<h2>ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ หรือ CIO เป็นตำแหน่งสำคัญของแต่ละบริษัทที่ได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล พวกเขานำเอาเทคโนโลยีมาใช้เป็นหัวใจสำคัญในทุกๆ เป้าหมายธุรกิจ ไม่ว่าจะเก็บข้อมูล ดูแลรักษาความปลอดภัย สร้างระบบ และขจัดภัยคุกคาม กระทั่งสร้างสรรค์นวัตกรรม ปรับเปลี่ยน กระตุ้นศักยภาพ และช่วยเหลือด้านกลยุทธ์ต่างๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Forbes จึงได้รวบรวมรายชื่อเหล่าผู้นำด้านเทคโนยีคนสำคัญมาจัดทำ Forbes CIO Next เป็นปีที่ 3 ซึ่งไม่ใช่การจัดอันดับ แต่แนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับบุคคลอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ สำหรับบางคนที่คัดเลือกมาอาจไม่ได้ดำรงตำแหน่ง CIO แต่มีการทำงานและความรับผิดชอบในส่วนที่มีความใกล้เคียงกัน เพราะในปัจจุบันที่ทุกๆ อย่างเชื่อมโยงถึงกันและผลิตภัณฑ์คือแพลตฟอร์ม เส้นแบ่งระหว่าง CTO และ CIO ก็เลือนรางลงไปด้วย ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false" style=""><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/U2b9iW8DUrGxZwagsKG2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="U2b9iW8DUrGxZwagsKG2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="200px,200px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1080" style="width: 200px; height: 200px;" data-index="0"></figure></div>Marco Argenti ตำแหน่ง: CIO บริษัท: Goldman Sachs&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Argenti เข้าร่วม Goldman Sachs ในปี 2019 ภายหลังดำรงตำแหน่งรองประธานด้านเทคโนโลยีที่ Amazon Web Services เป็นเวลาเก้าปี ประสบการณ์นั้นช่วยให้วิศวกรเชื้อชาติอิตาเลียนผู้นี้เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จากการทำงานสนับสนุนมาเป็นบริการภายนอก (External Service) กล่าวคือธนาคาร Goldman Sachs ให้บริการคลาวด์ด้านการเงินโดยอนุญาตให้ลูกค้าเข้าถึงอุปกรณ์ในการดำเนินการจัดการทรัพย์สินและปรับเปลี่ยนเงินทุนหมุนเวียนให้เหมาะสม คล้ายกับที่ AWS ให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการด้านไอทีบนคลาวด์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือการเปิดตัวแพลตฟอร์มที่สร้างกรรมสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินต่างๆ เป็นทรัพย์สินดิจิทัลซึ่งช่วยเบิกทางให้เหล่าผู้เล่นในตลาดรับเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการออกตราสารทางการเงินในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้เขายังรับเอารูปแบบการทำงานที่ให้ผู้พัฒนาได้มีส่วนร่วมมาใช้ โดย Argenti นำวิธีการคิดเชิงธุรกิจมาปลูกฝังให้ทีมวิศกรกว่า 12,000 คนรวมถึงยังชี้ให้บริษัทตระหนักถึงความเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/B7yHEg4eKaBBwU86pXpH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="B7yHEg4eKaBBwU86pXpH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="200px,200px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1080" style="width: 200px; height: 200px;" data-index="1"></figure></div>Michelle Greene ตำแหน่ง: CIO บริษัท: Cardinal Health &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดโดยเพิ่มนัดหมายบริการด้านการแพทย์ทางไกลทำให้หลายบริษัทในธุรกิจบริการด้านสุขภาพต้องทบทวนการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ Cardinal Health บริษัทบริการด้านสุขภาพที่มีรายรับในปีงบประมาณ 2022 ประมาณ 1.8 แสนล้านเหรียญ Greene ให้ความสนใจการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทั้งระบบการทำงานภายในและภายนอก เธอกับทีมงานหาหนทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเหล่าซัพพลายเออร์ พนักงาน และคนไข้ เช่น Decision Path ระบบบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกและตรวจสอบค่าใช้จ่ายแบบเรียลไทม์ซึ่งให้ราคาตามจริงแก่เหล่าคนไข้ที่มีการนัดหมายเข้ามารับบริการ นอกจากนี้เธอยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริษัทโดยการตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไปและสรรหาบุคคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาร่วมงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เธอยังมีส่วนร่วมในทีมผู้นำของ Women s Impact Network องค์กรการกุศลเพื่อสนับสนุนพลังสตรีและ BOLD กลุ่มอาสาสมัครที่รวมเอาพนักงานผิวดำและชาวแอฟริกันอเมริกันใน Cardinal Health เป็นสมาชิก Greene ยังมีความมั่นใจในการให้ความสำคัญกับการสร้างการมีส่วนร่วมและการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทไปนานๆ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/n8sV36krwRWYwz2DG32z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="n8sV36krwRWYwz2DG32z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="200px,200px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1080" style="width: 200px; height: 200px;" data-index="2"></figure></div>Alisa Choong ตำแหน่ง: CIO บริษัท: Shell&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะ CIO ของบริษัทน้ำมันและก๊าซยักษ์ใหญ่ Choong ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านเทคโนโลยี เธอก่อตั้งกลุ่มเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความยั่งยืนร่วมกับเหล่าคู่ค้าและซัพพลายเออร์เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เหลือศูนย์จากซัพพลายเชนภายในปี 2030&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยความที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน เธอได้นำระบบคอมพิวติ้งสมรรถนะสูงมาปรับใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด โดยเธอและทีมต้องดูแลเหตุการณ์และการแจ้งเตือนกว่า 4 ล้านล้านครั้งต่อปี สร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์และบรรเทาความเสี่ยงของปัญหาสำคัญลำดับต้นๆ ที่พวกเขากำลังพยายามแก้ไข&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหนือสิ่งอื่นใดคือการทิศทางการทำงานที่เกี่ยวกับการบุกเบิกเทคโนโลยีแบบจำลองเสมือนโดยนำ AI, IoT และ Machine Learning มาใช้เพื่อป้อนข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยังแบบจำลองเสมือนซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ปัญหาและทางออกในการเพิ่มศักยภาพการทำงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp; ด้านการบริหารจัดการการทำงาน Choong เชื่อว่าหนทางเดียวที่จะเพิ่มศักยภาพของทีมและบริษัทได้คือ ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม เธอสร้างความสมดุลทางเพศในทีมผู้นำของเธอเอง รวมถึงมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ในระดับที่ลดหลั่นลงไป เธอยังให้ความสำคัญสูงสุดกับเทคโนโลยีและกลยุทธ์ต่างๆ ในการทำให้พนักงานที่พิการสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้มากขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/aK7QMvbfDgDhUdJ5M1GS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="aK7QMvbfDgDhUdJ5M1GS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="200px,200px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1080" style="width: 200px; height: 200px;" data-index="3"></figure></div>Mira Murati ตำแหน่ง: CTO บริษัท: OpenAI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับเป็นปีที่ดีสำหรับประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีแห่ง OpenAI บริษัทของเธอสั่นคลอนโลกใบนี้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาหลังเปิดตัว ChatGPT แชทบอท AI ที่สามารถเขียนบทกวี โค้ดโปรแกรม และคำตอบอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับข้อสอบระดับมหาวิทยาลัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในสองเดือนก็มีผู้ใช้งานถึง 100 ล้านราย กลายมาเป็นแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าที่เติบโตเร็วมากแอปฯ หนึ่งในประวัติศาสตร์ (Dall-E ที่เป็น AI สร้างรูปภาพก็เช่นเดียวกัน)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หญิงสาวเชื้อชาติอัลบาเนียนผู้นี้ เคยร่วมทำงานพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ให้ Tesla และปรับแต่งระบบเสมือนจริงให้กับ Leap Motion และเธอยังตระหนักถึงความอันตรายของสิ่งที่เธอสร้างขึ้นดีจึงใช้อิทธิพลของตนเองในการเรียกร้องกฎระเบียบและความรับผิดชอบด้าน AI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้เธอยังได้เข้าร่วมคณะกรรมการบริหารของ Unlearn ซึ่งกำลังพยายามใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาการลองผิดลองถูกในวงการแพทย์ ดังเช่นที่ ซีอีโอ ของ Unlearn ทวีตว่า “Mira แสดงให้เห็นว่าเธอรู้เกี่ยวกับการสร้างและการขายผลิตภัณฑ์ที่มีรากฐานจาก AI มากกว่าใครอื่นทั้งหมด”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/NLSyGPkQyoh7KpVT8Rpx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="NLSyGPkQyoh7KpVT8Rpx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="200px,200px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1080,1080" style="width: 200px; height: 200px;" data-index="4"></figure></div>Werner Vogels ตำแหน่ง: CTO บริษัท: Amazon&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อผลิตภัณฑ์ของคุณคือแพลตฟอร์ม การเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีจึงมีความหมายแตกต่างออกไป ยิ่งเมื่อ Vogels คือหนึ่งในกำลังสำคัญเบื้องหลังการผลักดัน Amazon สู่คลาวด์คอมพิวติ้งเขาจึงเป็นหัวหอกด้านวิสัยทัศน์และนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ยึดเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลางของบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาเป็นกระบอกเสียงให้ Amazon บ่อยๆ เมื่อมีเทรนด์หรือเทคโนโลยีที่เข้ามาปฏิรูปธุรกิจ และยังมีอิทธิพลในการควบคุมบทสนทนาทั้งภายใน Amazon และภายนอกเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ มาแก้ปัญหาทางธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ และจากรายการ Now Go Build ที่เขาเป็นผู้ดำเนินไปจนการคาดการณ์เทคโนโลยีประจำปี Vogels ใช้อิทธิพลของตนในการเป็นสุดยอดแห่งพลังความเปลี่ยนแปลงในวงการไอที แปลและเรียบเรียงโดย พรรณราย ดวงดีเด่น จากบทความ&nbsp;The Forbes CIO Next List: 2023&nbsp; ซึ่งเผยแพร่บน forbes.com​ <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

