<h2>บริษัทผู้สร้าง “The Happiest Place On Earth” อย่าง Walt Disney Company กำลังมองหาการเดิมพันครั้งใหม่ โดยการเดิมพันครั้งนี้ก็มีท่าทีที่จะชนะด้วย</h2>
<figure><img class="wp-image-54060 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/Walt-Disney-Studio-e1636951863881.png" alt="Walt Disney Co." width="720" height="404" /><figcaption> Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

Bob Chapek ผู้นั่งตำแหน่ง CEO ประจำ Walt Disney Company กล่าวว่าจะนำบริษัทก้าวเข้าสู่ธุรกิจการพนันกีฬาผ่าน ESPN  “เราจะมุ่งสร้างตัวตนในโลกการพนันกีฬาออนไลน์อีกด้วย โดยหากดูจากการเข้าถึงและสเกลของเรา เราก็ถือว่ามีศักยภาพที่จะจับมือกับ Third Party ต่างๆ ในพื้นที่ตรงนี้ได้อย่างมีความหมาย” Chapek กล่าวเมื่อวันพุธระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของทางบริษัท

ทางบริษัทเองก็ไม่ได้มีปีที่โอ่อ่าอะไร  มีผลประกอบการต่ำกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ แต่จุดที่สว่างไสวของพวกเขาคือ กีฬา บริการสตรีมมิ่งอย่าง ESPN+ ได้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 66 ในรอบปี และร้อยละ 90 ของการถ่ายทอดบนเครือข่ายโทรทัศน์ที่ Disney เป็นเจ้าของที่มีผู้ชมมากที่สุดก็คือ การแข่งกีฬา 

อีกทั้งบริษัทผู้สร้างดินแดนแห่งความสุขนี้ก็ได้เซ็นสัญญาถ่ายทอด NFL ถึง 10 ปีโดยมีผลใน 2023 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากการโฆษณาของ ESPN ก็ไม่มีขึ้นมีลงเลยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

Chapek กล่าวว่าการพนันจะสามารถเพิ่มช่องทางรายได้ให้กับทางบริษัท และดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยได้

“เราเชื่อว่าการพนันกีฬานี้เป็นโอกาสครั้งสำคัญของทางบริษัท และก็ถูกขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคทั้งหมด” Chapek กล่าว “มันมีลูกค้าเป็นผู้ขับเคลื่อน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อายุไม่มากที่จะมาคอยเติมเต็มจำนวนประชากรแฟนกีฬาต่อไปเรื่อยๆ ไหนจะความปรารถนาที่จะพนัน โดยนับความปรารถนานี้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การดูกีฬาอีก”

ในการที่จะดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ Chapek กล่าวว่าทาง Disney เองก็ต้อง “พิจารณาที่จะก้าวเข้าสู่โลกการพนันแบบจริงจังและยิ่งใหญ่มากกว่านี้ และ ESPN ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบทุกความต้องการ”

ทางบริษัทเองก็ได้ลองเกมดูบ้างแล้ว โดยปีก่อน ESPN ได้ปิดดีลกับ Caesars Entertainment และ DraftKings ที่ให้ทั้งสองลิ้งค์ Sportsbooks จาก ESPN.com และเมื่อเดือนสิงหาคม <a href="https://www.wsj.com/articles/espn-explores-sports-betting-deal-worth-at-least-3-billion-11630089962?st=2yl0yk1lchq9kcn&amp;reflink=article_imessage_share">Wall Street Journal ก็ได้รายงานว่า</a> ESPN กำลังอยู่ในช่วงเจรจาความเป็นไปได้ในการสร้างข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิกับ Caesars Entertainment หรือไม่ก็กับ DraftKings โดยข้อตกลงดังกล่าว<a href="https://www.forbes.com/sites/dereksaul/2021/08/27/espn-reportedly-in-talks-with-caesars-entertainment-and-draftkings-for-licensing-deal-worth-billions/?sh=5aa64f0190ec">อาจมีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว</a>

<figure><img class="wp-image-54061 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/11/ESPN-e1636951927282.png" alt="ESPN" width="720" height="403" /><figcaption> Photo Credit: Getty Images</figcaption></figure>

คำถามหินก็คือ แล้ว Disney จะเข้าสู่วงการการพนัน โดยผ่าน ESPN นี้ อย่างไร

ในการประชุมนักลงทุนเมื่อเดือนกันยายน Chapek ถูกถามว่าทาง ESPN จะทำอะไรอย่างอื่นนอกเหนือจากข้อตกลงอนุญาตให้ใช้สิทธิและเปิดรับพนันโดยตรงหรือไม่  

“หนทางระหว่างการนำสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่โมเดลธุรกิจของ ESPN และการอณุญาตให้ใช้สิทธิมันยังคงห่างกันไกลอยู่” <a href="https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2021-11-10/mckinsey-partner-s-insider-trading-strategy-was-bad">Chapek กล่าว</a> “เอาเป็นว่า แฟนๆของเราสนใจในการพนันกีฬามาก และพันธมิตรด้านกีฬาของเราก็สนใจในการพนันนี้เช่นกัน เราเองก็เลยสนใจเรื่องพนันกีฬาด้วย”

ตั้งแต่ศาลสูงสุดสหรัฐได้เพิกถอนการห้ามพนันกีฬาเมื่อปี 2018 ก็ได้มีการเปิดตัวการพนันถูกกฎหมายใน 32 รัฐ รวมถึงที่ Washington, D.C. ด้วย โดยอุตสาหกรรมนี้กำลัง<a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/10/08/the-30-billion-reason-media-companies-are-pivoting-to-vices/?sh=532dde1b1d7a">มาแรงแถมเต็มไปด้วยเม็ดเงิน</a> ข้อมูลจาก American Gaming Association แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันได้วางเดิมพันกับ <a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/08/26/las-vegas-breaks-record-in-july-with-794-million-in-gambling-revenue/?sh=344dfd2b7194">Sportsbooks ที่ถูกกฎหมายเป็นมูลค่าถึง 2.4 หมื่นล้านเหรียญฯ</a> ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเม็ดเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญที่มาจากร้ายได้ทั้งหมดจากเกมการพนันนี้ 

