<h2>สำนักข่าว Bloomberg เผยแพร่บทความระบุว่า เวียดนามกำลังกลายเป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน แทนที่ประเทศไทย หลังจากปีนี้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าเวียดนามแล้วกว่า 3.5 ล้านคน ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมพุ่งแตะเกือบ 14 ล้านคน ทำสถิติสูงสุดใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บทความของ Bloomberg อ้างอิงถึงการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวชาวจีน Hu Jia ที่ช่วงฤดูร้อนนี้ เธอเลือกจองทริปไปเวียดนาม 2 สัปดาห์แทนไทย ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นของชาวจีนต่อความปลอดภัยในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เวียดนามมีเสน่ห์เฉพาะตัว ฉันชอบสถานที่ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ถ้ามีโอกาสฉันอยากกลับมาอีก” Hu กล่าวพร้อมระบุว่าเธอและครอบครัวใช้เงินไปเกือบ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ กับทริปนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครอบครัวของ Hu เป็นส่วนหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน 3.5 ล้านคนที่ช่วยดันตัวเลขท่องเที่ยวเวียดนามให้ทำลายสถิติในปีนี้ และยังทำให้ไทยเสียตำแหน่งจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในภูมิภาคไปด้วย ความกังวลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกรณีลักพาตัวนักแสดงจีนเมื่อต้นปี ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดการมาไทยลง ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนหดตัวราว 35% ในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเติบโตของเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรายได้ราว 3.5 พันล้านเหรียญที่ไทยสูญเสียไป กำลังไหลไปยังเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขับเคลื่อนโดยนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่เดินทางอิสระและมองหาประสบการณ์ที่แท้จริงมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหม่ เวียดนามคือสิ่งสดใหม่ และยังคงความดั้งเดิมกว่า” Subramania Bhatt ซีอีโอ China Trading Desk กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปีนี้เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วเกือบ 14 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่มาเลเซียก็โต 35% ในครึ่งปีแรก ได้แรงหนุนจากนโยบายยกเว้นวีซ่าและค่าเงินริงกิตที่อ่อนค่า ส่งผลให้โรงแรมมีอัตราการเข้าพักสูงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รัฐบาลและบริษัทท่องเที่ยวเวียดนามยังเร่งดึงนักท่องเที่ยวจีน ด้วยการจัดเทศกาลร่มร่อน บอลลูน และปรับบริการในเมืองท่องเที่ยวอย่างดานังให้พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยมีทั้งป้ายภาษาจีน บุคลากรพูดภาษาจีน และแอปแปลภาษา โรงแรมและบริษัททัวร์หลายแห่งปรับจากการโฟกัสที่ทัวร์ราคาถูก สู่ตลาดบูติกที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวอิสระที่มีการศึกษาและพร้อมใช้จ่ายมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่น Hava Travel ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวจีนราว 2,000 คนในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 20% จากต้นปี และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อประสบการณ์เฉพาะตัว ขณะที่โรงแรม Mercure Nha Trang ผู้เข้าพักกว่าครึ่งก็มาจากจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มกระเป๋าหนักยังจับจ่ายมหาศาล ร้านอาหารหรูใกล้กาสิโนดานังห้องส่วนตัวมีห้องส่วนตัว ทั้งยังโดดเด่นด้วยเมนูอาหารทะเลสดและหม้อไฟสไตล์กวางตุ้ง โดยบิลต่อมื้อสูงกว่า 400 เหรียญ ซึ่งมากกว่ารายได้แรงงานเวียดนามทั้งเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยอดขายค้าปลีกจากการท่องเที่ยวเวียดนามปีนี้พุ่งขึ้น 51% และนักวิเคราะห์คาดว่าทั้งปี 2025 เวียดนามจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22.6 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่เวียดนามฉลอง ไทยกลับอยู่ในบรรยากาศตรงกันข้าม ความจุที่นั่งสายการบินจากจีนมาไทยลดลงกว่า 11% เหลือ 5.1 ล้านที่นั่งใน 8 เดือนแรก แม้จีนยังเป็นตลาดใหญ่ที่สุด แต่การลดลงทำให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้นหดตัว 7% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ารายได้โรงแรมจะลดลง 4.5% ในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหตุลักพาตัวนักแสดงจีน Wang Xing ที่ถูกหลอกมาประเทศไทยแล้วถูกส่งต่อไปเมียนมาโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยังคงทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดกลัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่เคยมาไทยยังกลัวอยู่มาก เราทำได้ไม่ดีในการสื่อสารว่ารัฐบาลได้ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเพิ่มความปลอดภัยแล้ว” เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ไทยยังเสียชื่อเสียงด้านความคุ้มค่า นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากบ่นในโซเชียลว่าราคาที่พัก อาหาร และแท็กซี่แพงขึ้นหลังโควิด ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเพื่อนบ้านมากขึ้น Photo by <a href="https://unsplash.com/@yitmeng_w?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Ivan Wong</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-bridge-that-has-people-walking-across-it-m3E0S4LoIuQ?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> ​ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-09-15/vietnam-surpasses-thailand-as-china-s-favorite-travel-spot?" alt="Vietnam Overtakes Thailand as Top Travel Destination for Chinese Tourists">Vietnam Overtakes Thailand as Top Travel Destination for Chinese Tourists</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/vietjet-thailand-plans-to-expand-the-fleet-to-50-aircrafts" alt="ปีนี้ ‘จีน’ ยังไม่กลับมา! เวียตเจ็ทขอโฟกัส ‘อินเดีย’ พร้อมเปิดแผนขยายฝูงบินสู่ 50 ลำ">ปีนี้ ‘จีน’ ยังไม่กลับมา! เวียตเจ็ทขอโฟกัส ‘อินเดีย’ พร้อมเปิดแผนขยายฝูงบินสู่ 50 ลำ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ท่องเที่ยวไทยปีนี้จะไหวไหม? หลัง ‘เวียดนาม’ แซงไทย กลายเป็นปลายทางยอดฮิตชาวจีน

‘กลุ่มเดอะมอลล์’ ฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน เปิดตัวพันธมิตร SCPG Group นำร่องส่งออกสินค้าวัฒนธรรมไทยไปจีน

<h2>หลังจากเกิดข่าวด้านลบกรณีนักแสดงชาวจีนหายตัวที่ชายแดนไทย-เมียนมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอาจส่งผลให้กลุ่มจีนเที่ยวไทยลดลงถึง 17.5% ในช่วงตรุษจีนปี 68 นี้ และภาพรวมทั้งปียังมีความท้าทายจาก 4 ประเด็น ‘ความปลอดภัย-กำลังซื้อจีนไม่ฟื้นตัว-การแข่งขันสูง-พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน’ แต่ยังคาดว่าปี 2568 นี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยรวม 7.5 ล้านคน เดิบโต 11.4% จากปี 2567 โดยมีสัดส่วน 68% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2562</h2> ย้อนรอย ‘จีนเที่ยวไทยลดลง’ หลังเกิดเหตุการณ์ด้านลบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต้นปีนี้กระแสข่าวในโซเชียลมีเดียของจีน คงหนีไม่พ้นกรณีนักแสดงจีนหายตัวที่ชายแดนไทย-เมียนมา หลังจากเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย แม้ว่าหลังจากนั้นทางการไทยจะประสานงานและพาตัวนักแสดงจีนกลับสู่ประเทศจีนได้ แต่ในสังคมจีนยังมีกระแสความกังวลถึงการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย แต่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อไทยแค่ไหน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ไว้ว่า จากกรณีนักแสดงจีนฯ ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบในระยะสั้น เบื้องต้นคาดว่านักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงตรุษจีนปี 2568 (28 ม.ค.-4 ก.พ. 2568) ที่จะลดลงเหลือ 175,000 คน ลดลง 17.5% เมื่อเทียบกับตรุษจีนปี 2567 (10-17 ก.พ. 67) ที่อยู่ราว 212,000 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเปิดเผยสถิติในอดีต ทั้งกรณีเรือล่มนักท่องเที่ยวจีนที่ภูเก็ต เมื่อ 5 ก.ค. 2561 พบว่าส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 12% ต่อเดือน ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนหลังจากนั้น ส่วนกรณีข่าวเหตุยิงที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงย่านสยามเมื่อ 3 ต.ค. 2566 พบว่าส่งผลกระทบประมาณ 1 เดือน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเฉลี่ย 13% ต่อสัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าข้อมูลในอดีตจะสะท้อนถึงผลกระทบในระยะสั้น แต่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงเช่นกัน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/chy9cDuD7Bb3MMmRJqz7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="chy9cDuD7Bb3MMmRJqz7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,338" style="" data-index="0"><figcaption><div>ที่มา&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย</div></figcaption></figure></div> นักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไป กับ 4 โจทย์ท้าทายที่ไทยต้องเผชิญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศไทยถือเป็น 1 ใน 5 จุดหมายปลายทางที่คนจีนเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ซึ่งถ้าย้อนไปดูช่วงก่อน COVID-19 อย่างปี 2562 ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนกว่า 11.1 ล้านคน และสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยวมากมาย แต่ปัจจุบันสถานการณ์ทั้งในไทย และจีนที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้การฟื้นตัวและการเติบโตของกลุ่มจีนเที่ยวไทย ไม่เหมือนเดิม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝั่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ามี 4 ความท้าทายที่อาจทำให้การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2568 อาจยากกว่าในอดีต ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ผลสำรวจพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนโดย Oliver Wyman มองว่าประเทศไทยซึ่งเป็นที่นิยมมายาวนาน กลับได้รับความนิยมลดลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมีความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนได้จากกรณีที่เกิดขึ้นกับดาราจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนจีนมีการยกเลิกการเดินทางมาเที่ยวในไทย หรือมองหาจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวใหม่ ดังนั้นไทยควรเร่งฟื้นความเชื่อมั่นในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงจากสงครามการค้า ทำให้กำลังซื้อชาวจีนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว ขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่ผันผวนในทิศทางอ่อนค่า