<h2 style="text-align: center;">SAVE THE DATE 27-29 August 2022 @Toscana Valley</h2>
<a href="https://www.keytolanuovadolcevita.com/th/"><img class="size-large wp-image-65791 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/ROMA-Ex-Test-Drive-641x1024.jpg" alt="" width="640" height="1022" /></a>
<a href="https://www.keytolanuovadolcevita.com/th/">ลงทะเบียน Ferrari Roma Exclusive Test Drive </a>
<a href="https://www.keytolanuovadolcevita.com/th/">ณ Toscana Valley</a>
<a href="https://www.keytolanuovadolcevita.com/th/">27 -29 ส.ค. 2565 นี้</a>

Exclusive Ferrari Test Drive Key to La Nuova Dolce Vita

<h2>ในฐานะ CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ อย่าง Benedetto Vigna ก็ได้ประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นของ Ferrari และนักวิเคราะห์ทั้งหลายก็มั่นใจในการก้าวเข้าตลาดรถไฟฟ้าครั้งนี้</h2>
ตอนนี้ Ferrari เปรียบเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าลักชัวรีเหมือนกับ Hermes, LVMH, Prada, Ferragamo, Moncler หรือแม้กระทั่ง Richemont มากกว่าบริษัทรถยนต์ธรรมดาแบบ Volkswagen และ Stellantis

<img class="aligncenter wp-image-53761 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Benedetto-Vigna-e1636453773780.png" alt="Ferrari" width="720" height="479" />

และนักวิเคราะห์จำนวนมากก็โล่งอกเมื่อได้ยินว่า Benedetto Vigna CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์จะมองหาหุ้นส่วนแทนการระดมทุนผลิตรถไฟฟ้าหลังจากที่ประกาศผลประกอบการ

ทาง Ferrari เองสามารถฝ่าวิกฤตชิปขาดแคลนมาได้อย่างฉลุย และบริษัท Morgan Stanley ก็คาดว่าการหันมาลงเล่นตลาดรถไฟฟ้าจะส่งผลดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางบริษัทได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 โดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเมื่อปีก่อน เป็น 3.71 ร้อยล้านยูโร (4.29 ร้อยล้านเหรียญฯ) 

<figure><img class="wp-image-53739 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Ferrari-e1636447415304.png" alt="Ferrari" width="720" height="450" /><figcaption> 599 GTB Fiorano ที่ งาน Geneva International Motor Show ปี 2006 Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

Vigna ที่มาจากบริษัทผลิตชิปอย่าง STMicroelectronics ได้เข้ามาเป็น CEO เมื่อเดือนมิถุนายน ได้เพิ่มตัวเลขในการคาดการณ์ของกำไร EBITDA ทั้งปีเป็น 1.52 พันล้านยูโร (1.76 พันล้านเหรียญฯ) จากเดิมที่วางไว้ประมาน 1.45 ถึง 1.5 พันล้านยูโร (1.74 พันล้านเหรียญฯ)  

อีกทั้งยังกล่าวว่าจะเลื่อนการเปิดตัวเครื่องยนต์ Icona รุ่นลิมิเต็ดที่สานต่อจากความสำเร็จของซูเปอร์คาร์อย่าง Monza SP1 และ SP2 ซึ่งวางขายอยู่ที่ประมาน 1.85 ล้านเหรียญ ขึ้นมาเล็กน้อย โดย Icona ตัวใหม่นี้จะวางขายในปี 2022 ซึ่งก็คือไม่อีกกี่เดือนข้างหน้าแล้ว

Vigna ยืนยันว่า รถพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะเปิดตัวในปี 2025 ส่วนรถระบบไฮบริดอย่างรุ่น Purosangue SUV นั้นมีแผนว่าจะเปิดตัวปีหน้า มาแข่งกับเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lamborghini Urus, Bentley Bentayga รวมไปถึง Aston Martin DBX

ธนาคาร Investment Bank อย่าง UBS ก็ท่าทางจะชอบการที่ Vigna เลือกที่จะจับมือกับหุ้นส่วนอื่นๆ และการที่เงินก้อนโตที่จะใช้ในการผันตัวเป็นรถไฟฟ้านั้นจะไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งมากไป

“(Vigna) สร้างความประทับใจแรกได้ดีมากทีเดียว มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินทุนอย่างไร (Capex) ใช้นวัตกรรมแบบไหน หรือพลังงานไฟฟ้าอย่างไร หุ้นส่วน Capex แทนที่จะเดินหน้าสร้างอย่างเดียว เราคิดว่าเรื่องนี้จะช่วยให้นักลงทุนทั้งหลายที่กลัวว่าค่าใช้จ่ายระยะยาวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงพัฒนารถ EVs ซึ่งคาดว่าะเป็นปี 2025 มีความสบายใจมากขึ้น” UBS ระบุไว้ในรายงานการวิจัย

Reuters Breaking Views กล่าวว่า รายชื่อลูกค้าที่ต่อแถวยาวเป็นหางว่าวนี้ทำให้วางแผนการผลิตได้ และหลีกเลี่ยงราคาต้นทุนที่จู่ๆ ก็ขึ้นลงได้ง่ายขึ้น

“หากวิกฤต (ชิป) นี้ยังคงอยู่ ราคามันจะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหมือนกับ Hermes Ferrari เองก็น่าจะสามารถผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้อยู่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าของ Ferrari คือจะผันตัวมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร เมื่อยอดขายส่วนใหญ่ยังมาจากรถยนต์เชื้อเพลิงอยู่ (หุ้นของ) บริษัทตอนนี้มีมูลค่าแบบลักชัวรี่มี Forward P/E ที่ 44 เท่า และเพื่อจะรักษามันเอาไว้ Vigna ต้องมีกลวิธีปรับเปลี่ยนสุดชิคแล้วล่ะ” Lisa Jucca คอลัมนิสต์ประจำ Breaking Views ระบุไว้

ทางนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Adam Jonas คิดว่า รถพลังงานไฟฟ้าจะส่งผลบวก มากกว่าผลลบ

“เรามองว่าเฟอร์รารี่ เป็นผู้เล่นรถไฟฟ้าที่กำลังโต และถูกตลาดมองข้ามมากเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่จะได้ครอบครองเฟอร์รารี่ ในขณะที่ตลาดยังมีแนวคิดว่า “รถอีวีจะทำให้เฟอร์รารี่แย่” มันก็แค่พักเดียว ทำไมเราถึงคิดว่าเครื่องยนต์อีวี จะดีต่อเฟอร์รารี่นะหรอ” Jonas กล่าวว่า นั่นก็ประกอบไปด้วย
<ul>
 	<li>     ขยายฐาน Total Addressable Market และขยายการเติบโต</li>
 	<li>     ต้นทุนที่ต่ำลง</li>
 	<li>     เพิ่มกำไรขั้นต้น</li>
 	<li>     ดึงดูดนักลงทุนนอกเหนือจากผู้ที่สนใจสินค้าลักซัวรี่และยานยนต์แบบเดิมๆ </li>
</ul>
<figure><img class="wp-image-53762 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Ferrari-Purosangue-1-930x620-e1636453809791.jpeg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ภาพร่าง Purosangue SUV โดย Giorgi Tedoradze</figcaption></figure>

เมื่อช่วงต้นปีนี้ Morgan Stanley ได้ปล่อยรายงานที่ระบุไว้ว่า ยอดขายรายปีของบริษัทแห่งนี้จะแตะ 20,000 คันภายในปี 2029/2030 ซึ่งตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 11,000 คันโดยราคาขายโดยทั่วไปต่อคันจะอยู่ที่ประมาน 375,000 ยูโร (444,000 เหรียญฯ) จากเดิมที่ราคา 325,000 ยูโร (385,000 เหรียญฯ)

ทั้งหมดนี้อ้างอิงจาก แผนขยายธุรกิจของรถรุ่น Purosangue ที่จะเปิดตัวในปี 2022 การเติบโตในตลาดจีนและเอเชียแปซิฟิก โมเดลและเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ก็ยังนับเครื่องยนต์พลังงานเชื้อเพลิง รถแบบไฮบริดและไฟฟ้า รวมไปถึงการต่อยอดอื่นๆ นอกเหนือจากการผลิตรถไม่ว่าจะเป็นการแข่งฟอร์มูล่าวัน, สวนสนุก และผลิตภัณฑ์ลักชัวรี่ต่างๆ

Goldman Sachs เปลี่ยนคำแนะนำในการลงทุนเป็น “ขาย” จาก “ซื้อ” เมื่อมิถุนายน โดยอ้างอิงจากรายจ่ายก้อนโตในการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และความยากลำบากในการสร้างกำไรก้อนโตกลับคืนมา