และ Macquarie Research ก็คาดว่าภายในปี 2030 อุตสาหกรรมนี้จะมีรายได้ถึง 3 หมื่นล้านเหรียญฯ จากเงินเดิมพันที่คาดการณ์ว่าจะมีอยู่ 4 แสนล้านเหรียญฯเลยทีเดียว อีกทั้งบริษัทสื่อต่างๆ ตั้งแต่ Fox ยัน Sports Illustrated ก็ได้ปิดดีลกับบริษัทพนันกีฬาอีกด้วย

Daniel Dienst เจ้าของตำแหน่ง Executive Vice Chairman แห่ง Authentic Brands Group บริษัทแม่ของ Sports Illustrated ได้บอกกับทาง Forbes เมื่อเดือนกันยายนว่า<a href="https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2021/09/01/sports-illustrated-branded-betting-app-to-launch-in-colorado/?sh=67e04de7956d">ทางบริษัทได้ปิดดีลกับบริษัทพนันกีฬาไป</a> เพราะว่าพวกเล็งเห็นช่องทางสร้างรายได้ใหม่ที่ดูไปได้สวย และโอกาสในการที่บริษัทจะไปถือหุ้นในธุรกิจที่กำลังเติบโตในอุตสาหกรรมที่กำลังเบ่งบาน และเมื่อถาม Dienst ว่าการพนันยังมีรอยด่างพร้อยอยู่หรือเปล่า คำตอบของเขาคือ ไม่

“การพนัน โดยเฉพาะการเดิมพันกีฬา ได้ก้าวออกมาจากโลก [ของความชั่ว] แล้ว” Dienst กล่าวกับ Forbes “ผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของคนเราในการมีส่วนร่วมกับกีฬาไปแล้ว”

ระหว่างการประชุมรายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธ Chapek เก็บไพ่ไว้ใกล้ตัว ไม่อธิบายเพิ่มเติมเลยว่า Disney จะก้าวเข้าสู่โลกการพนันกีฬาอย่างไร แต่เขาได้กล่าวว่าเขาไม่กังวลเรื่องมลทินที่อาจติดอยู่กับชื่อของทั้งสองบริษัทเลยในการเข้าสู่ตลาดการพนันนี้

“การพนันไม่ได้มีเกียรติศัพท์แบบ 10 หรือ 20 ปีที่แล้ว เราเองก็มีความกังวลในฐานะบริษัทว่าเราจะสามารถก้าวเข้าสู่ตรงนี้ได้โดยที่แบรนด์จะไม่ถอนตัวได้หรือไม่” Chapek กล่าว “แต่ผมบอกคุณได้นะว่า จากที่เราได้วิจัยเร็วๆนี้ นั่นมันไม่ใช่ประเด็น มันช่วยเสริมสร้างแบรนด์ ESPN เมื่อคุณมีองค์ประกอบของการพนันต่างๆ และมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชื่อดิสนีย์ด้วย ดังนั้นเราจึงให้ความสนใจค่อนข้างมากกับการดึงดูดคนกลุ่มนั้น แน่นอน บวกกับรายได้ด้วย ซึ่งเราเองก็กำลังมุ่งเน้นทั้งสองเรื่องนี้อย่างไม่ถอย” Chapek ทิ้งท้าย

แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Disney Is ‘Aggressively’ Pursuing Opportunities In Sports Betting เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/female-invest-%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%99-4-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2.html">Female Invest รับเงินหนุน 4.5 ล้านเหรียญฯ มุ่งผลักผู้หญิงเป็นนักลงทุน</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Disney ‘มุ่ง’ หาช่องทางก้าวเข้าสู่โลกพนันกีฬา

<h2>TikTok แอปพลิเคชันที่ได้รับนิยมความสูงสุด กำลังจะได้ Kevin Mayer ผู้บริหารจาก Walt Disney มือปั้นธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ โดยเขาจะรับตำแหน่ง ซีอีโอ ของ ByteDance บริษัทสัญชาติจีนผู้สร้างแอปฯ ยอดนิยมนี้</h2>
"Kevin Mayer ได้สร้างผลงานอันพิเศษสุดให้กับเราตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา การได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ผ่านมา ผมต้องขอแสดงความขอบคุณสำหรับสิ่งที่เขาได้ทำและมิตรภาพที่มอบให้” ​ Bob Chapek ซีอีโอ Disney กล่าวในส่วนหนึ่งของแถลงการณ์

TikTok ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลังผู้คนต้องอยู่บ้านช่วยชาติและผลิตวิดีโอสั้นๆ หลากหลายรูปแบบจนทำให้ไตรมาสแรกของปี 2020 แอปฯ​ นี้มียอดดาวน์โหลดมากถึง 315 ล้านครั้ง จากการเก็บข้อมูลของ SensorTower

สำหรับผลงานสำคัญของ Mayer ที่ Disney ไล่เรียงตั้งแต่การควบรวมค่าย Pixar ผู้สร้างผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น, ค่าย Marvel, LucasFilm และปิดท้ายด้วย Fox ซึ่งการควบรวมต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของทิศทางสำคัญของ Disney ในการรุกตลาดสตรีมมิ่ง โดยมี ​Mayer เป็นหัวหอกคนสำคัญ