ทำให้ในปี 2568 ทิศทางการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของคนจีนอาจยังไม่กลับสู่ระดับก่อน COVID-19 ปี 2562 (จำนวน 155 ล้านทริป) และคนจีนจะมีการเปรียบเทียบจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับงบประมาณ ซึ่งก็อาจมีผลต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ไทย โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศที่มีค่าเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวนมีอัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนดีกว่าไทยที่มีค่าเงินแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินหยวน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่สูง ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศใช้นโยบายวีซ่าฟรีเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน โดยข้อมูลจาก VisaIndex พบว่า มี 44 ประเทศที่คนจีนสามารถเดินทางไปเที่ยวโดยไม่ต้องขอวีซ่า และ 36 ประเทศที่สามารถขอวีซ่าได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางสะดวกและมีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น จากนโยบายเหล่านี้ทำให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนในหลายประเทศดีกว่าไทย จนในปี 2567 ประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสูงกว่าไทยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนไป เช่น ท่องเที่ยวด้วยตนเอง, กรุ๊ปทัวร์ขนาดเล็ก มองหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่างตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ผลจากนโยบายฟรีวีซ่าของไทยอาจทำให้ชาวจีนวางแผนก่อนเดินทางเพียง 1 เดือน ฯลฯ ซึ่งเมื่อมีความต้องการที่หลากหลายอาจทำให้การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนอาจยากขึ้น&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/RmYJ5v1byhYhsQdrcCdv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RmYJ5v1byhYhsQdrcCdv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,445" style="" data-index="1"></figure></div>​ คาดจีนเที่ยวไทยปี 68 แตะ 7.5 ล้านคน ยังโต 11.4% แต่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าปี 62&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะมีความท้าทายเพิ่มขึ้น แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคาดว่าปี 2568 นี้ นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยจะมีจำนวน 7.5 ล้านคน เติบโต 11.4% จากปี 2567 หรือกลับมา 68% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 2562 (11.1 ล้านคน) โดยการเติบโตนี้ยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการวีซ่าฟรี และค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวไทยไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ข้อมูลเบื้องต้นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วงวันที่ 1-19 ม.ค. 2568 ชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวมีจำนวนกว่า 3.5 แสนคน เติบโตประมาณ 14.2% (YoY)<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/YUgDeeHJx1aRTTkM6Kxz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YUgDeeHJx1aRTTkM6Kxz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,397" style="" data-index="2"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดท้ายนี้ นักท่องเที่ยวจีนยังคงเป็นส่วนสร้างรายได้สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งทางการยังต้องให้ความสำคัญทั้งด้านความปลอดภัย และการปรับปรุงภาพรวมการท่องเที่ยวไทยให้ดึงดูด กลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย ภาพ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@tricell1991?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Waranont (Joe)</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/people-walking-on-busy-street-s3E4flC32RE?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/btg-invest-eggriculture-singapore-jan-2025" alt="‘เบทาโกร’ รุกตลาดอาหารสิงคโปร์ เข้าซื้อกิจการ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่รายใหญ่ มูลค่า 1,900 ล้านบาท ปักธงเป็น Regional Player"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/bangkok-ranks-4th-among-top-5-destinations-for-chinese-national-day" alt="กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน">กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วิจัยกสิกรฯ ชี้ปี 68 จีนเที่ยวไทยช่วงตรุษจีนอาจลดลง 17.5% ผลนักแสดงจีนหายตัว แต่ทั้งปียังเติบโต 11.4%

