<span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> คือ แบรนด์น้ำส้มเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี ก่อกำเนิดขึ้นโดย <span style="color:#008080;"><strong>Frank W. Bireley</strong></span> จนปี 1939 เขาส่งออกน้ำส้ม <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> ไปทั่วโลก แล้วต่อมาขายกิจการให้ <span style="color:#daa520;"><strong>General Foods</strong></span> บริษัทซึ่งขายสิทธิผลิต <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> ให้แก่ <span style="color:#daa520;"><strong>Asahi</strong></span> ผู้ผลิตเบียร์และน้ำหวานรายใหญ่ของญี่ปุ่นในปี 1951<br />
<br />
แม้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า <strong>Bireley&rsquo;s</strong> เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไร แต่คนไทยอายุ 30 ปีขึ้นไป ย่อมรู้จักน้ำหวานบรรจุขวดไม่อัดแก๊สยี่ห้อนี้กันทุกคน แต่ความนิยมเริ่มเสื่อมลงในทศวรรษที่ 1980 จนในที่สุด <span style="color:#daa520;"><strong>บมจ. อิชิตัน</strong></span> แจ้งตลาดหลักทรัพย์เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ว่าใช้เงินเกือบ 1.8 พันล้านบาท เข้าซื้อ <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> จาก <strong><span style="color:#daa520;">บริษัท Sunny Herb International Beverage จำกัด</span></strong> และกิจการที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์บนการรายงานข่าวว่าเป็นการลงทุนที่มีราคาแพงมากกับแบรนด์น้ำส้มที่เสื่อมความนิยม <span style="color:#008080;"><strong>ตัน ภาสกรนที</strong></span> ชี้แจงกับ <span style="color:#daa520;"><strong>Forbes Thailand</strong></span> ว่า <span style="color:#ff0000;">&ldquo;ซื้อไบเล่ถูกมากเลย&rdquo;</span> ถูกกว่าค่าใช้จ่ายที่เขาหมดไปกับการสร้างแบรนด์น้ำส้ม <strong>&ldquo;เซกิ&rdquo;</strong> สมัยยังอยู่ โออิชิ ที่ใช้ไปราว 300 ล้านบาท เพราะเงิน 240 ล้านบาท คือสิทธิในสูตรน้ำส้ม น้ำองุ่น น้ำมะนาว สิทธิในเครื่องหมายการค้าใน 16 ประเทศตลอดชีพ เฉพาะสิทธิในไทยมีมูลค่า 80 ล้านบาท<br />
<br />
<span style="color:#ff0000;">&ldquo;ผมยังจำชื่อน้ำส้มผมไม่ได้เลย&rdquo;</span> เขากล่าวติดตลก และเสริมว่า เหตุแห่งความล้มเหลวมาจากวัตถุดิบที่สั่งซื้อจากประเทศจีนซึ่งเมื่อมาถึงโรงงานผลิตกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง นำไปสู่จุดจบของธุรกิจน้ำส้มครั้งนั้นตั้งแต่วางขายผลิตภัณฑ์ครั้งแรก เป็นบทเรียนที่ฝังลึกในการทำธุรกิจเครื่องดื่มว่าผลิตภัณฑ์และแบรนด์เป็นปัจจัยที่ทรงคุณค่า <span style="color:#ff0000;">&ldquo;จีนมีทุกอย่างยกเว้นความซื่อสัตย์&rdquo;</span> &nbsp;<br />
<br />
เมื่อตัดสินใจวางเดิมพันครั้งใหม่กับน้ำส้มที่มีตำนานเกือบ 100 ปี ให้จับจองพื้นที่ในตลาดน้ำผลไม้ของไทย ตันจึงปรับภาพลักษณ์ <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> ให้ร่วมสมัยขึ้น และยังมีแนวทางนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ฉีกจากกรอบเดิมของร่มเงาอิชิตัน โดยไม่มีตัวเขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ดังเช่นสินค้าอื่นในเครือ<br />
<br />
<span style="color:#ff0000;">&ldquo;คุณตันไม่เท่ากับน้ำผลไม้ แต่ไบเล่เท่ากับน้ำส้มบวกน้ำผลไม้...ผมไม่เป็นพรีเซ็นเตอร์ของไบเล่แน่นอน เพราะสิ่งที่ไบเล่ต้องการคือความทันสมัยขึ้น&rdquo;</span><br />
<br />
ตันเสริมว่ากว่า 50% ของตลาดน้ำผลไม้คือน้ำส้ม อีกทั้งแบรนด์ Bireley&rsquo;s ยังเป็นที่รู้จักของคนกลุ่มใหญ่ในตลาดไทย <span style="color:#ff0000;">&ldquo;ป้ายโฆษณาเก่าของไบเล่ที่วางขายให้นักสะสมซื้อเก็บเยอะกว่าอิชิตันอีก ประวัติศาสตร์ใช้เงินซื้อไม่ได้นะครับ ต้องอาศัยเวลา&rdquo;</span> เสียงสะท้อนถึงความมั่นใจใน Bireley&rsquo;s<br />
<br />
<span style="color:#ff0000;">&ldquo;คนไทยเกิดอาการอยากกินไบเล่เมื่อมาอยู่กับผม&rdquo;</span> ตันถ่ายทอดถึงโอกาสเติบโตของ Bireley&rsquo;s พร้อมกับย้ำว่าแต่จะไปได้ไกลเพียงใดก็ต้องมีกลยุทธ์การตลาดมาสนับสนุน<br />
&nbsp;<br />
ตันมั่นใจว่า <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> มีโอกาสถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในไม่เกิน 2 ปีแรกสำหรับตลาดในเมืองไทย ส่วนที่เหลืออีก 15 ประเทศ ถ้าตลาดใดทำเองแล้วไม่รุ่งก็อาจเลือกขายแบรนด์เพื่อทำกำไร หรืออาจขายสิทธิในการทำแบรนด์ <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็คืนทุนได้เช่นกัน<br />
&nbsp;<br />
จากแผนการตลาดในปี 2557 ตันวางแผนทำตลาดน้ำผลไม้ให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ทั้งน้ำผลไม้แท้ 100% น้ำผลไม้ระดับกลาง 40% ซูเปอร์อีโคโนมีและอีโคโนมี 10% ภายใน 3 ปี โดยตันประเดิมตลาด <strong>&ldquo;ซูเปอร์อีโคโนมี&rdquo;</strong> และ <strong>&ldquo;อีโคโน&rdquo;</strong> ด้วยการดัน <span style="color:#daa520;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> เข้าชิงส่วนแบ่งตลาด 2 ตลาดนี้ พร้อมทั้งปรับโฉมภาพลักษณ์ใหม่ให้ไบเล่เป็นน้ำผลไม้ไม่อัดลม เปลี่ยนจากขวดแก้วเป็นขวดเพ็ตเพื่อให้มีความทันสมัย โดยเริ่มต้นจำหน่ายการจำหน่ายในประเทศไทย และจะส่งออกและวางจำหน่ายใน 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ลาว พม่า กัมพูชา &nbsp;<br />
<br />
<span style="color:#ff0000;">&ldquo;การเปิดตัวไบเล่ในครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้สิ้นปีราว 600 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่ง 10-15% และเมื่อสู่ปีที่ 2 หวังมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ไบเล่มีรายได้ไม่ถึง 100 ล้านบาท ส่วนเป้าหมาย 3 ปีขึ้นเป็นท็อปไฟว์ในตลาดน้ำผลไม้&rdquo;</span> <span style="color:#008080;"><strong>ตัน ภาสกรนที</strong></span> กล่าว<br />
<br />
<em>เรียบเรียงใหม่จาก "&ldquo;ตัน ไบเล่&rdquo; เดิมพันครั้งใหม่กับน้ำส้มในตำนาน" เรื่อง: ชญานิจญ์ ดาศรี และ นพพร วงศ์อนันต์ </em><br />
<br />
<strong>LEADERBOARD: ราคาค่า "Bireley&#39;s"</strong><br />
<a href="http://www.forbesthailand.com/leader_inside.php?leaderboard_id=14"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="320" src="/uploads/userfiles/images/leaderboard-bireley-2.jpg" width="588" /></a><br />
<br />
<hr />
<a href="http://goo.gl/Sl3N4b"><span style="color:#daa520;"><strong>อ่านฉบับเต็ม </strong></span><span style="color:#ff0000;"><strong>&ldquo;ตัน ไบเล่&rdquo; เดิมพันครั้งใหม่กับน้ำส้มในตำนาน"</strong></span><span style="color:#daa520;"><strong> จาก Forbes Thailand ฉบับ Augest 2014</strong></span></a>

“ตัน ไบเล่” เดิมพันครั้งใหม่กับน้ำส้มในตำนาน

การเข้าซื้อ Bireley's ของ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป มูลค่าเกือบ 1.8 พันล้านบาท จาก บริษัท Sunny Herb International Beverage จำกัด ครั้งนี้ จะเข้ามาเสริมทัพตลาดน้ำผลไม้ให้กับ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป ได้แค่ไหนต้องติดตาม

ราคาค่า Bireley's

<div>
	<strong><span style="color:#b22222;">"อิชิตัน กรุ๊ป" </span></strong>เจ้าของเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มแบรนด์อิชิตัน กำลังเดินหน้าขยายธุรกิจเครื่องดื่มไปได้สวย โดยเฉพาะเครื่องดื่มน้ำผลไม้ Bireley&rsquo;s ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง แต่อาจจะช้ากว่ากำหนดการเดิมไปเล็กน้อยจากแผนเดิมที่จะออกในช่วงไตรสุดท้ายเลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าอย่างช้าสุด ย้ำยังมีรายละเอียดเยอะที่ต้องดูแลจำหน่าย ขณะการขยายการลงทุนไปในอินโดนีเซีย คาดจะโกยรายได้ถึง 1 หมื่นล้านใน 5 ปี ก่อนที่จะมองหาประเทศต่อไปขยายเครือข่าย&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="color:#b22222;"><strong>ตัน ภาสกรนที</strong></span> ประธานกรรมการและ CEO บมจ. <strong><span style="color:#b22222;">อิชิตัน กรุ๊ป</span></strong> กล่าวกับ Forbes Thailand ว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะรีแบรนด์ <span style="color:#b22222;"><strong>Bireley&rsquo;s</strong></span> ที่มีอายุเกือบร้อยปีให้มีความทันสมัยและคลาสสิกในเวลาเดียวกัน บริษัทให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกอย่างเพื่อให้สินค้าออกมาดี ดังนั้น บริษัทจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบออกสู่ตลาดถ้าสินค้ายังไม่พร้อม นอกจากแล้ว เนื่องด้วยบริษัทเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตลอดชีวิต บริษัทจึงอยากจะให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดังกล่าวออกมาดูดีและยั่งยืนในสายตาผู้บริโภคในระยะยาวมากกว่า</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&ldquo;เราทำ mould (สำหรับ Bireley&rsquo;s) มากกว่า 200 แต่ยังไม่ถูกใจ พวกเราต้องแก้แบบตลอด&rdquo; ตันกล่าวและเสริมว่า ปัจจุบันได้จ้างบริษัทโฆษณาเพื่อรีแบรนด์ให้สินค้าตัวนี้เป็นที่เรียบร้อย &nbsp;&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์ CIMB ระบุไว้ในรายงานสำหรับลูกค้า เมื่อกลางมิถุนายนว่า ผู้บริหารอิชิตันได้แจ้งแก่นักวิเคราะห์ของบริษัท และผู้จัดการกองทุนว่า ทางอิชิตัน เตรียมออกผลิตภัณฑ์ Bireley&rsquo;s ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายสำหรับในไตรมาสนี้ ที่ 200 ล้านบาท และ 1 พันล้านบาท ในปี 2558&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ด้านการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัทท้องถิ่นที่ชื่อ <span style="color:#b22222;"><strong>PT Atri Pasifik </strong></span>ในอัตราส่วน 50:50 มีทุนจดทะเบียน 1.18 พันล้านบาท ตั้งบริษัท Ichitan Indonesia ขึ้นมา ตันบอกว่า การร่วมทุนนี้ทำให้การเข้าตลาดอินโดนีเซียนั้นง่ายขึ้นเพราะผู้ร่วมทุนมีระบบการจัดจำหน่ายที่แข็งแรงและกว้างขวาง โดยเป็นเจ้าของร้านค้าสมัยใหม่กว่า 10,000 สาขา โดยเฉพาะร้านค้าสะดวกซื้อ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&ldquo;ไปต่างประเทศ ระบบการจัดจำหน่ายเป็นเรื่องสำคัญมาก ปกติถ้าเราไปต้องไปลงทุนมากกว่าหมื่นล้านบาท แต่สำหรับตลาดอินโดนีเซีย เราให้เขามาเป็นผู้ร่วมทุนถือหุ้น 50% มันทำให้การทำงานง่ายขึ้น&rdquo; เขากล่าว &nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ช่วงแรกบริษัทจะนำสินค้าบางส่วนจากเมืองไทยเข้าไปจำหน่ายและจ้างผลิตที่นั่นในเวลาเดียวกัน โดยเน้นขายชาเขียวและชาดำก่อน จากนั้นจะมีการสร้างโรงงานผลิตที่นั่นหลังที่ธุรกิจลงตัวและเห็นอนาคต ตลาดชาพร้อมดื่มของประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้มีศักยภาพมาก เนื่องจากเป็นประเทศดื่มชาและยังมีประชากรมากถึง 250 ล้านคน มูลค่าของชาพร้อมดื่มที่นั่นราว 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าเมืองไทยกว่า 4 เท่า</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ตันบอกว่า ที่นั่นยังมีโอกาสอีกมาก แต่บริษัทต้องปรับรสชาติของชาให้เข้ากับรสนิยมคนท้องถิ่น เขาบอกว่า ชาวอิเหนาดื่มชาหวานคล้ายกับคนไทย แต่ชาของเขาจะมี &ldquo;กลิ่นหอม&rdquo; มากกว่า สำหรับประเทศเป้าหมายต่อไป ตันปฏิเสธที่จะพูดถึง แต่กล่าวว่า เขาให้ความสำคัญกับตลาดอินโดเนีซียมากที่สุด ณ เวลานี้ เหมือนชื่อบริษัท &ldquo;อิชิ&rdquo; ที่แปลว่าหนึ่งเดียว นั่นหมายถึงทำหนึ่งเดียวตลาดนี้ก่อน รวมไปถึง &ldquo;commitment&rdquo; ไว้กับกับผู้ร่วมทุนอีกด้วย ถ้าตลาดนี้มีตัวเลขเป็น &ldquo;บวก&rdquo; ให้เห็น &nbsp;เขาบอกว่าก็จะเริ่มลุยประเทศต่อไปทันที หลังจากทีเริ่มต้นเดินเครื่องในเมืองอิเหนาในไตรมาสแรกปีหน้า</div>

"ตัน" เลื่อนวาง Bireley’s ไปต้นปี  สั่งรีแบรนด์ “ทันสมัย แต่คลาสสิก”

<div>
	"อิชิตัน" รายงานตลาดฯ จับมือบริษัทอินโดฯ ลงขั้นครึ่งต่อครึ่งรวมมูลค่า 2,000 พันล้านบาท สร้างตลาดชาเขียวให้กระหึ่มอินโดนีเซีย<br />
	<br />
	<br />
	<span style="color:#b22222;">ตัน ภาสกรนที </span>ประธานและซีอีโอ บมจ.<a href="http://www.ichitangroup.com/">อิชิตันกรุ๊ป</a> เปิดเผยใน<span style="color:#b22222;"> <a href="http://www.forbesthailand.com/cover_inside.php?cover_id=15">Forbes Thailand</a></span><a href="http://www.forbesthailand.com/cover_inside.php?cover_id=15"> ฉบับ <span style="color:#b22222;">AUGUST 2014</span></a> ถึงการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ของตนไปยังตลาดอาเซียน โดยยังไม่ยอมระบุประเทศว่า เมื่อประเทศในอาเซียนรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ก็เปรียบเสมือนหนึ่้งประเทศที่มีประชาการมากกว่า 600 ล้านคน ประเทศไทยจะเป็นเพียงหนึ่งจังหวัดในประเทศใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสและวิกฤติ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	"ในตลาด AEC ทุกอย่างสร้างได้ เราสร้าง (แบรนด์) ที่นี่ได้ ก็สร้างที่นั่นได้ แต่สร้างที่นี่ใช้เงินน้อยกว่า... เราแข็งแรงแล้ว พอมีเงินที่จะไป... จุดแข็งและจุดอ่อนเป็นจุดเดียวกัน เขา (คู่แข่ง) มีจุดแข็ง เขาก็มีจุดอ่อน มันมีโอกาสในวิกฤติและมีวิกฤติในโอกาสในเวลาเดียวกัน"</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	อย่างไรก็ตาม เขากล่าวถึงตลาดใหม่เพียงว่า ต้องเป็นประเทศที่มีประชากรมาก มีอากาศร้อน เหมาะกับธุรกิจเครื่องดื่มที่ต้องการปริมาณการจำหน่ายสูง ซึ่้งไม่ใช่ประเทศลาวที่มีประชากรเพียง 7 ล้านคน</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ล่าสุด 26 สิงหาคม 2557 &nbsp;บมจ.<span style="color:#b22222;">อิชิตัน</span> จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติในวันเดียวกันให้เข้าลงทุนในกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย ร่วมกับบริษัท<span style="color:#b22222;"> PT Atri Pasifik </span>(AP) บริษัทจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มแบรนด์ &ldquo;อิชิตัน&rdquo; ในประเทศอินโดนีเซีย</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	โดยอิชิตันและ AP ถือหุ้นในสัดส่วน 50/50 &nbsp;คิดเป็นมูลค่าร่วมทุนส่วนทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 200,000 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 592 ล้านบาท) รวมมูลค่าร่วมทุนส่วนทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 400,000 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 1,184.0 ล้านบาท)</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นอกจากนี้ยังได้อนุมัติเงินกู้ยืมในอนาคตให้กิจการร่วมค้าดังกล่าว ตามสัดส่วนการถือหุ้นในส่วนของบริษัท 141,250 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 418.1 ล้านบาท) จากประมาณการจำนวนเงินให้กู้ยืมในอนาคตเบื้องต้นทั้งหมด 282,500 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 836.2 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม เงินให้กู้ยืมจำนวนนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อยอดขายสินค้าเป็นไปตามสัญญาที่ระบุ และทางบริษัทจะต้องเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมมูลค่าโครงการ JV ทั้งสิ้น 682,500 ล้านรูเปียอินโดนีเซีย (ประมาณ 2,020.2 ล้านบาท)</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก<span style="color:#b22222;"> CIMB </span>เคยให้ความเห็นว่า อิชิตันส่งออกต่างประเทศเพียง 1% เท่านั้น เพราะปริมาณการผลิตเพียงพอสำหรับตลาดในประเทศเท่านั้น แต่หากโรงงานแห่งที่ 2 เสร็จสิ้นในปี 2557 จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 67% เป็นปีละ 1,000 ล้านขวด หรือ 200 ล้านกล่อง จะทำให้มีสินค้าเพียงพอสำหรับต่างประเทศ</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการ บมจ.อิชิตันวันเดียวกัน ยังได้อนุมัติให้ลงทุนในระบบติดตั้งภายใน เครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานเฟส 2 ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา รวมมูลทั้งสิ้น 750 ล้านบาท<br />
	<br />
	<div>
		ในรายงานยังระบุอีกว่า ผู้บริหารอิชิตันเล็งเห็นถึงศักยภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนครั้งนี้ โดยจะช่วยขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีมูลค่าการเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่มเฉลี่ย 15% ต่อปี ขณะที่มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในอัตราที่สูงกว่าโดยเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี&nbsp;</div>
	<div>
		&nbsp;</div>
	<div>
		บริษัทมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือผู้ที่ชอบดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ และผู้ที่ต้องการความสดชื่นมุ่งเน้นกลุ่มผู้บริโภคทุกวัย กลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงาน กลุ่มไลฟ์สไตล์ทันสมัย และกลุ่มรักสุขภาพ &nbsp;ซึ่งบริษัท AP พันธมิตรทางธุรกิจสัญชาติอินโดนีเซียมีเครือข่ายของช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน Modern Trade ประเภทร้านสะดวกซื้อ (Convenient Store) ครอบคลุมทั่วประเทศอินโดนีเซีย สามารถช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดและส่งเสริมแผนการขายได้เป็นอย่างดี<br />
		<br />
		<div>
			ด้านตัน ภาสกรนที เปิดเผยล่าสุดว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการขยายธุรกิจชาพร้อมดื่ม ด้วยประชากรกว่า 250 ล้านคน และนับถือศาสนาอิสลาม 87% ซึ่งนิยมดื่มชาก่อนมื้อแรกของการรับประทานอาหารในช่วงเทศกาลรอมฎอน มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศนี้ประมาณ 73,000 ล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดน้ำอัดลม 2 เท่า</div>
		<div>
			&nbsp;</div>
		<div>
			ทั้งนี้ อิชิตันได้กำหนดแผนวางจำหน่ายในตลาดอินโดนีเซียภายในไตรมาสแรกของปี 2558 คาดว่าจะมีสินค้าอย่างน้อย 2 รสชาติ &nbsp;คาดว่าจะมีสินค้าวางจำหน่ายอย่างน้อย 2 รสชาติในช่วงแรก จากการว่าจ้างผลิตในอินโดนีเซียและโรงงานของอิชิตันกรุ๊ป โดยตั้งเป้ายอดขายปีแรก 1 พันล้านบาท และในอีก 5 ปี เพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท ทำให้รายได้รวมของอิชิตันกรุ๊ป 5 ปีข้างหน้าเป็น 25,000 ล้านบาท จากตลาดในประเทศ 65% &nbsp;ตลาดต่างประเทศ 35% &nbsp;และหากสามารถทำยอดขายถึง 1,000 ล้านบาทเมื่อใด ก็จะเริ่มก่อสร้างโรงงานและติดตั้งสายการผลิตแห่งแรกในอินโดนีเซียทันที</div>
		<div>
			&nbsp;</div>
		<div>
			<strong>&ldquo;ในอินโดนีเซียยังไม่มีรายใด หรือแบรนด์ใดป็นเจ้าตลาดชัดเจน แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเหมือนไทยก็ตาม ขณะที่แนวโน้มขวดเพ็ทในอินโดนีเซียเริ่มมาแรง โดยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนจากขวดแก้วที่มีกว่า 75% ในตลาดแบบเดิมมาเป็นขวดเพ็ท&rdquo;</strong></div>
	</div>
</div>
<div>
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events