ปลายปีที่ผ่านมา Disney+ ได้เปิดตัวและสร้างสถิติมียอดดาวน์โหลดสูงถึง 14.1 ล้านครั้งในปี 2019 เป็นตัวเลขที่มากกว่า Netflix ที่มียอดดาวน์โหลด 11.9 ล้านครั้ง หรือ Hulu ที่มียอดดาวน์โหลด 8.1 ล้านครั้ง

Disney ทุ่มทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ ในปีแรกเพื่อบริหารจัดการภาพยนตร์และรายการต่างๆ อาทิ มหากาพย์จักรวาล Star Wars, The Mandalorian และ ภาพยนตร์เพลง Hamilton เป็นต้น

<img class="alignnone size-full wp-image-30116" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/global-tiktok-downloads-by-quarter_01.jpg" alt="" width="600" height="385" />

โดยสิ่งที่ Mayer อาจต้องเผชิญที่ TikTok คือคำวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน มาตรการป้องกันการใช้งานที่ไม่เหมาะสมของกลุ่มเยาวชน

โดย ​Mayer ทำหน้าที่ ซีอีโอ ByteDance แทน Alex Zhu หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Music.ly แอปพลิเคชันที่ ByteDance ซื้อเข้ามาในปี 2017 และเปลี่ยนโฉมเป็น TikTok ในปัจจุบัน สิ่งที่ Zhu พยายามอย่างยิ่งในฐานะซีอีโอ คือทำให้อเมริกาเห็นว่า Tiktok ไม่ใช่ภัยคุกคามทางด้านความมั่นคง ภาระตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของ Kevin Mayer ที่จะต้องรับไม้ต่อไปในวันที่ 1 มิถุนายน ที่กำลังจะมาถึง

ทั้งนี้ Disney ได้รับผลกระทบอยากหนักหน่วงจากวิกฤตการแพร่กระจายของ Covid-19 บรรดาสวนสนุกจากจินตนาการและธุรกิจเรือสำราญต้องปิดตัวอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ Bob Iger ในฐานะประธานบริหารดึงอำนาจบริหารบางส่วนกลับมาบริหารในช่วงวิกฤต

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หนี้สินของ Disney ติดลบสะสมราว 6 พันล้านเหรียญฯ คณะกรรมการสั่งหยุดการจ้างงานและลดเงินเดือนพนักงาน โดย Bob Chapek และ Bob Iger ลดเงินเดือนตัวเองครึ่งหนึ่งด้วย

เรียงเรียงจาก: As TikTok Takes Over America, It’s Making A Disney Executive Its New CEO

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/zhang-yiming-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95-tiktok-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84-10.html">Zhang Yiming เจ้าของแอปฮิตTikTok บริจาค 10 ล้านเหรียญสู้ไวรัสโคโรนา</a>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

Kevin Mayer ลา Walt Disney รับตำแหน่งซีอีโอ บริษัทผู้สร้างแอปฯ TikTok

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. Disney ผนวกกิจการเข้ากับ Fox อย่างเป็นทางการในสัญญามูลค่า 7.13 หมื่นล้านเหรียญ สินทรัพย์ใหม่ของ Disney จะทำให้บริษัทกลายเป็นมหาอำนาจแห่งวงการบันเทิงที่ยิ่งใหญ่เข้าไปอีก โดยมี ศิลปินแร็ปอย่าง Ice Cube กับแม่ค้าอัญมณีมหาเศรษฐีพันล้าน Carolyn Rafaelian ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะจับคู่กันและอาจช่วยอุดช่องโหว่ได้ ทั้งสองกำลังเสนอราคา 1 หมื่นล้านเหรียญซื้อเครือข่ายกีฬาระดับภูมิภาคของ Fox 21 เครือข่ายที่ Disney (เจ้าของ ESPN) ต้องขายออกไปภายใน 90 วัน

“หลายคนถามว่าสองคนนี้มาจับคู่บ้าอะไรกันนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่ดีที่สุดมักจะเริ่มจากตรงนั้นนั่นเอง” Rafaelian กล่าว เธอเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นซีอีโอของ Alex and Ani และเคยขึ้นปก Forbes ฉบับวันที่ 13 มิ.ย. 2017 จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก Rafaelian ลงทุนในลีกบาสเกตบอล Big3 ของ Ice Cube ซึ่งได้เสนอเข้าซื้อกิจการของ Disney ร่วมกัน
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/america/%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%a5.html">กำไรมหาศาลจากกำไล</a></li>
</ul>
พร้อมสัญญาสนับสนุน 1 พันล้านเหรียญจาก Rafaelian ตลอดจนวาณิชธนกิจอย่าง Macquarie Group และบริษัทที่ลงทุนในหุ้นนอกตลาดอย่าง Centerbridge Partners หากพวกเขาชนะการประมูล (พวกเขาอาจต้องแข่งกับข้อเสนอจาก Major League Baseball รวมทั้งมีรายงานว่า Liberty Media ของ John Malone ก็ได้ยื่นข้อเสนอด้วย) เครือข่ายดังกล่าวจะได้ถ่ายทอดการแข่งขันในท้องถิ่นของ MLB NBA และ NHLรวมทั้งการแข่งขันของ Big3 และรายการที่ไม่ใช่กีฬาอีกมากมาย

“เมื่อคุณเปลี่ยนช่อง คุณจะไม่กล้าเปลี่ยนช่องของเราเลยทีเดียว” Rafaelian กล่าว

<hr />

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/22b7345c-e85d-4612-885f-f585f9010e8c">คลิกอ่านเรื่องราวการสร้างธุรกิจ ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/22b7345c-e85d-4612-885f-f585f9010e8c"><img class="lazy alignnone wp-image-10127 lazy-loaded" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg" sizes="(max-width: 310px) 100vw, 310px" srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg 750w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750-229x300.jpg 229w" alt="" width="310" height="407" data-lazy-type="image" data-lazy-src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg" data-lazy-srcset="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750.jpg 750w, https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/cover-750-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 310px) 100vw, 310px" /></a>

สบช่องธุรกิจของคู่พิลึก หลัง Disney ผนวกกิจการเข้ากับ Fox

<h2 class="p1">Bob Iger ซีอีโอบริษัท Walt Disney อาจพิจารณางดถ่ายทำภาพยนตร์ในพื้นที่รัฐ Georgia หากรัฐดังกล่าวเริ่มบังคับใช้ 'กฎหมายจำกัดการทำแท้ง' ฉบับใหม่ ทั้งนี้ Georgia เป็นโลเคชันสำคัญในวงการหนังและเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังดังทำเงินอย่าง Black Panther และ Avengers: Endgame ของค่าย Marvel</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก <a href="https://www.forbes.com/sites/jillgoldsmith/2019/05/30/walt-disney-may-walk-if-georgias-new-abortion-law-enacted/?utm_source=FBPAGE&amp;utm_medium=social&amp;utm_content=2367810867&amp;utm_campaign=sprinklrForbesMainFB#3c56c6a937de">Walt Disney May Walk If Georgia's New Abortion Law Enacted </a>ตีพิมพ์ครั้งแรกใน forbes.com
Bob Iger ผู้บริหารงานเครือผู้ผลิตสื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และอะนิเมชั่นดังอย่าง Disney, Fox, Marvel Pixar และ Star Wars กล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า การออกกฎหมายจำกัดการทำแท้งของสตรีที่มีอายุครรภ์นานกว่า 6 สัปดาห์ของรัฐ Georgia นั้น จะทำให้การทำงานในรัฐดังกล่าว “ยากลำบากมาก”
“ผมคิดว่า หลายคนที่ทำงานให้เราจะไม่ต้องการทำงานที่นั่นอีกต่อไป และเราต้องเอาใจใส่ความต้องการของพวกเขาในกรณีนี้ ขณะนี้เรากำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด” Iger กล่าว “ผมไม่เห็นว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ที่นั่นต่อไปจะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ” เขาตอบคำถามสื่อมวลชนต่อประเด็นที่ว่าหากกฎหมายฉบับนี้เริ่มบังคับใช้ Disney จะตัดสินใจอย่างไร
ทั้งนี้ กฎหมายจำกัดการทำแท้ง ผ่านการรับรองโดยผู้ว่าการรัฐ Brian Kemp เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการจำกัดการทำแท้งหากแพทย์สามารถจับสัญญาณชีพจรของทารกในครรภ์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในระยะอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ กฎหมายนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสหรัฐฯ เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากจะยังไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ในระยะก่อน 6 สัปดาห์
รัฐ Georgia ถือเป็นโลเคชันถ่ายทำสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์ เนื่องจากรัฐนี้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับกองถ่าย ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ช่วยสร้างตำแหน่งงานให้คนในรัฐกว่า 92,000 ตำแหน่ง (ข้อมูลจาก Motion Picture Association of America) รัฐ Georgia ให้ข้อมูลว่าทีมโปรดักชัน 455 ทีมออกกองในรัฐนี้เมื่อปี 2018 และภาพยนตร์ดังอย่าง Black Panther และ Avengers: Endgame ก็ถ่ายทำในรัฐ Georgia เช่นกัน


<figure><img class="wp-image-8369 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/Avengers-Endgame-Quantum-Realm-Suits-Advanced-Tech-Images.jpg" alt="" width="738" height="389" /><figcaption> Avengers: Endgame เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีการถ่ายทำในรัฐ Georgia หนังเรื่องนี้ทุบสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศ ทำเงินไปแล้ว 2,694 ล้านเหรียญ ขึ้นแท่นอันดับ 2 หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกตลอดกาล เป็นรองเพียงแค่ Avatar</figcaption></figure>
นอกจาก Disney แล้ว เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่กล่าวกับนิตยสาร Variety ว่า พวกเขาจะ “ทบทวนใหม่” ในประเด็นการลงทุนโปรดักชันถ่ายทำหนังและรายการโทรทัศน์ในรัฐ Georgia หากมีการบังคับใช้กฎหมายจำกัดการทำแท้ง
แม้ว่าสตูดิโอดังในฮอลลีวูดส่วนใหญ่นอกจาก Disney จะยังไม่มีท่าทีตอบสนองกับประเด็นกฎหมายทำแท้ง แต่นักแสดงและโปรดิวเซอร์หลายคนเริ่มแสดงออกว่าพวกเขาจะหลีกเลี่ยงรัฐนี้เช่นเดียวกัน
คนดังที่เริ่มเคลื่อนไหว เช่น Reed Morano ผู้กำกับภาพยนตร์ The Handmaid’s Tale, Kristen Wiig และ Annie Mumolo ผู้เขียนบทหนังเรื่อง Bridesmaids ล้วนประกาศระงับแผนถ่ายภาพยนตร์ในรัฐดังกล่าว ขณะที่ Busy Philipps นักแสดงและพิธีกรรายการทอล์กโชว์ เป็นพรีเซนเตอร์ให้แคมเปญโฆษณาขององค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันเพื่อต่อต้านกฎหมายห้ามทำแท้ง
https://youtu.be/UBDIXa568XY?t=38
อย่างไรก็ตาม โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ เช่น  J.J. Abrams, Jordan Peele, Peter Chernin, Ron Howard และ Brian Grazer กล่าวว่าพวกเขาจะยังทำหนังในรัฐ Georgia ต่อไป แต่พวกเขาจะบริจาคเงินสนับสนุนกลุ่มนักกิจกรรมท้องถิ่นที่เคลื่อนไหวต่อต้านกฎหมายจำกัดการทำแท้งฉบับใหม่