<h2>อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว เผยการค้นหาที่พักในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 137% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงเทศกาลวันชาติจีนที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 1-7 ตุลาคม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการค้นหาที่พักของอโกด้า พบว่าจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนชื่นชอบในช่วงวันชาติจีนหรือโกลเด้นวีค ซึ่งเป็นวันหยุดยาวประจำปีมีการเปลี่ยนแปลง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรกในปีที่แล้วของนักท่องเที่ยวจีนคือ โตเกียว โซล โอซาก้า เกียวโต และกรุงเทพฯ ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม โซลได้ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในปีนี้ แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างโตเกียว ตามมาด้วยบาหลีที่ไม่เคยติดอันดับมาก่อน ส่วนกรุงเทพฯ และโอซาก้ายังคงอยู่ในกลุ่มจุดหมายปลายทางที่มีการค้นหามากที่สุด ครองอันดับ 4 และ 5 ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วันชาติจีนหรือโกลเด้นวีคตรงกับวันที่ 1-7 ตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวชาวจีนจะออกเดินทางท่องเที่ยวเนื่องจากมีวันหยุดยาวติดต่อกัน 1 สัปดาห์ โกลเด้นวีคจะมีขึ้นปีละ 2 ครั้ง ซึ่งจะตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันชาติจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5 อันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงโกลเด้นวีค อ้างอิงจากข้อมูลการค้นหาที่พักของอโกด้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.โซล, ประเทศเกาหลีใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.โตเกียว, ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.บาหลี, ประเทศอินโดนีเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.กรุงเทพ, ประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5.โอซาก้า, ประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอนดรูว์ สมิธ รองประธานอาวุโส ฝ่ายซัพพลายของอโกด้ากล่าวว่า การค้นหาที่พักในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงโกลเด้นวีคของนักท่องเที่ยวชาวจีน แสดงให้เห็นความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของชาวจีนในการออกไปค้นพบโลกกว้างและสัมผัสวัฒนธรรมอื่น ๆ เป็นเรื่องดีที่เห็นจุดหมายปลายทางใกล้ชายฝั่งตะวันออกของจีน อย่างโซลและโอซาก้าติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงวันชาติจีน รวมถึงสถานที่ยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนอย่างกรุงเทพฯ และบาหลีที่อยู่ทางใต้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทรนด์การท่องเที่ยวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการมีข้อเสนอที่ดสำหรับตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักเดินทางบนแพลตฟอร์มอโกด้าได้อย่างดีที่สุด Photo by <a href="https://unsplash.com/@axpphotography?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">AXP Photography</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-large-building-with-pointy-towers-with-wat-arun-in-the-background-6JdMEc1aVv4?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/thai-people-visit-japan-repeatedly-the-most" alt="ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด">ญี่ปุ่นทั้งใจ! อโกด้าเผยญี่ปุ่นคือจุดหมายปลายทางที่ ‘ชาวไทย‘ กลับไปเที่ยวซ้ำมากสุด</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน 2 ปีซ้อน! ติดอันดับ 4 ใน 5 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงวันชาติจีน

<h2>Fly-Food แพลตฟอร์มบริการส่งอาหารให้คนจีนในประเทศไทย ปรับกลยุทธ์ยกระดับความคุ้มค่า ตอบโจทย์ลูกค้าช่วงการแพร่ระบาด</h2>
<img class="alignnone wp-image-44286 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/fly-food_005.jpg" alt="Fly-Food" width="600" height="400" />

