นักลงทุนคาด Ferrari จะโลดแล่นในตลาดรถไฟฟ้า - Forbes Thailand

นักลงทุนคาด Ferrari จะโลดแล่นในตลาดรถไฟฟ้า

FORBES THAILAND / ADMIN
09 Nov 2021 | 05:59 PM
READ 3544

ในฐานะ CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ อย่าง Benedetto Vigna ก็ได้ประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นของ Ferrari และนักวิเคราะห์ทั้งหลายก็มั่นใจในการก้าวเข้าตลาดรถไฟฟ้าครั้งนี้

ตอนนี้ Ferrari เปรียบเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าลักชัวรีเหมือนกับ Hermes, LVMH, Prada, Ferragamo, Moncler หรือแม้กระทั่ง Richemont มากกว่าบริษัทรถยนต์ธรรมดาแบบ Volkswagen และ Stellantis Ferrari และนักวิเคราะห์จำนวนมากก็โล่งอกเมื่อได้ยินว่า Benedetto Vigna CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์จะมองหาหุ้นส่วนแทนการระดมทุนผลิตรถไฟฟ้าหลังจากที่ประกาศผลประกอบการ ทาง Ferrari เองสามารถฝ่าวิกฤตชิปขาดแคลนมาได้อย่างฉลุย และบริษัท Morgan Stanley ก็คาดว่าการหันมาลงเล่นตลาดรถไฟฟ้าจะส่งผลดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางบริษัทได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 โดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเมื่อปีก่อน เป็น 3.71 ร้อยล้านยูโร (4.29 ร้อยล้านเหรียญฯ) 
Ferrari
599 GTB Fiorano ที่ งาน Geneva International Motor Show ปี 2006 Photo Credit: Getty Images
Vigna ที่มาจากบริษัทผลิตชิปอย่าง STMicroelectronics ได้เข้ามาเป็น CEO เมื่อเดือนมิถุนายน ได้เพิ่มตัวเลขในการคาดการณ์ของกำไร EBITDA ทั้งปีเป็น 1.52 พันล้านยูโร (1.76 พันล้านเหรียญฯ) จากเดิมที่วางไว้ประมาน 1.45 ถึง 1.5 พันล้านยูโร (1.74 พันล้านเหรียญฯ)   อีกทั้งยังกล่าวว่าจะเลื่อนการเปิดตัวเครื่องยนต์ Icona รุ่นลิมิเต็ดที่สานต่อจากความสำเร็จของซูเปอร์คาร์อย่าง Monza SP1 และ SP2 ซึ่งวางขายอยู่ที่ประมาน 1.85 ล้านเหรียญ ขึ้นมาเล็กน้อย โดย Icona ตัวใหม่นี้จะวางขายในปี 2022 ซึ่งก็คือไม่อีกกี่เดือนข้างหน้าแล้ว Vigna ยืนยันว่า รถพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะเปิดตัวในปี 2025 ส่วนรถระบบไฮบริดอย่างรุ่น Purosangue SUV นั้นมีแผนว่าจะเปิดตัวปีหน้า มาแข่งกับเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lamborghini Urus, Bentley Bentayga รวมไปถึง Aston Martin DBX ธนาคาร Investment Bank อย่าง UBS ก็ท่าทางจะชอบการที่ Vigna เลือกที่จะจับมือกับหุ้นส่วนอื่นๆ และการที่เงินก้อนโตที่จะใช้ในการผันตัวเป็นรถไฟฟ้านั้นจะไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งมากไป “(Vigna) สร้างความประทับใจแรกได้ดีมากทีเดียว มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินทุนอย่างไร (Capex) ใช้นวัตกรรมแบบไหน หรือพลังงานไฟฟ้าอย่างไร หุ้นส่วน Capex แทนที่จะเดินหน้าสร้างอย่างเดียว เราคิดว่าเรื่องนี้จะช่วยให้นักลงทุนทั้งหลายที่กลัวว่าค่าใช้จ่ายระยะยาวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงพัฒนารถ EVs ซึ่งคาดว่าะเป็นปี 2025 มีความสบายใจมากขึ้น” UBS ระบุไว้ในรายงานการวิจัย Reuters Breaking Views กล่าวว่า รายชื่อลูกค้าที่ต่อแถวยาวเป็นหางว่าวนี้ทำให้วางแผนการผลิตได้ และหลีกเลี่ยงราคาต้นทุนที่จู่ๆ ก็ขึ้นลงได้ง่ายขึ้น “หากวิกฤต (ชิป) นี้ยังคงอยู่ ราคามันจะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหมือนกับ Hermes Ferrari เองก็น่าจะสามารถผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้อยู่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าของ Ferrari คือจะผันตัวมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร เมื่อยอดขายส่วนใหญ่ยังมาจากรถยนต์เชื้อเพลิงอยู่ (หุ้นของ) บริษัทตอนนี้มีมูลค่าแบบลักชัวรี่มี Forward P/E ที่ 44 เท่า และเพื่อจะรักษามันเอาไว้ Vigna ต้องมีกลวิธีปรับเปลี่ยนสุดชิคแล้วล่ะ” Lisa Jucca คอลัมนิสต์ประจำ Breaking Views ระบุไว้ ทางนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Adam Jonas คิดว่า รถพลังงานไฟฟ้าจะส่งผลบวก มากกว่าผลลบ “เรามองว่าเฟอร์รารี่ เป็นผู้เล่นรถไฟฟ้าที่กำลังโต และถูกตลาดมองข้ามมากเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่จะได้ครอบครองเฟอร์รารี่ ในขณะที่ตลาดยังมีแนวคิดว่า “รถอีวีจะทำให้เฟอร์รารี่แย่” มันก็แค่พักเดียว ทำไมเราถึงคิดว่าเครื่องยนต์อีวี จะดีต่อเฟอร์รารี่นะหรอ” Jonas กล่าวว่า นั่นก็ประกอบไปด้วย
  •     ขยายฐาน Total Addressable Market และขยายการเติบโต
  •     ต้นทุนที่ต่ำลง
  •     เพิ่มกำไรขั้นต้น
  •     ดึงดูดนักลงทุนนอกเหนือจากผู้ที่สนใจสินค้าลักซัวรี่และยานยนต์แบบเดิมๆ 
ภาพร่าง Purosangue SUV โดย Giorgi Tedoradze
เมื่อช่วงต้นปีนี้ Morgan Stanley ได้ปล่อยรายงานที่ระบุไว้ว่า ยอดขายรายปีของบริษัทแห่งนี้จะแตะ 20,000 คันภายในปี 2029/2030 ซึ่งตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 11,000 คันโดยราคาขายโดยทั่วไปต่อคันจะอยู่ที่ประมาน 375,000 ยูโร (444,000 เหรียญฯ) จากเดิมที่ราคา 325,000 ยูโร (385,000 เหรียญฯ) ทั้งหมดนี้อ้างอิงจาก แผนขยายธุรกิจของรถรุ่น Purosangue ที่จะเปิดตัวในปี 2022 การเติบโตในตลาดจีนและเอเชียแปซิฟิก โมเดลและเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ก็ยังนับเครื่องยนต์พลังงานเชื้อเพลิง รถแบบไฮบริดและไฟฟ้า รวมไปถึงการต่อยอดอื่นๆ นอกเหนือจากการผลิตรถไม่ว่าจะเป็นการแข่งฟอร์มูล่าวัน, สวนสนุก และผลิตภัณฑ์ลักชัวรี่ต่างๆ Goldman Sachs เปลี่ยนคำแนะนำในการลงทุนเป็น “ขาย” จาก “ซื้อ” เมื่อมิถุนายน โดยอ้างอิงจากรายจ่ายก้อนโตในการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และความยากลำบากในการสร้างกำไรก้อนโตกลับคืนมา แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความเผยแพร่บน Forbes.com อ่านเพิ่มเติม: Elon Musk ต้องเสียภาษีเท่าไร ถ้าขาย “หุ้น Tesla”
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine