบยื่นสินค้าที่สร้างโดยคนในประเทศที่มีคุณภาพ และด้วยราคาที่เป็นธรรม</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		"เป้าหมายของผมก็คือทำให้ Xiaomi เป็นแบรนด์แห่งชาติของจีน ที่สร้างผลสะเทือนไปยังทุกภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และสร้างประโยชน์ให้เกิดกับทุกคนบนโลก" เขากล่าว</div>
</div>
<div>
	 
	 
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/Forbes%20Asia%20cover.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
	Lei Jun บนปก Forbes Asia ฉบับธันวาคม 2014</div>
<div>
	 
	<div>
		โมเดลจัดจำหน่ายของ Lei มีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเขามีความโดดเด่น เพราะ Xiaomi ตัดราคาสมาร์ตโฟนในตลาดได้อย่างน้อย 10% &nbsp;ด้วยช่องทางจัดจำหน่ายเฉพาะออนไลน์เท่านั้น ทำให้ขจัดปัญหาพ่อค้าคนกลางหรือพ่อค้าปลีกออกไป ผลิตภัณฑ์ของเขานั้นยังปรับปรุงพัฒนาตามคำแนะนำของผู้ใช้งาน พร้อมกับโปรโมทผ่านทางสื่อออนไลน์ จนปิดยอดขายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อปีกลาย Xiaomi จำหน่ายได้ถึง 1 แสนเครื่อง ภายในเวลาเพียง 90 วินาที ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน หรือ &ldquo;วันคนโสด&rdquo; (Singles&rsquo; Day &ndash; 11/11) เพียงวันเดียว ยังทำยอดได้ถึง 1 ล้านเครื่อง ผ่านการโปรโมทผ่าน Alibaba.com เท่านั้น &nbsp;จนกลายเป็นสถิติใหม่บนโลกการค้าออนไลน์ไปแล้ว ทำให้เขามุ่งมั่นเดินตามสูตรสำเร็จนี้ในการเปิดตัวสินค้าในแต่ละประเทศในเอเชีย</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		ด้วยเส้นทาสู่อนาคตอันสดใส Lei ได้ก้าวไปลงทุนในกิจการต่างๆ อย่างเช่นเว็บไซต์วิดีโอออนไลน์ iQiyi หรือสนับสนุนเงินทุนให้เสิร์ชเอนจิน Baidu เพื่อเข้าพัฒนาระบบสู่โลกบันเทิงผ่านอุปกรณ์โมบาย รวมทั้งเว็บไซต์ฝากไฟล์วิดีโอ Youku เพื่อให้เกิดคอนเทนต์อันหลากหลาย ผสมเข้ากับบริการในยุคดิจิทัล และเขายังขยายการ<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=225">ลงทุนไปยังธุรกิจวิเคราะห์และจัดเก็บข้อมูล</a>อีกด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นวิสัยทัศน์ระดับโลกที่เขาสร้างให้กับ Xiaomi</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		"นับตั้งแต่วันแรกที่ผมก่อตั้ง Xiaomi เป้าหมายของผมคือการสร้างบรรษัทระดับโลก" เขากล่าว</div>
</div>
<div>
	 
	 
	<hr />
	อ่านเพิ่มเติมที่&nbsp;<a href="http://www.forbes.com/sites/russellflannery/2014/12/03/the-disruptor/">Xiaomi&#39;s Lei Jun Is Forbes Asia&#39;s 2014 Businessman Of The Year</a>&nbsp;โดย Russell Flannery</div>

Forbes Asia ยกผู้สร้าง Xiaomi คือ “นักธุรกิจแห่งปี 2014”

[Lei Jun ซีอีโอแห่ง Xiaomi Technology ขณะกำลังพรีเซนต์เปิดตัวสมาร์ตโฟน]
<h2>ตลาดสมาร์ตโฟนในระดับโลกยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทว่าดาราเด่นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ Apple หรือ Samsung แต่กลับเป็น Xiaomi จากจีน</h2>
บริษัทอิเล็คโทรนิกส์ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานโดย Lei Jun มหาเศรษฐีอันดับ 23 ของจีน จากการจัดอันดับของ Forbes  เฉพาะในไตรมาสที่ผ่านมา สามารถครอบครองส่วนแบ่งในตลาดโลกได้ถึง 5% จากยอดขายกว่า 15 ล้านเครื่อง ตามรายงานของ Strategy Analytics

หากพิจารณาในรอบปี ก็จะมีส่วนแบ่ง 5.1% เพิ่มจากเวลาเดียวกันนี้ของปีก่อนที่ 1.8%

นับเป็นครั้งที่แรกที่ <a href="http://www.mi.com/en">Xiaomi</a> สามารถทะยานถึงอันดับห้าในตลาดโลก ซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลยสำหรับบริษัทอายุเพียง 4 ปี

"สมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยของ Xiaomi ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดประเทศจีน ในแต่ละไตรมาสมียอดจำหน่ายเป็นล้านๆ ผ่านทางออนไลน์และช่องทางของโอปะเรเตอร์เป็นหลัก" Woody Oh นักวิเคราะห์ประจำ Strategy Analytics กล่าว

บริษัทจัดจำหน่ายโทรศัพท์และแทบเล็ตของตัวเองผ่านหน้าเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งสามารถสร้างดีมานต์ให้เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนรุ่น Mi3 สามารถขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่นาที หลังเปิดตัวต่อสาธารณชน

สำหรับซีอีโอ Lei นั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าถอดแบบการพรีเซนต์ทั้งสไตล์และการแต่งตัวมาจาก Steve Jobs สมาร์ตโฟนรุ่น Mi4 ยังมีหน้าตาในแบบ iPhone รวมทั้งเว็บไซต์ก็ยังละม้ายคล้ายกับเว็บไซต์ของ Apple อีกด้วย  แม้ว่าจะมาในแบบลอกเลียนอย่างตรงไปตรงมา แต่ดูเหมือนว่าจะได้ผลดีอย่างยิ่ง

ก้าวต่อไปอันยิ่งใหญ่ของ Xiaomi คือการออกนอกประเทศจีน ไปเติบโตยังเอเชียและยุโรป  Oh กล่าวว่า "บริษัทจะต้องลงทุนด้วยเงินมหาศาล กว่าจะทำให้ผู้บริโภคชาวตะวันตกคุ้นเคยกับชื่อแบรนด์ที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่นัก"

เมื่อปีกลาย Xiaomi เพิ่งฉกตัว Hugo Barra อดีตหัวหน้าแผนก Android ของ Google เพื่อให้มารับผิดชอบงานด้านต่างประเทศโดยเฉพาะ แม้ว่างานหลักในตอนนี้ จะเป็นการออกมาแก้ต่างแทนเจ้านายคนใหม่ ในข้อหาลอกเลียนแบบก็ตาม

Xiaomi ยังสามารถเติบโตกับตลาดในประเทศจีนต่อไปได้ แม้ว่าทาง Apple จะเข้าไปวางรากฐานไว้มากแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม ตลาดในระดับโลกยังมีดีมานด์สูงทั้งในเอเชียและอาฟริกา แม้จะชะลอตัวบ้างในอเมริกาเหนือและยุโรปก็ตาม

ทั้งนี้ Samsung ยังคงเป็นเจ้าตลาดสมาร์ตโฟนของโลก ด้วยส่วนแบ่ง 25.2% ในไตรมาสสองของปีนี้ ตามมาด้วย Apple ที่ 11.9%  Huawei จากจีน 6.8% และ Lenovo 5.4%

นักวิเคราะห์ยังระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของ Lenovo ไม่ได้เพิ่มมากนักตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตยังคงมากกว่าปีก่อนราวครึ่งเท่าตัว "และจะเห็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลอดไตรมาสนี้"
<div>

<hr />

เรียบเรียงจาก <a href="http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2014/07/31/chinas-xiaomi-becomes-worlds-5th-largest-smartphone-maker/?utm_campaign=techtwittersf&amp;utm_source=twitter&amp;utm_medium=social">China's Xiaomi Becomes World's 5th Largest Smartphone Maker</a> โดย Parmy Olson

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events