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด บริการดิจิทัลช่วยสร้างมูลค่าและประโยชน์ต่างๆ มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ภาคส่วนต่างๆ จึงรีบเร่งดำเนินการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก

ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 78 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคที่มีอายุ 21 ถึง 40 ปี เปิดเผยกับ Deloitte ว่าตนเองใช้บริการดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนในประเทศไทย ผู้บริโภค 58 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองสั่งซื้ออาหารผ่านบริการส่งอาหารเพิ่มมากขึ้น

ภายใต้เทรนด์ดังกล่าว เราเป็นหนึ่งในธุรกิจแพลตฟอร์มบริการส่งออกอาหารที่เติบโตท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด ด้วยการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและเทคโนโลยีในรูปแบบที่สร้างสรรค์

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 ข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับผู้บริโภคได้จุดประกายไอเดียธุรกิจให้เราเป็นแพลตฟอร์มส่งอาหารเพียงหนึ่งเดียวที่รวบรวมร้านอาหารจีนที่หลากหลายในประเทศไทย

ต้า เผิง ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม กล่าวว่า “ผมสังเกตว่านักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มที่จะเดินทางมายังประเทศไทยในช่วงวันหยุดยาว ในช่วงวันแรกๆ นักท่องเที่ยวมักจะเลือกลิ้มลองอาหารท้องถิ่นเพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แต่หลังจากนั้น ส่วนใหญ่ก็เริ่มมองหาอาหารจีนแท้ๆ ที่คุ้นเคยเพื่อความสบายใจ”

เนื่องจากมีชาวจีนจำนวนมากเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนอีกกว่า 10 ล้านคนต่อปีในปี 2562 เราจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยมีการขยายธุรกิจไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และระยอง และให้บริการแก่ชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในไทย และนักท่องเที่ยวจากจีนโดยเฉพาะ

<img class="alignnone wp-image-44285 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/fly-food_004.jpg" alt="Fly-Food" width="600" height="400" />

เปิดตัวมินิโปรมผ่านอาลีเพย์

ต้า เผิง บอกเล่าเกี่ยวกับมาตรการเบื้องต้นในการรับมือกับการแพร่ระบาด โดยกล่าวว่า “สถานการณ์แพร่ระบาดก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อลูกค้าของเรา โดยบางคนก็ตกงาน ขณะที่นักท่องเที่ยวบางส่วนไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ ส่งผลให้อำนาจในการใช้จ่ายลดลง เราจึงออกโปรโมชั่นพิเศษเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของเราในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเราได้ปรับใช้แนวทางด้านความปลอดภัยเพื่อปกป้องคนส่งอาหารและลูกค้าของเรา”

ขณะเดียวกัน Fly-Food ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการแก่ชาวจีนในไทย ด้วยการเปิดตัวมินิโปรแกรมบนอาลีเพย์ (Alipay) โดยคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทางที่ส่งผลให้ชาวจีนไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้โดยสะดวก และ “อาหารท้องถิ่นของจีน” น่าจะเป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาจิตใจให้ชาวจีนได้หายคิดถึงบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี

การดำเนินการที่รวดเร็วภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอบริการผ่านช่องทางที่ลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก ก่อให้เกิดผลดีอย่างเป็นรูปธรรม นับตั้งแต่ที่เปิดตัวมินิโปรแกรม Fly-Food บนอาลีเพย์เราฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงยอดสั่งซื้อจากลูกค้าประจำ ตอนนี้เรามียอดสั่งซื้อเฉลี่ยสูงถึง 700 รายการต่อวัน และมีร้านอาหารเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น โดย 40 เปอร์เซ็นต์ของร้านอาหารทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 1,500 ร้านเข้าร่วม หลังจากการแพร่ระบาด และหลายร้านที่มากกว่าครึ่งของยอดขายมาจากออเดอร์ที่สั่งผ่านแพลตฟอร์มของเรา

<img class="alignnone wp-image-44284 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/04/fly-food_003.jpg" alt="Fly-Food" width="600" height="400" />

ทั้งนี้เราเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแคมเปญที่อาลีเพย์จัดทำร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยภายใต้แคมเปญดังกล่าว มีการแจกคูปองดิจิทัลเพื่อกระตุ้นให้ชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในไทยอย่างปลอดภัย

ตามมาตรการการป้องกันของรัฐ ซึ่งนับเป็นการสร้างรายได้และต่อลมหายใจให้กับธุรกิจเล็กๆในท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการ โดยเรามียอดสั่งอาหารเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์ในช่วงที่จัดแคมเปญดังกล่าว

ต้า เผิง กล่าวเสริมว่า “ในโลกวิถีใหม่ ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่องของราคา ซึ่งนั่นหมายความว่า “ความคุ้มค่า” ยังคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ คูปองดิจิทัลที่ให้ลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มอาลีเพย์มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า

และเรายังพบว่าผู้ใช้อาลีเพย์มีความคุ้นเคยและเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือการตลาดเพื่อให้ได้รับความคุ้มค่าสูงสุดจากการใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราการเข้าร่วมของลูกค้าอยู่ในระดับที่ดี และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ขณะเดียวกัน สำหรับลูกค้าที่ไม่เคยรู้จักเรามาก่อน อาลีเพย์ก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับลูกค้าในการใช้คูปองดิจิทัลสำหรับบริการของเรา”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A-200-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html">เจ้าสัวซีพี ทุ่มงบ 200 ล้าน เสริมกำลัง รพ.สนาม</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Fly-Food แพลตฟอร์มส่งอาหารเจาะกลุ่มคนจีนในไทย

<h2>สายการบิน New Gen Airways ตั้งเป้าขยายเส้นทางการบินทั้งในและระหว่างประเทศมากกว่า 50 เส้นทาง ชูกลยุทธ์เมืองรองที่ประสบความสำเร็จจากตลาดจีน คาดปลายปีมีผู้โดยสารใช้บริการรวม 1.5 ล้านราย พร้อมตั้งเป้าเพิ่มอากาศยานปีละ 4 ลำ</h2>
New Gen Airways สายการบินน้องใหม่สัญชาติไทยเผยธันวาคมนี้ เปิดเส้นทางบินในประเทศ หลังจับมือภาครัฐ-เอกชน จ.นครราชสีมา เปิดเส้นทางบิน นครราชสีมา-เชียงใหม่ และ นครราชสีมา-ภูเก็ต รองรับผู้โดยสารจากภาคธุรกิจ ท่องเที่ยว คาดมีผู้ใช้บริการปีละ 2 แสนคน

“สาเหตุที่เลือกเปิดเส้นทางบินในประเทศแห่งแรกโดยใช้ท่าอากาศยานนครราชสีมา เป็นศูนย์กลางนั้น เนื่องจาก ความพร้อมหลายด้านของจังหวัด เนื่องจากเป็นหัวเมืองใหญ่เป็นประตูสู่ภาคอีสานเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีประชากรเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ และมี GDP สูงที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 2.9 แสนล้านบาท” เจริญพงษ์ ศรประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบิน New Gen Airways กล่าวและตั้งเป้าให้บริการเที่ยวบินใหม่ทั้ง 2 เส้นทางวันละหนึ่งเที่ยวบินและทำให้ผู้โดยสารเพิ่มขึ้นปีละ 2 แสนราย

เจริญพงษ์ เผยอีกว่า หลังจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทย สายการบินนิวเจนมีแผนที่จะขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ โดยจะทำการขยายเส้นทางการบินควบคู่กันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันสายการบิน New Gen Airways ประสบความสำเร็จในการให้บริการสายการบินระหว่างประเทศในเมืองรอง โดยเส้นทางระหว่างประเทศไทย-จีน เอง มีสัดส่วน 100 % ของรายได้หลักของบริษัท และเป็นการเดินทางท่องเที่ยวแบบเช่าเหมาลำเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยลงเครื่องที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา

สำหรับเส้นทางการบินระหว่างจีนเรามี กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ภูเก็ต และกระบี่ เป็นฐานการบิน ส่วนสนามบินสำหรับประเทศเช่าเหมาลำ เราให้บริการที่ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา สัตหีบ และ สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นการบินตรงไปยัง 26 หัวเมืองประเทศจีน อาทิ กุ้ยหลิง หนานหนิง  หางโจว เป็นต้น โดยปัจจุบันสายการบิน New Gen Airways ให้บริการ 40 เส้นทาง และมีสัดส่วนทางการตลาดราว 7-8 % ในประเทศจีน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวจีนมีความต้องการเดินทางเข้าประเทศราว 10 ล้านคนต่อปี ซึ่งตัวเลขปีที่ผ่านมา New Gen ให้บริการนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ราวประมาณ 8 แสนคน

“นิวเจนเน้นการให้บริการที่เมืองรองซึ่งไม่ใช่ 5 เมืองหลักอย่าง เซี้ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว เฉิ่งตู เสิ้นเจิ้น และจากการเปิดการบินตรงสู่ไทยจากเมืองรองทำให้เราได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มทัวร์ เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากเมืองรองมีข้อจำกัดด้านภาษาจึงจำเป็นต้องเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย” เจริญพงษ์ ศรประสิทธิ์ กล่าว และเสริมอีกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางและมีการใช้จ่ายสูง

<img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3d3a198587707781fb5109513cd7f80e.png" alt="" />

สำหรับแผนที่การเปิดให้บริการเส้นทางการบินภายในปี 2561 เจริญพงษ์ตั้งเป้าเปิดอีก 3 ประเทศ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และอินเดีย สำหรับเกาหลีและไต้หวัน เราเปิด 1 เส้นทาง ส่วนอินเดียมองไว้ 3 เส้นทาง สำหรับความคืบหน้าของเส้นทางกรุงเทพฯ-เมียนม่า มีกำหนดการเปิดราวต้นเดือนหน้า โดยเป็นเส้นทางบินไปยังเมืองมะริดแบบเช่าเหมาลำก่อนปรับเป็นเส้นทางบินประจำในเวลาต่อมา ส่วนประเทศจีนตั้งเป้าเพิ่มเมืองเพิ่ม 5 เส้นทาง
ทั้งนี้หลังจากที่สายการบินนิวเจนเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ตามแผนจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ประมาณ 5 แสนราย โดยคาดการณ์สิ้นปี 2560 มีจำนวนผู้โดยสาร 1.5 ล้านราย สำหรับเป้าหมายปีหน้าตั้งเป้าผู้โดยสารมากกว่า 2 ล้านคน โตตามสัดส่วนของเส้นทางบินและอากาศยานที่เพิ่มขึ้น

“หลังจากเปิดเส้นทางบินในประเทศอื่นๆ สัดส่วนของผู้โดยสารชาวจีนอยู่ที่ราว 70 % โดยคาดการณ์ผู้โดยสารภายในประเทศจะอยู่ในลำดับที่สองราว 2 แสนคน”

สำหรับรายได้รวมครึ่งปีแรกของ New Gen Airways มีรายได้รวม 3.3 พันล้านบาท โดยปลายปี เจริญพงษ์ เผยตัวเลขรายได้อยู่ที่ราว 7-8 พันล้านบาท โดยปีหน้าหมายมั่นรายได้แตะหมื่นล้านบาท ขณะที่การลงทุนอากาศตั้งเป้าปีละ 4 ลำ เข้ามาสมทบจากอากาศยาน 12 ลำ เดิม คือ Boeing 737-400 จำนวน 4 ลำ และ Boeing  737-800 จำนวน 8 ลำ โดยอากาศยานที่ New Gen Airways นำเข้ามาสมทบจะเป็น Boing 737-400 ทั้งหมดโดยมีอายุการใช้งานราว 10-12 ปี โดยเครื่องที่ลำเข้ามาในลักษณะเช่าจากบริษัทให้เช่าอากาศยานอาทิ AER Cap โดยมีราคาราว 100 ล้านบาทต่อลำ

“สำหรับนโยบายการเปิดเส้นทางบินของสายการบินนิวเจนนั้น เราจะเน้นเส้นทางบินที่ยังไม่มีการเปิดให้บริการหรือมีการเปิดให้บริการที่ยังน้อย เช่นปัจจุบันที่เราประสบความสำเร็จในการบินไทย-จีน ก็เป็นการบินในเส้นทางที่บินไปเมืองรอง ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้โดยสารที่ไม่ต้องการเดินทางไปขึ้นเครื่องบินในเมืองใหญ่” เจริญพงษ์ ศรประสิทธิ์ ทิ้งท้าย

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events