5 "CIO" ทรงอิทธิพลประจำปี 2023

<h2>ในฐานะ CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ อย่าง Benedetto Vigna ก็ได้ประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นของ Ferrari และนักวิเคราะห์ทั้งหลายก็มั่นใจในการก้าวเข้าตลาดรถไฟฟ้าครั้งนี้</h2>
ตอนนี้ Ferrari เปรียบเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าลักชัวรีเหมือนกับ Hermes, LVMH, Prada, Ferragamo, Moncler หรือแม้กระทั่ง Richemont มากกว่าบริษัทรถยนต์ธรรมดาแบบ Volkswagen และ Stellantis

<img class="aligncenter wp-image-53761 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Benedetto-Vigna-e1636453773780.png" alt="Ferrari" width="720" height="479" />

และนักวิเคราะห์จำนวนมากก็โล่งอกเมื่อได้ยินว่า Benedetto Vigna CEO คนใหม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์จะมองหาหุ้นส่วนแทนการระดมทุนผลิตรถไฟฟ้าหลังจากที่ประกาศผลประกอบการ

ทาง Ferrari เองสามารถฝ่าวิกฤตชิปขาดแคลนมาได้อย่างฉลุย และบริษัท Morgan Stanley ก็คาดว่าการหันมาลงเล่นตลาดรถไฟฟ้าจะส่งผลดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางบริษัทได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 โดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเมื่อปีก่อน เป็น 3.71 ร้อยล้านยูโร (4.29 ร้อยล้านเหรียญฯ) 

<figure><img class="wp-image-53739 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Ferrari-e1636447415304.png" alt="Ferrari" width="720" height="450" /><figcaption> 599 GTB Fiorano ที่ งาน Geneva International Motor Show ปี 2006 Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

Vigna ที่มาจากบริษัทผลิตชิปอย่าง STMicroelectronics ได้เข้ามาเป็น CEO เมื่อเดือนมิถุนายน ได้เพิ่มตัวเลขในการคาดการณ์ของกำไร EBITDA ทั้งปีเป็น 1.52 พันล้านยูโร (1.76 พันล้านเหรียญฯ) จากเดิมที่วางไว้ประมาน 1.45 ถึง 1.5 พันล้านยูโร (1.74 พันล้านเหรียญฯ)  

อีกทั้งยังกล่าวว่าจะเลื่อนการเปิดตัวเครื่องยนต์ Icona รุ่นลิมิเต็ดที่สานต่อจากความสำเร็จของซูเปอร์คาร์อย่าง Monza SP1 และ SP2 ซึ่งวางขายอยู่ที่ประมาน 1.85 ล้านเหรียญ ขึ้นมาเล็กน้อย โดย Icona ตัวใหม่นี้จะวางขายในปี 2022 ซึ่งก็คือไม่อีกกี่เดือนข้างหน้าแล้ว

Vigna ยืนยันว่า รถพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะเปิดตัวในปี 2025 ส่วนรถระบบไฮบริดอย่างรุ่น Purosangue SUV นั้นมีแผนว่าจะเปิดตัวปีหน้า มาแข่งกับเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lamborghini Urus, Bentley Bentayga รวมไปถึง Aston Martin DBX

ธนาคาร Investment Bank อย่าง UBS ก็ท่าทางจะชอบการที่ Vigna เลือกที่จะจับมือกับหุ้นส่วนอื่นๆ และการที่เงินก้อนโตที่จะใช้ในการผันตัวเป็นรถไฟฟ้านั้นจะไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งมากไป

