<h2>ข่าวคราวการ IPO ของร้านชาจีน CHAGEE ในตลาดหุ้น Nasdaq เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สร้างความน่าสนใจไม่น้อย หลังระดมทุนได้มหาศาลท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่งผลให้เจ้าของวัย 30 ปีขึ้นแท่นมหาเศรษฐี และภายใต้กว่า 6,000 สาขาที่บริษัทมีอยู่ แบรนด์ชารายนี้กำลังกลับมาเปิดอย่างเป็นทางการในไทยอีกครั้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชื่อของ Zhang Junjie กลายเป็นชื่อที่ถูกจับตามองอย่างมากในวงการธุรกิจระดับโลก หลังแบรนด์ชา CHAGEE ที่เขาก่อตั้ง สามารถระดมทุนมหาศาลจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมขึ้นแท่นมหาเศรษฐีด้วยทรัพย์สินกว่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเพียงอย่างเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Zhang Junjie ไม่ใช่ผู้บริหารที่มีพื้นฐานจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง หากแต่เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจจากการฝึกงานในร้านชาไข่มุก และสั่งสมประสบการณ์จากการทำงานกับสตาร์ทอัปในเซี่ยงไฮ้ ก่อนจะกลับไปยังบ้านเกิดที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และเริ่มก่อตั้งแบรนด์ CHAGEE ในปี 2017&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยูนนานเป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี มีพรมแดนติดกับเมียนมา ลาว และเวียดนาม ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับ CHAGEE ที่เน้นฟื้นฟูและต่อยอดวัฒนธรรมการดื่มชาจีนโบราณให้ทันสมัยผ่านเทคโนโลยีและการออกแบบร้านแนวคาเฟ่ร่วมสมัย ชาพรีเมียมในสไตล์ “Tea Bar”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;CHAGEE แตกต่างจากกระแสชาไข่มุกทั่วไป ด้วยการเน้นชาพรีเมียมเพื่อสุขภาพ ใช้ใบชาจีนโบราณอย่างชาอู่หลง ชาเขียว และชาดำ ผสมกับนมคุณภาพดีในราคาย่อมเยา เฉลี่ยเพียง 2 เหรียญสหรัฐต่อแก้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้านสาขาของ CHAGEE ได้แรงบันดาลใจจาก Starbucks ผสมผสานการออกแบบแบบมินิมอลกับวัฒนธรรมจีน เช่น ร้านแฟล็กชิปในเซี่ยงไฮ้ที่ตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมสไตล์ราชวงศ์ถัง มีหน้าต่างเปิดขึ้นด้านบน พื้นที่สีเขียว และเมนูพิเศษอย่าง “Teaspresso” ที่ออกแบบเพื่อสะท้อนเส้นทางชาม้าโบราณของจีน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/1LVwhGr55UD3mwskz4oQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1LVwhGr55UD3mwskz4oQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>ร้าน CHAGEE ในไทย</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การระดมทุนของ CHAGEE ถือเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทผู้บริโภคจากจีนในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ RLX Technology ในปี 2021 โดยสามารถขาย American Depositary Shares ได้ถึง 14.7 ล้านหุ้น ที่ราคาเปิดตัว 33.75 เหรียญ (สูงกว่าราคา IPO ที่ 28 เหรียญถึง 21%) ทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดรวมถึง 6.2 พันล้านเหรียญ และระดมทุนได้ 411 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจดทะเบียนใน Nasdaq แทนที่จะเป็นตลาดหุ้นฮ่องกง สะท้อนถึงความพยายามของ CHAGEE ในการยกระดับแบรนด์ให้ทัดเทียมกับ Starbucks ท่ามกลางภาวะสงครามการค้าและความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน CHAGEE มี สาขามากกว่า 6,400 แห่งทั่วโลก โดยส่วนใหญ่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ และเริ่มขยายไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้ว แต่ Zhang ยังถืออำนาจโหวตถึง 89% ผ่านโครงสร้างหุ้นแบบสองระดับ ทำให้เขายังคงควบคุมทิศทางบริษัทอย่างเหนียวแน่น ขณะที่บริษัททำรายได้รวมในปี 2024 ถึง 4.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และดูเหมือนว่าอนาคตของ CHAGEE ยังดูมีแนวโน้มที่สดใส ตามข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนของบริษัท ตลาดเครื่องดื่มชาในจีนมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 4.26 แสนล้านหยวนในปี 2028 จาก 2.73 แสนล้านหยวนในปี 2024 โดยเฉพาะตลาดชาพรีเมียมที่มีการเติบโตจาก 11% เป็น 26% ของตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คัมแบ็กตลาดไทยอีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม 2022 CHAGEE ได้เปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมกิมมิกการขายที่ไม่มีที่ไหนในไทยมีมาก่อน คือลุ้นของรางวัลที่อยู่ด้านล่างแก้ว ก่อนจะเงียบหายไปจากตลาด​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/4jvtmii6ZQbmPq7J64si.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4jvtmii6ZQbmPq7J64si.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา CHAGEE กลับมาเปิดในไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยให้บริการแล้ว 3 สาขาใจกลางเมือง ได้แก่ พาร์ค สีลม (Park Silom), เอ็กซ์เชนจ์ ทาวเวอร์ (Exchange Tower) และ วานิช วิลเลจ (Vanit Village) พร้อมตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 2 สาขา สิ้นสุดปีนี้จะมี CHAGEE 5 สาขานั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณ ครั้งแรกที่เข้ามาในเมืองไทย ร้าน CHAGEE เป็นเพียงป๊อปอัปสโตร์กลางห้างเท่านั้น แต่การกลับมาครั้งนี้เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยร้านมาในคอนเซ็ปต์ Tea Bar ที่ถูกออกแบบให้เป็น “บ้านหลังที่สาม” ดีไซน์พื้นที่ให้สงบ น่านั่ง และชวนผ่อนคลาย ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับชาอย่างไม่ต้องเร่งรีบ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/VZXgrNXnFzYSB9BChAe2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VZXgrNXnFzYSB9BChAe2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การกลับมาของ CHAGEE ครั้งนี้ ยังมาพร้อมเมนูซิกเนเจอร์ใหม่ๆ ที่สายชาไม่ควรพลาด โดยเฉพาะ “Teaspresso Series” ที่นำเทคนิคการทำเอสเพรสโซ่มาใช้กับชา ไม่ว่าจะเป็นแรงดัน อุณหภูมิ หรือเวลาในการสกัด ทุกแก้วจึงได้รสชาที่เข้มข้น ลึก และกลมกล่อม เมนูนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำในไทยมาก่อน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/d1ycwcgEQZxEy2roDQgw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="d1ycwcgEQZxEy2roDQgw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกหนึ่งเมนูน่าลองก็คือ “Da Hong Pao Snow Cap Milk Tea” ที่ใช้ใบชาต้าหงเผา-อู่หลงระดับพรีเมียมที่หายาก ตัดกับครีมสดกลิ่นสตรอว์เบอร์รีสุดหอม และโรยหน้าด้วยพีแคนกรุบๆ เพิ่มความสดชื่นและความละมุนในแก้วเดียว ภาพ: CHAGEEออกแบบภาพปก: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์ แหล่งข้อมูล:&nbsp; &nbsp; -&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/chinese-tea-chain-chagees-ceo-becomes-a-billionaire-at-30-after-us-ipo" alt="Chinese tea chain Chagee’s CEO becomes a billionaire at 30 after US IPO">Chinese tea chain Chagee’s CEO becomes a billionaire at 30 after US IPO</a>&nbsp; &nbsp; -&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.luxuo.com/business/chagees-30-year-old-ceo-is-now-a-billionaire.html" alt="Chagee’s 30-Year-Old CEO is Now A Billionaire">Chagee’s 30-Year-Old CEO is Now A Billionaire</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/maguro-group-new-brand-binchon" alt="MAGURO ขยายต่อไม่หยุด เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Bincho ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่าน สาขาแรกเมกา บางนา ก.ค.นี้">MAGURO ขยายต่อไม่หยุด เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Bincho ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่าน สาขาแรกเมกา บางนา ก.ค.นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CHAGEE ร้านชาจากจีนของมหาเศรษฐีพันล้านวัย 30 ปี คัมแบ็กไทยพร้อมคอนเซ็ปต์ Tea Bar ตั้งเป้าขยายปีนี้ 5 สาขา

<h2>จากยืมเงินยายมาขายน้ำแข็งไส Mixue ร้านชานมไข่มุกสัญชาติจีนที่ขยายไปกว่า 45,000 สาขาทั่วโลก เตรียมขายหุ้น IPO ตั้งเป้าระดมทุน 444 ล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว Reuters รายงานว่า บริษัท Mixue Group ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มและชาไข่มุกรายใหญ่ที่สุดของจีน กำลังหาทางระดมทุนราว 443.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก (IPO) ในฮ่องกง ตามเอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทได้เริ่มทำการเปิดจองซื้อหุ้นเมื่อวันศุกร์เพื่อขายหุ้นจำนวน 17.1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 202.5 เหรียญฮ่องกง โดยหุ้นดังกล่าวมีกำหนดจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในวันที่ 3 มีนาคมนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลระบุว่า Mixue จะมีมูลค่า 9.8 พันล้านเหรียญ และมีนักลงทุนรายสำคัญ 5 รายจองซื้อหุ้นมูลค่า 200 ล้านเหรียญเรียบร้อยแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Reuters รายงานอ้างแหล่งข่าวรายหนึ่ง ระบุว่า ก่อนหน้านี้ Mixue มีแผนระดมทุนสูงถึง 1 พันล้านเหรียญในการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) แต่ได้ลดขนาดการขายหุ้นลง เนื่องจากไม่ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกสารที่ยื่นต่อบริษัทระบุว่า Mixue มีร้านค้า 45,000 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่และอีก 11 ประเทศผ่านเครือข่ายแฟรนไชส์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mixue ซึ่งมีชื่อเสียงจากมาสคอตมนุษย์หิมะแสนซนที่รู้จักกันในชื่อ Snow King ซึ่งสวมมงกุฎและเสื้อคลุมสีแดง ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภครุ่นเยาว์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทเป็นที่รู้จักดีในการขายเครื่องดื่มผลไม้และชา กาแฟ และไอศกรีม ที่เฉลี่ยมีราคาประมาณ 1 เหรียญสหรัฐเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากเอกสารการยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล พบว่า เมื่อสิ้นเดือนกันยายน ร้านค้าของ Mixue Bingcheng มากกว่า 99% จากทั้งหมดกว่า 45,000 ร้านเป็นแฟรนไชส์ แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้พึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์เป็นหลักก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกสารการยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลระบุว่าค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์คิดเป็นเพียง 2.4% ของรายได้รวมในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2024 โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้าและอุปกรณ์ให้กับร้านค้าแฟรนไชส์ ซึ่งจำเป็นต้องซื้อสินค้าเหล่านี้จาก Mixue&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Mixue ถือเป็นเครือร้านฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากจำนวนร้าน แต่ Zhu Danpeng นักวิเคราะห์อาหารและเครื่องดื่มอิสระ กล่าวว่ายังมีช่องทางให้เติบโตได้อีกในประเทศจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Zhu กล่าวว่า “ในเทศมณฑล เมือง และหมู่บ้านต่างๆ ยังมีร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่ได้มาตรฐานอีกหลายแห่ง เท่าที่ทราบ มีร้านค้าประเภทนี้เกือบ 200,000 แห่งที่อาจถูกแทนที่ด้วย Mixue”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Mixue ก่อตั้งในปี 1997 ในเมืองเจิ้งโจวทางตอนเหนือ โดยผู้ก่อตั้ง Zhang Hongchao เริ่มต้นด้วยธุรกิจขายน้ำแข็งไส ก่อนจะขยายกิจการมาสู่ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ และชานม ชาผลไม้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mixue กล่าวว่าบริษัทขายเครื่องดื่มได้ 7,100 ล้านแก้วในช่วงเก้าเดือนที่สิ้นสุดในเดือนกันยายนของปีที่แล้ว ที่มา:&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.reuters.com/markets/deals/chinese-bubble-tea-chain-firm-mixue-aims-raise-443-million-hong-kong-ipo-2025-02-20/" alt="Chinese bubble tea chain Mixue aims to raise $443 million in Hong Kong IPO">Chinese bubble tea chain Mixue aims to raise $443 million in Hong Kong IPO</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/worldasia/how-mixue-makes-billionaires" alt="เส้นทางเจ้าของ “Mixue” ยืมเงินยายมาขายน้ำแข็งไส สู่มหาเศรษฐีชาไข่มุกพันล้าน">เส้นทางเจ้าของ “Mixue” ยืมเงินยายมาขายน้ำแข็งไส สู่มหาเศรษฐีชาไข่มุกพันล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Mixue ยักษ์ใหญ่ชานมไข่มุกจากจีน เตรียม IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกง ตั้งเป้าระดมทุน 444 ล้านเหรียญ

<h2>อนล ธเนศวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด มาสเตอร์แฟรนไชส์ The Alley แบรนด์ชานมไข่มุกในกลุ่มพรีเมียมจากประเทศไต้หวัน ฉลองความสำเร็จ 1 ปี หลังเปิดตลาดในไทยชูยอดขาย 100,000 แก้วต่อเดือนในปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าปี 2020 ยอดขายโต 100 % สร้างแบรนด์สู่ Lifestyle พร้อมเผยสถิติคนไทยแชมป์บริโภคชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</h2>
อนล ธเนศวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด มาสเตอร์แฟรนไชส์ The Alley เผยจุดเริ่มของการนำเข้าแบรนด์ชานมไข่มุกสัญชาติไต้หวัน เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในประเทศจีนเมื่อพบว่ามีแถวของผู้ต่อคิวเข้าซื้อชานมตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เมื่อเดินเข้าไปสังเกตจึงพบว่านอกจากรสชาติแล้วจุดเด่นด้านการตกแต่งที่สวยงาม ผนวกกับต้องการสร้างธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มจึงเดินทางติดต่อผู้ก่อตั้งแบรนด์เพื่อนำแฟรนไชส์มาทำตลาดในประเทศไทย

“หลังจากได้ติดต่อกับผู้ก่อตั้ง (Mao Ting Chiu) ไม่แปลกใจที่การออกแบบร้านมีความดีไซน์ที่แตกต่างจากร้านชานมไข่มุกทั่วไป เนื่องจากเขาเป็นนักออกแบบมาก่อนและต้องการสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อผู้บริโภคกับการออกแบบและรสชาติเข้าไว้ด้วยกัน” อนล ธเนศวรกุล กล่าวและเสริมว่า หลังจากเจรจาราว 3-4 เดือนในช่วงต้นปี 61 สาขาแรกที่สาขาสยามสแควร์วันได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ก่อนที่จะทยอยเปิดสาขาแล้วถึง 12 สาขาในปัจจุบัน

“เคพีไอหลักๆ ที่ได้รับจากเจ้าของแบรนด์คือคุณภาพของรสชาติ มาตรฐานการบริการของพนักงานเป็นหลัก ส่วนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ สาขาใหม่ๆ หรือการบริการใหม่ ถือเป็นสิทธิของผู้บริหารมาสเตอร์แฟรนไชส์ของแต่ละประเทศ”

การพัฒนาสาขาของ The Alley แบ่งเป็นร้านตามไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคหลักใน 3 รูปแบบ ได้แก่ The Alley, The Alley Express และ The Alley Cafe ร้านคาเฟ่ที่มีเมนูครบโดยเปิดตัวแห่งแรกที่สีลมคอมเพล็กซ์ ซึ่งในภาพรวมด้านสาขาปี 2562 นี้ เปิดแล้ว 12 สาขา และภายในสิ้นปีนี้เปิดอีก 2 สาขาได้แก่ สาขาไอคอนสยาม และ เดอะมอลล์งามวงศ์วานซึ่งสาขานี้จากเป็นร้านคาเฟ่แห่งที่สอง โดยร้านทั้ง 3 รูปแบบ มีพื้นที่ตั้งแต่ 25-60 ตร.ม.

<figure><img class="wp-image-23266 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/อนล-ธเนศวรกุล-The-Alley-04.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ และ อนล ธเนศวรกุล บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด</figcaption></figure>

อนล ตั้งเป้าปี 2563 ขยายร้านสู่หัวเมืองใหญ่ได้แก่ อุดรธานี ชลบุรี ระยอง และภูเก็ต ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของแผนการรุกสร้างธุรกิจในระยะยาว ที่ประกอบไปด้วย การขยายสาขา, การเพิ่มสินค้าใหม่และหลากหลาย อาทิ เบเกอรี่ เครื่องดื่มร้อน, ด้าน Catering ที่ปีหน้าตั้งเป้าทำรายได้ 20% จากรายได้รวม, การนำส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิคเป็นส่วนประกอบของเมนูและเครื่องดื่มต่างๆ และการมุ่งสู่ Go Green ซึ่งนโยบายทั้ง 5 ด้านมุ่งเป้าไปสู่ยอดขายที่เขาตั้งเป้ายอดขายโตอีก 100%