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80.html">[JUST 100] เมื่อองค์กรอเมริกัน “กำกับตนเอง” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-the-rock-%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A7.html">หนึ่งเสี้ยวของ ‘The Rock’ ดารามวยปล้ำร้อยล้าน ผู้สร้างบริษัทจาก ‘โซเชียลมีเดีย’</a></li>
</ul>
รัฐ Georgia เป็นหนึ่งใน 12 รัฐที่ผ่าน "กฎหมายจำกัดการทำแท้ง" ในปีนี้ นอกจากรัฐนี้แล้วยังมี Alabama, Missouri, Ohio, Kentucky, Louisiana และ Mississippi ฯลฯ เป้าหมายของพวกเขาคือการกดดันให้ศาลฎีกาแห่งสหรัฐอเมริกากลับคำตัดสินใน คดี Roe v. Wade ซึ่งเป็นคดีอ้างอิงสำคัญเมื่อปี 1973 (คดีนี้โจทก์ Jane Roe ยื่นฟ้องอัยการ Henry Wade และรัฐ Texas ว่ากฎหมายต่อต้านการทำแท้งของรัฐนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญว่าด้วยสิทธิความเป็นส่วนตัว ซึ่งโจทก์ชนะคดี และเป็นการปลดล็อกการทำแท้งทั่วสหรัฐอเมริกา) 
นอกจากนี้ยังมีอีก 8 รัฐที่กำลังพิจารณากฎหมายที่เข้มงวดขึ้นในการทำแท้งโดยทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรม ในทางตรงข้าม รัฐอื่นๆ บางส่วนเริ่มผ่านกฎหมายหรือพิจารณากฎหมายเพื่อปกป้องการทำแท้งเสรีของผู้หญิงหากศาลฎีกากลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade
&nbsp;

Disney ขู่แบนรัฐ Georgia งดถ่ายหนังในพื้นที่หากบังคับใช้ "กฎหมายจำกัดการทำแท้ง"

<h2 class="p3">ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในรายชื่อของเรา โดยมี Apple ขึ้นอันดับ 1 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน</h2>
บริษัทเทคโนโลยียังคงแสดงพลังยึดครองหัวตารางแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก แม้ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ บริการค้นหา รีเทล โซเชียลมีเดีย หรือซอฟต์แวร์ แต่สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทเทคโนโลยีก็คือ “แบรนด์” 
ชื่อแบรนด์อันโด่งดังคือสิ่งที่ช่วยสร้างดีมานด์และพลังการต่อรองราคา สังเกตได้จาก Top 5 ของแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดประจำปี 2018 Apple, Google, Microsoft และ Facebook ที่ยังคงยึดตำแหน่งเดิมของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น รวมถึง Amazon ที่มูลค่าแบรนด์เติบโตถึง 31% และพุ่งแซงยักษ์ใหญ่วงการเครื่องดื่มอย่าง Coca-Cola ขึ้นมา ทั้งนี้ Coca-Cola เองกำลังประสบปัญหายอดขายลดลงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น
ไฮไลต์ที่น่าสนใจอยู่ที่วงการโทรศัพท์มือถือ Samsung Electronics สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า Apple ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 ยอดขายของ Samsung ช่วยดันให้มูลค่าแบรนด์ก้าวกระโดดจากอันดับ 10 ขึ้นมาเป็นอันดับ 7 
อย่างไรก็ตาม Canaccord Genuity ประเมินว่า Apple ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนถึง 87% หากวัดกันที่กำไร จากการวางจำหน่าย iPhone X สมาร์ทโฟนราคาแรง ความสามารถในทำกำไรเช่นนี้คือสิ่งที่สะท้อนมูลค่าแบรนด์อย่างชัดเจน และทำให้ Apple มีมูลค่าสูงกว่า Samsung ถึง 4 เท่า
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 1 Apple</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1654" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/01_Apple.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.828 แสนล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.286 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 1
&nbsp;
<h3 class="p4">อันดับ 2 Google</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1655" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/02_Google.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.321 แสนล้านเหรียญ (+30% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.72 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 2
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 3 Microsoft</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1656" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/03_Microsoft.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 1.049 แสนล้านเหรียญ (+21% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 9.84 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 3
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 4 Facebook</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1657" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/04_Facebook.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 9.48 หมื่นล้านเหรียญ (+29% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.57 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 4
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 5 Amazon</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1658" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/05_Amazon.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 7.09 หมื่นล้านเหรียญ (+31% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.693 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 6
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 6 Coca-Cola</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1659" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/06_CocaCola.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 5.73 หมื่นล้านเหรียญ (+2% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.34 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 5
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 7 Samsung</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1660" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/07_Samsung.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.76 หมื่นล้านเหรียญ (+25% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 2.034 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 10
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 8 Disney</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1661" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/08_Disney.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.75 หมื่นล้านเหรียญ (+8% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 3.04 หมื่นล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 7
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 9 Toyota</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1662" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/09_Toyota.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.47 หมื่นล้านเหรียญ (+9% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.764 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 8
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 10 AT&amp;T</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-1663" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/10_ATT.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าแบรนด์ 4.19 หมื่นล้านเหรียญ (+14% YoY)
รายได้ของแบรนด์ 1.605 แสนล้านเหรียญ
อันดับปี 2017: 12
&nbsp;