“(Vigna) สร้างความประทับใจแรกได้ดีมากทีเดียว มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินทุนอย่างไร (Capex) ใช้นวัตกรรมแบบไหน หรือพลังงานไฟฟ้าอย่างไร หุ้นส่วน Capex แทนที่จะเดินหน้าสร้างอย่างเดียว เราคิดว่าเรื่องนี้จะช่วยให้นักลงทุนทั้งหลายที่กลัวว่าค่าใช้จ่ายระยะยาวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงพัฒนารถ EVs ซึ่งคาดว่าะเป็นปี 2025 มีความสบายใจมากขึ้น” UBS ระบุไว้ในรายงานการวิจัย

Reuters Breaking Views กล่าวว่า รายชื่อลูกค้าที่ต่อแถวยาวเป็นหางว่าวนี้ทำให้วางแผนการผลิตได้ และหลีกเลี่ยงราคาต้นทุนที่จู่ๆ ก็ขึ้นลงได้ง่ายขึ้น

“หากวิกฤต (ชิป) นี้ยังคงอยู่ ราคามันจะต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหมือนกับ Hermes Ferrari เองก็น่าจะสามารถผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้อยู่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าของ Ferrari คือจะผันตัวมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร เมื่อยอดขายส่วนใหญ่ยังมาจากรถยนต์เชื้อเพลิงอยู่ (หุ้นของ) บริษัทตอนนี้มีมูลค่าแบบลักชัวรี่มี Forward P/E ที่ 44 เท่า และเพื่อจะรักษามันเอาไว้ Vigna ต้องมีกลวิธีปรับเปลี่ยนสุดชิคแล้วล่ะ” Lisa Jucca คอลัมนิสต์ประจำ Breaking Views ระบุไว้

ทางนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley อย่าง Adam Jonas คิดว่า รถพลังงานไฟฟ้าจะส่งผลบวก มากกว่าผลลบ

“เรามองว่าเฟอร์รารี่ เป็นผู้เล่นรถไฟฟ้าที่กำลังโต และถูกตลาดมองข้ามมากเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่จะได้ครอบครองเฟอร์รารี่ ในขณะที่ตลาดยังมีแนวคิดว่า “รถอีวีจะทำให้เฟอร์รารี่แย่” มันก็แค่พักเดียว ทำไมเราถึงคิดว่าเครื่องยนต์อีวี จะดีต่อเฟอร์รารี่นะหรอ” Jonas กล่าวว่า นั่นก็ประกอบไปด้วย
<ul>
 	<li>     ขยายฐาน Total Addressable Market และขยายการเติบโต</li>
 	<li>     ต้นทุนที่ต่ำลง</li>
 	<li>     เพิ่มกำไรขั้นต้น</li>
 	<li>     ดึงดูดนักลงทุนนอกเหนือจากผู้ที่สนใจสินค้าลักซัวรี่และยานยนต์แบบเดิมๆ </li>
</ul>
<figure><img class="wp-image-53762 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Ferrari-Purosangue-1-930x620-e1636453809791.jpeg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ภาพร่าง Purosangue SUV โดย Giorgi Tedoradze</figcaption></figure>

เมื่อช่วงต้นปีนี้ Morgan Stanley ได้ปล่อยรายงานที่ระบุไว้ว่า ยอดขายรายปีของบริษัทแห่งนี้จะแตะ 20,000 คันภายในปี 2029/2030 ซึ่งตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 11,000 คันโดยราคาขายโดยทั่วไปต่อคันจะอยู่ที่ประมาน 375,000 ยูโร (444,000 เหรียญฯ) จากเดิมที่ราคา 325,000 ยูโร (385,000 เหรียญฯ)

ทั้งหมดนี้อ้างอิงจาก แผนขยายธุรกิจของรถรุ่น Purosangue ที่จะเปิดตัวในปี 2022 การเติบโตในตลาดจีนและเอเชียแปซิฟิก โมเดลและเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ก็ยังนับเครื่องยนต์พลังงานเชื้อเพลิง รถแบบไฮบริดและไฟฟ้า รวมไปถึงการต่อยอดอื่นๆ นอกเหนือจากการผลิตรถไม่ว่าจะเป็นการแข่งฟอร์มูล่าวัน, สวนสนุก และผลิตภัณฑ์ลักชัวรี่ต่างๆ

Goldman Sachs เปลี่ยนคำแนะนำในการลงทุนเป็น “ขาย” จาก “ซื้อ” เมื่อมิถุนายน โดยอ้างอิงจากรายจ่ายก้อนโตในการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และความยากลำบากในการสร้างกำไรก้อนโตกลับคืนมา

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความเผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/elon-musk-%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b5%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%96%e0%b9%89%e0%b8%b2.html">Elon Musk ต้องเสียภาษีเท่าไร ถ้าขาย “หุ้น Tesla”</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events