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความเผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/elon-musk-%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b2.html">Elon Musk ต้องเสียภาษีเท่าไร ถ้าขาย “หุ้น Tesla”</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

นักลงทุนคาด Ferrari จะโลดแล่นในตลาดรถไฟฟ้า

นันทมาลี ภิรมย์ภักดี ภารกิจขายฝัน “Ferrari”

<h2>คาวาลลิโน มอเตอร์ เดินหน้าธุรกิจเต็มสูบ ล่าสุดเปิดตัว Ferrari 812 Superfast เสริมแกร่งทัพม้าลำพองในประเทศไทย มั่นใจอีก 5 ปี แตะ 1,000 ล้านบาท</h2>
บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายและซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กางแผนธุรกิจระยะ 5 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์เติมเต็มตลาดด้วยสินค้าใหม่ ควบคู่ยกระดับบริการหลังการขาย และศูนย์บริการ ล่าสุดเปิดตัว Ferrari 812 Superfast คาดการณ์ยอดขายเฉพาะรุ่นนี้ แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีแน่นอน

วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธานบริษัท กรรมการบริหาร บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายและซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย  เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 3-5 ปีนับจากนี้ ต้องการผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มจีที คาร์ (Gran Turismo) ที่จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากสุด เนื่องจากเป็นรถสปอร์ตสำหรับไลฟ์สไตล์ของการใช้อย่างสะดวกสบายทุกวัน ทั้งยังทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความเร้าใจผสมกลิ่นอายของเฟอร์รารี่อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย

ขณะเดียวกันกลยุทธ์เรื่องบริการหลังการขาย จะมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้ตามแผนข้างต้น โดยบริษัทเตรียมพร้อมจะขยายการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบครันและครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากการให้บริการแล้ว ยังรวมถึงการซ่อมรถเฟอร์รารี่ที่มีความพร้อมทางด้านบริการต่าง ๆ เช่น การทำสีรถ และการเคาะตัวถังรถ และการเพิ่มลิฟท์ยกรถในศูนย์ซ่อมบำรุง ที่เราเชื่อว่าการเพิ่มเติมในส่วนนี้ ย่อมทำให้บริษัทมีความสมบูรณ์แบบทางด้านงานบริการแก่ลูกค้าได้ดีมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน

<img style="width: 680px; height: 481px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e155f008dbb937e3cd1501c7cb56473b.png" alt="" />

ทั้งนี้ วรวุฒิ กล่าวถึงการเปิดตัว Ferrari 812 Superfast โดยมีเครื่องยนต์ V12 ที่เป็นจุดขายสำคัญของรุ่นดังกล่าว แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Portofino 488GTB หรือ GTC4LUSSO เป็นอย่างมาก และนับว่าเป็นรถเฟอร์รารี่ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่อีกด้วย เฟอร์รารี่ 812 Superfast เปรียบเสมือนการสะท้อนให้เห็นถึงยุคใหม่ของเครื่องยนต์เฟอร์รารี่ 12 สูบ โดยต่อยอดมาจากรุ่นที่โด่งดังในอดีตเช่น F12berlinetta และ F12tdf  โดยรถรุ่นใหม่นี้ได้ถูกพัฒนามาเพื่อลูกค้าที่ชื่นชอบเฟอร์รารี่ ซึ่งต้องการรถยนต์เฟอร์รารี่ที่แรงและพิเศษที่สุด สีตัวถังพิเศษเป็นสีแดง Rosso Settanta ที่ทำขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี และได้รับการออกแบบปรับแต่งภายนอกให้มีความหรูหรา สง่างาม ด้วยเส้นสายและรูปทรงที่มีความสปอร์ตสูง และเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม

“การจะขับเคลื่อนธุรกิจช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ บริษัทจะผลักดันด้วยความหลากหลายของรถที่จะเข้ามาทำตลาดให้แก่กลุ่มลูกค้าตามความต้องการ ควบคู่ไปกับพัฒนาศูนย์บริการ ยกระดับบริการหลังการขาย และการรับประกัน ก็เป็นนโยบายที่บริษัทเตรียมพร้อมจะเดินหน้าต่อไปด้วย” วรวุฒิ กล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 491px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6b8d8c97ff5092961a94cd1b2cf02b7d.jpg" alt="" width="680" height="491" /><figcaption> วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธานบริษัท กรรมการบริหาร บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด</figcaption></figure>

สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย ยอดจองเติบโตมากถึง 300% หากเทียบย้อนกลับไปในปี 2558 ส่วนตลอดปีนี้คาดว่าภาพรวมจะปิดยอดได้กว่า 1,000 ล้านบาท ในเชิงของรถสปอร์ตถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง แต่สำหรับรุ่นใหม่ 812 ซูเปอร์ฟาสต์ ราคาคันละประมาณกว่า 30 ล้าน คาดว่าในระยะ 5 ปีน่าจะปิดยอดขายแค่เฉพาะรุ่นนี้ที่ 1,000 ล้านบาท

ด้านภาพรวมตลาดรถซูเปอร์คาร์ ไฮแบรนด์ ในตลาดระดับใกล้เคียงกัน บริษัทน่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50% ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในตลาดรถซูเปอร์คาร์ ด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเรื่องของราคาย่อมมีผลต่อการตัดสินใจส่วนหนึ่ง แต่กลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อรถประเภทนี้ย่อมมีกำลังซื้อดีอยู่แล้ว ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีความโปร่งใส โดยลูกค้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องของการเสียภาษีรถที่ผิดกฎหมาย

คาวาลลิโน มอเตอร์ ก็ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยความโปร่งใสอย่างต่อเนื่องเสมอมา และช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายมั่นใจและสบายใจเพราะถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และที่สำคัญรถเฟอร์รารี่ในประเทศไทยมีค่าเสื่อมต่ำที่สุด และรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นและรถคลาสสิกบางรุ่นก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นอีก ถือได้ว่าเป็นการลงทุนในทรัพย์สินที่ได้ความหลงใหลในการขับขี่และเป็นรถสะสมในเวลาเดียวกัน

<img style="width: 680px; height: 481px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/43b3fd8c8a5f866e584f3dde5a56313a.png" alt="" />

คาวาลลิโน มอเตอร์ เดินหน้าธุรกิจเต็มสูบ ประกาศแผน 5 ปี มั่นใจ 5 ปี แตะ 1 พันล้านบาท

Lego ผู้ผลิตของเล่น ถูกประกาศชื่อเป็นแบรนด์ทรงพลังอันดับ 1 ของโลกในปี 2017 จากการจัดอันดับโดย Brand Finance เฉือนชนะ Google และ Nike ซึ่งได้อันดับ 2 ร่วม

การจัดอันดับครั้งนี้วัดจาก BSI score (Brand Finance’s Brand Strength Index) โดยคำนวณจาก 3 ดัชนีชี้วัดคือ 1.คุณค่าของแบรนด์ จากการสอบถามผู้บริโภคถึงสินค้าที่เลือกซื้อ 2.ต้นทุนในการสร้างแบรนด์ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงจะยิ่งส่งให้คะแนนสูงขึ้น 3.ผลลัพธ์ วัดจากกำไรและมูลค่าบริษัท ทั้งหมดนี้จะเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจเดียวกันในการคำนวณคะแนน BSI ก่อนจะนำคะแนนที่ได้มาจัดอันดับแบบรวมทุกกลุ่มธุรกิจอีกครั้ง

ผลคือปีนี้ Lego จากธุรกิจของเล่นสามารถเอาชนะแชมป์เก่าคือ Walt Disney จากธุรกิจสื่อได้ โดยผู้จัดอันดับ Brand Finance ให้ทัศนะว่า Lego ถือเป็นแบรนด์ที่มีรากฐานแข็งแกร่ง “แรงดึงดูดของแบรนด์เลโก้แผ่ขยายจากรุ่นสู่รุ่น เพราะนอกจากเลโก้จะให้อิสระทางความคิดสร้างสรรค์แก่เด็กๆ แล้ว ยังให้ความรู้สึกรำลึกถึงอดีตแก่ผู้ใหญ่อีกด้วย” รวมถึงการออกฉายของภาพยนตร์ชุด The Lego Movie ในปี 2014 และปีนี้ ทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของมูลค่าแบรนด์หากมีการซื้อขายในตลาด Google จากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ถือเป็นแบรนด์มูลค่าสูงอันดับ 1 โดย Brand Finance ประเมินว่ามีมูลค่าสูงถึง 1.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 17 ก.พ.60) ดัน Apple แชมป์เก่าตกสู่อันดับ 2

สำหรับแบรนด์ทรงพลังในใจผู้บริโภค 10 อันดับมีดังนี้

<img style="width: 323px; height: 669px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/249f2627ca835a35b9100844dff39a69.jpg" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events