สำหรับวิธีรวบรวมรายชื่อ FORBES มีการประเมินแบรนด์ทั้งหมด 200 แบรนด์เพื่อคัดเลือกเหลือ 100 แบรนด์สุดท้าย เราดูกำไรช่วง 3 ปีและบทบาทที่แต่ละแบรนด์มีในอุตสาหกรรมของตนเพื่อประเมิน ทั้งนี้ ต้องเป็นแบรนด์ที่มีการทำตลาดในสหรัฐอเมริกาด้วย หากต้องการทราบวิธีการจัดอันดับและรายชื่อทั้งหมด สามารถอ่านได้ที่ <a href="http://forbes.com/valuable-brands">forbes.com/valuable-brands</a>

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=2099">15 บริษัท ‘ผลิตชิ้นส่วน’ ที่มูลค่าหุ้นทะยานหลังจับมือกับ ‘Apple’</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/leaderboard-detail.php?did=1933">ย้อนรอยดีลควบรวม Disney ปี 1995 ชัยชนะของ Warren Buffett</a></li>
</ul>

10 “แบรนด์” มูลค่าสูงที่สุดในโลก ปี 2018

การเข้าซื้อกิจการ Disney ของ Capital Cities/ABC ในปี 1995 เป็นดีลมูลค่ามหาศาลถึง 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการจับคู่เจ้าหนูผู้โด่งดังและผองเพื่อนกับ SportsCenter ซึ่งถือเป็นการรวมกิจการครั้งใหญ่ในวงการสื่อที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อีกทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เรามาดูเบื้องลึกเบื้องหลังในห้วงเวลานั้น ก่อนที่ดีลการควบรวมของ Disney จะเกิดขึ้น และใครกันที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

&nbsp;
<h2>เดิมพันของ Warren Buffett</h2>
จุดเริ่มต้นมาจากปี 1984 เมื่อช่องโทรทัศน์เคเบิล ABC ซื้อกิจการช่องเคเบิลกีฬา ESPN มาครองในราคาเพียง 188 ล้านเหรียญ ในปีต่อมา Warren Buffett ได้ลงทุนในบริษัท Capital Cities ซึ่งเป็นผู้แพร่ภาพและกระจายเสียงโทรทัศน์และวิทยุในปี และมีส่วนสนับสนุนเงินทุนแก่ Capital Cities ในการซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่าง ABC (ที่ควบรวม ESPN มาเรียบร้อยแล้ว) ซึ่งมีมูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญ

&nbsp;
<h2>พลังแห่งเงินตรา</h2>
หนึ่งทศวรรษถัดมา ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1995 เกิดดีลครั้งใหญ่เมื่อ Disney และ Capital Cities/ABC ควบรวมกิจการกัน ทำให้เกิดการรวมช่องโทรทัศน์ที่แพร่ภาพไปทั่วประเทศของ ABC โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่อง ESPN เข้ากับสตูดิโอผลิตภาพยนตร์และสวนสนุกของ Disney

&nbsp;
<h2>Oracle และพ่อสื่อแม่ชัก</h2>
ดีลธุรกิจนี้จะไม่เกิดขึ้นหรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เร็วขนาดนี้ ถ้าหากไม่มี Warren Buffett และผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดใน Capital Cities/ABC หนุนหลัง

ในระหว่างการพบปะกันโดยบังเอิญครั้งหนึ่งในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 1995 Buffett ได้ช่วยให้ Tom Murphy ซีอีโอของ Capital Cities และ Michael Eisner ผู้บริหารสูงสุดของ Disney ปลดล็อคข้อขัดแย้งระหว่างกัน ที่ว่าการควบรวมกิจการจะชำระเป็นเงินสดทั้งหมด (อย่างที่ Disney ต้องการ) หรือเป็นหุ้น (ตามความประสงค์ของ Capital Cities) Murphy และ Eisner ยอมประนีประนอมกัน และสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้ในเวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น

ผลจากดีลนี้ ทำให้กองทุน Berkshire Hathaway ของ Buffett ได้รับเงินสดจำนวน 1.2 พันล้านเหรียญ และหุ้นของ Disney มูลค่า 1.3 พันล้านเหรียญ คิดเป็นกำไรทั้งสิ้น 2.2 พันล้านเหรียญ

&nbsp;
<h2>ความขัดแย้ง ณ เบื้องบน</h2>
ท่ามกลางการเจรจาและการควบรวมกิจการ Murphy และ Dan Burke ประธาน Capital Cities ต่างก็อยู่ในวัยใกล้เกษียณในช่วงที่ Disney เริ่มปรับกลยุทธ์

ในปี 1994 Michael Eisner ซีอีโอของ Disney สั่งปลด Jeffrey Katzenberg ออกจากตำแหน่งหัวหน้าสตูดิโอ และ Michael Ovitz ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็น “ตัวพ่อในวงการ” ก็ลาออกจากบริษัทในปี 1997 หลังจากที่ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทได้เพียงไม่นาน

Robert Iger ซีโอโอของ Capital Cities ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Disney แทน Eisner ในปี 2005 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เป็นกำลังสำคัญในการทำให้หุ้นของบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัว

&nbsp;
<h2>บัลลังก์สะเทือน</h2>
ภายในปี 2005 เครือข่ายเคเบิลของทั้งสองบริษัทรวมกัน (รวมตระกูล ABC ด้วย) สร้างยอดขายได้ 23% และมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจอีก 53% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ESPN กำลังประสบปัญหาสมาชิกบอกยกเลิกบริการเคเบิลทีวี ภายในปี 2016 เพียงปีเดียว จำนวนสมาชิกลดลงอย่างน่าใจหายถึง 2 ล้านคน ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป

&nbsp;
<a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1607">อ่านเพิ่มเติม: เคเบิลทีวี ESPN ระส่ำ! ปลดพนักงานรวด 100 คน ประหยัดต้นทุนสู้โลกดิจิทัล</a>

ย้อนรอยดีลควบรวม Disney ปี 1995 ชัยชนะของ Warren Buffett

Lego ผู้ผลิตของเล่น ถูกประกาศชื่อเป็นแบรนด์ทรงพลังอันดับ 1 ของโลกในปี 2017 จากการจัดอันดับโดย Brand Finance เฉือนชนะ Google และ Nike ซึ่งได้อันดับ 2 ร่วม

การจัดอันดับครั้งนี้วัดจาก BSI score (Brand Finance’s Brand Strength Index) โดยคำนวณจาก 3 ดัชนีชี้วัดคือ 1.คุณค่าของแบรนด์ จากการสอบถามผู้บริโภคถึงสินค้าที่เลือกซื้อ 2.ต้นทุนในการสร้างแบรนด์ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงจะยิ่งส่งให้คะแนนสูงขึ้น 3.ผลลัพธ์ วัดจากกำไรและมูลค่าบริษัท ทั้งหมดนี้จะเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจเดียวกันในการคำนวณคะแนน BSI ก่อนจะนำคะแนนที่ได้มาจัดอันดับแบบรวมทุกกลุ่มธุรกิจอีกครั้ง

ผลคือปีนี้ Lego จากธุรกิจของเล่นสามารถเอาชนะแชมป์เก่าคือ Walt Disney จากธุรกิจสื่อได้ โดยผู้จัดอันดับ Brand Finance ให้ทัศนะว่า Lego ถือเป็นแบรนด์ที่มีรากฐานแข็งแกร่ง “แรงดึงดูดของแบรนด์เลโก้แผ่ขยายจากรุ่นสู่รุ่น เพราะนอกจากเลโก้จะให้อิสระทางความคิดสร้างสรรค์แก่เด็กๆ แล้ว ยังให้ความรู้สึกรำลึกถึงอดีตแก่ผู้ใหญ่อีกด้วย” รวมถึงการออกฉายของภาพยนตร์ชุด The Lego Movie ในปี 2014 และปีนี้ ทำให้แบรนด์มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของมูลค่าแบรนด์หากมีการซื้อขายในตลาด Google จากกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ถือเป็นแบรนด์มูลค่าสูงอันดับ 1 โดย Brand Finance ประเมินว่ามีมูลค่าสูงถึง 1.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 17 ก.พ.60) ดัน Apple แชมป์เก่าตกสู่อันดับ 2

สำหรับแบรนด์ทรงพลังในใจผู้บริโภค 10 อันดับมีดังนี้

<img style="width: 323px; height: 669px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/249f2627ca835a35b9100844dff39a69.jpg" alt="" />

10 สุดยอด “แบรนด์” ในใจผู้บริโภคปี 2017

เรื่อง: พรพรรณ ปัญญาภิรมย์ ภาพ: ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท

จากสภาวการณ์ขาดทุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2548 ท่ามกลางเศรษฐกิจของเอเชียที่ทรุดหนัก และการเผชิญหน้ากับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งอย่างโอเชียนปาร์ค ทำให้สวนสนุกฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ที่มีหุ้นส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลฮ่องกง (ดิสนีย์ถือหุ้น 43% ที่เหลือเป็นของรัฐบาลฮ่องกง) แทบจะหมดหวังในการดึงดูดนักท่องเที่ยว

เมื่อปัญหาอยู่ที่ความน่าสนใจและขนาดของสวนสนุกที่ไม่สามารถเทียบได้กับดิสนีย์แลนด์ในประเทศอื่น รัฐบาลฮ่องกงจึงอนุมัติขยายพื้นที่ 25% และเพิ่มจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวในปี 2552 ด้วยแผนโครงการ 5 ปีสร้างสวนสนุก themed land ใหม่อีก 3 โซน ได้แก่ Toy Story Land เปิดให้บริการปี 2554 Grizzly Gulch ในปี 2555 รวมทั้ง Mystic Point ปี 2556 เฉพาะที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์

ภายใต้การบริหารของ  แอนดรูว์ แคม กรรมการผู้จัดการ ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท ซึ่งดูแลทั้งสวนสนุกและโรงแรม 2 แห่งรวมจำนวน 1,000 ห้องพัก และพนักงานมากกว่า 7,800 คน

ในที่สุดฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ สามารถพลิกฟื้นผลขาดทุน 8 ปีติดต่อกัน ด้วยการทำกำไรครั้งแรกจำนวน 109 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในปี 2555 สร้างรายได้ 4,300 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง พร้อมจำนวนผู้เข้าชม 6.7 ล้านคน และเติบโตอย่างต่อเนื่องสู่รายได้จำนวน 5,466 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (2.84 หมื่นล้านบาท) และทำกำไรได้ 322 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (1.72 พันล้านบาท) ในปี 2557

นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวจีนจะมีส่วนสำคัญที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กับฮ่องกงดิสนีย์แลนด์แล้ว นักท่องเที่ยวไทยยังเป็นหนึ่งในตลาดหลักตามแผนการขยายตลาด ตามกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมองตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวประมาณ 22% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด 7.5 ล้านคนเมื่อปี 2557 รองจากตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ 48% และตลาดฮ่องกง 30%

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/disney-01.jpg" alt="" width="477" height="318" />
แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะซบเซาหรือชะลอตัวลง แต่การท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการท่องเที่ยวในภูมิภาคสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้ 5.5% โดยเฉพาะประเทศไทยมีการเดินทางไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น 7% หรือคิดเป็นสัดส่วนนักท่องเที่ยว 5% เนื่องจากการขยายตัวด้านรายได้ ดีมานด์การท่องเที่ยวของชนชั้นกลางที่มีฐานะมีจำนวนมากขึ้น และสายการบินต้นทุนต่ำที่ช่วยให้การเดินทางสะดวก และลดต้นทุนการเดินทางลง

“ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วถึงปัจจุบันจำนวนคนไทยเที่ยวฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เพิ่มขึ้น 23% โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเทศกาลเพิ่มขึ้นถึง 70% ขณะที่คนไทยเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายมากที่สุดเทียบกับนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับหนึ่งของยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน เราไม่มีตัวเลขชัดๆ แต่ที่เห็นคือ คนไทยชอบซื้อของแต่งบ้าน จาน ชาม เสื้อผ้า ของเล่น เราเห็นยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกปี รองลงมาเป็นประเทศอินโดนีเซีย” แอนดรูว์กล่าวถึงนักท่องเที่ยวไทยที่ครองแชมป์การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กลยุทธ์สร้างการเติบโตของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ในปีนี้จึงเดินหน้ารุกหนักในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น  นับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงต้นปีนี้กับแคมเปญฉลองครบรอบ 10 ปี ไม่ว่าจะเป็น ความร่วมมือกับเซ็นทรัลเวิลด์จัดงาน A Happy Fairytale ให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสกลิ่นอายของโชว์และกิจกรรมต่างๆ ที่มีขึ้นอย่างอลังการในฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการนำเสนอประสบการณ์แห่งเทพนิยายของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ให้กับตลาดประเทศไทย

นอกจากนั้น ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ยังนำเสนอโปรโมชั่นพิเศษเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งลดราคาพิเศษในแพ็คเกจตั๋วเครื่องบินไป-กลับฮ่องกง บัตรเข้าชมสวนสนุก 1 วันและคูปองอาหารราคา 6,996 บาท หรือประมาณ 40% ของราคาปกติพร้อมกิมมิกพิเศษลดราคา 90% เหลือเพียง 699.50 บาทสำหรับ 10 คนแรก และลดราคา 80% เหลือ 1,399 บาท สำหรับ 20 คนแรก นอกเหนือจากลดดราคาห้องพัก 30% ในโรงแรมฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ และโรงแรมดิสนีย์ฮอลลีวู้ด

แอนดรูว์กล่าวถึงความพิเศษที่มีให้เฉพาะประเทศไทยว่า “แต่ละประเทศไม่เหมือนกัน อย่างจีนกวางตุ้งเราให้เป็นบัตรเข้าชมสวนสนุกและอาหาร ไม่จำเป็นต้องค้าง แต่ถ้าไกลขึ้นอาจจะบวกโรงแรมให้ แล้วแต่ตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีระยะเวลาพักในฮ่องกงประมาณ 3.5 คืน จึงสนใจ 1 day ticket และ 2 day ticket เพราะจ่ายเพิ่มไม่มาก และเข้าวันที่ 2 ไม่จำเป็นต้องติดกับวันแรกจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้”

ไม่เพียงการแสดงที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ยังเพิ่มสีสันด้วยการตกแต่งถนน Mainstreet USA สำหรับงานฉลองครบรอบ 10 ปี รวมทั้งการเปิดตัว Fairytale Forest ในแฟนตาซีแลนด์ ด้วยการจำลองฉากจากเรื่องราวของเจ้าหญิงของดิสนีย์แห่งเทพนิยาย 5 เรื่อง พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องเล่น Iron Man ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิสนีย์นำฮีโร่จากค่าย Marvel มาเสริมความสนุกในฮ่องกงดิสนีย์แลนด์

<img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/disney-02.jpg" alt="" width="483" height="322" />
“เรายังผลิตสินค้าร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ในรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น ผสมผสานดีไซน์ของดิสนีย์ เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปี เช่น จี้จาก PANDORA หรือช่อดอกไม้ผ้าที่หอมอบอวลไปด้วยน้ำหอมจาก Crabtree and Evelyn” แอนดรูว์เพิ่มเติมความพิเศษในการผลิตสินค้าร่วมกับแบรนด์ชั้นนำอย่าง Coca-Cola, Crabtree and Evelyn, Dooney &amp; Burke และ PANDORA

นอกเหนือจากสินค้าจำนวนกว่า 220 ไอเท็ม ซึ่งจะมีสินค้าที่ระลึกฉลองครบรอบ เช่น เข็มกลัดลิมิเต็ด อิดิชั่น และคอลเล็คชั่น Castle Skyline พร้อมเพิ่มจำนวนสินค้าฉลองการฉายรอบปฐมทัศน์ของ “Star Wars: The Force Awakens” หลากหลายประเภทกว่า 250 ชนิด

แอนดรูว์ประเมินภาพรวมการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ที่มีสวนสนุกขนาดใหญ่ว่า “ฮ่องกงมีความ unique มากในเอเชีย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่นและเกาหลี รวมถึงโอเชียนปาร์ค แต่ในแง่แบรนด์ของดิสนีย์ยังคงแข็งแกร่งครองตลาดเอเชีย โดยการเดินทางจากไทยไปฮ่องกงสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วประมาณ 2 ชั่วโมง เหมือนรถติดในเมืองไทย 2 ชั่วโมงก็สามารถถึงฮ่องกงได้แล้ว”

<hr />

<a href="http://goo.gl/6fV29E">อ่านฉบับเต็ม "ทศวรรษใหม่ฮ่องกงดิสนีย์ เดินหน้ารุกตลาดเอเชีย" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ FEBRUARY 2016 ในรูปแบบ E-Magaizne</a>
<a href="http://goo.gl/6fV29E"><img class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/2016%2002%20-%20FEB/cover---feb.jpg" alt="" width="257" height="334" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events