“เราเชื่อว่าชานมไข่มุกแบบพรีเมี่ยมยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเลยจุดสูงสุดเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแล้วก็ตามเรา การกลับมาเป็นเทรนด์ของชานมไข่มุกครั้งนี้ถึงว่าแตกต่างจากเมื่อราว 15 ปีที่่มาอย่างมาก เนื่องจากแต่ละแบรนด์ต่างรุกสร้างจุดยืนของตนเอง สร้างแบรนด์ให้แตกต่างและตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในปีนี้ 3 ท็อปแบรนด์ในประเทศยอดขายรวมยังคงเติบโตไม่น้อยว่า 40 % แม้ยังไม่มีผลสำรวจและวิจัยที่แน่นอน แต่เชื่อว่ามูลค่าตลาดชานมไข่มุกในประเทศไทยอยู่ที่ราว 2-3 พันล้านบาท” อนล ธเนศวรกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มิลลาร์รี่ จำกัด เผยและกล่าวเสริมว่าตลาดชานมไข่มุกในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 ตลาด โดย ราคาตั้งแต่ 75 บาทขึ้นไป จัดอยู่ในกลุ่มพรีเมียม ส่วนราคาระหว่าง 45-75 บาท อยู่ในกลุ่มมีเดียม และกลุ่มแมสคือกลุ่มราคาต่ำกว่า 45 บาท

<img class="alignnone size-full wp-image-23261" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/อนล-ธเนศวรกุล-The-Alley-02.jpg" alt="" width="800" height="525" />

จากข้อมูลของบริษัทฯ พบว่า จำนวน 80% ของยอดขายเป็นเครื่องดื่ม Milk Tea และ Brown Sugar กลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้หญิงต่อผู้ชาย 79-21% อยู่ในช่วงอายุ 24-35 ปี ถึงกว่า 50% โดยเมนูยอดนิยมของผู้บริโภคใน 3 อันดับแรกได้แก่ Brown Sugar Deerioca &amp; Fresh Milk, Royal No.9 Milk Tea และ Brown Sugor Deerioca &amp; Puff ตามลำดับ

“เครื่องดื่มที่เป็น Brown Sugar ถือเป็นเมนูที่ที่ขายดีที่สุด กลิ่นหอมของน้ำตาลทรายแดง ถือเป็นสัมผัสแรกที่สำคัญที่มอบให้กับลูกค้าเมื่อเดินเข้ามาในร้านของเรา และเมื่อผสานกับรสชาติ บริการ และการตกแต่งยิ่งเสริมสัมผัสด้านอื่นๆที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับกลุ่มลูกค้าของเรา อย่างการเคี่ยวไข่มุก 1 หม้อใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง และมีความเหนียวหนึบที่เหมาะสมอยู่ได้เพียง 2 ชั่วโมงอีกเช่นกันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับมาตรฐานของ The Alley เหมือนกันในทั่วโลก”

อนล ธเนศวรกุล กล่าวเสริมด้วยว่าในขณะที่มูลค่ารวมของตลาดชานมไข่มุกทั่วโลกอยู่ที่ราว 6.2 หมื่นล้านบาท มีการคาดการณ์ว่าหากชานมไข่มุกจะกลายอีกหนึ่งเครื่องดื่มรสชาติพื้นฐาน (everyday drink) ในปี 2023 มูลค่ารวมของตลาดชานมไข่มุกจะไปแตะที่แสนล้านบาท

ข้อมูลจาก Grab เผยว่าตลาดเครื่องดื่มชานมไข่มุกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2561 มียอดสั่งซื้อเติบโตเพิ่มขึ้น  3,000% จากแบรนด์ชานมไข่มุกกว่า 1,500 แบรนด์ ที่มีหน้าร้านจำหน่ายรวมกว่า 4,000 สาขา โดยชาวไทยบริโภคชานมไข่มุกมากที่สุด เฉลี่ยคนละ 6 แก้วต่อเดือน ตามด้วยชาวฟิลิปปินส์บริโภคชานมไข่มุกเฉลี่ยคนละ 5 แก้วต่อเดือน ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย บริโภคเฉลี่ยคนละ 3 แก้วต่อเดือน จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตลาดเครื่องดื่มชานมไข่มุกยังเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องรวมถึงในประเทศไทย

<img class="alignnone wp-image-23262 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/อนล-ธเนศวรกุล-The-Alley-03.jpg" alt="the Alley" width="800" height="525" />

ด้านส่วนผสมที่เป็นออร์แกนิค The Alley ใช้น้ำเชื่อมที่ผลิตจากอ้อยออร์แกนิคไม่ผ่านการฟอกขาว ไซรัปน้ำตาลอ้อย ปลอดสารเคมี ไม่ปรุงแต่งกลิ่น และสีสังเคราะห์ใบชาออแกนิค คัดสรรใบชาที่ผ่านกระบวนการปลูกแบบออแกนิค ส่วนด้าน Go Green อนล กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งเราได้ทำไปแล้วคืองดใช้ถุงพลาสติกหน้าร้าน ในทุกๆ วันเรามีขยะจากการผลิตเป็นจำนวนมากทั้งพลาสติก กระดาษ และขยะสด ในแต่ละเดือนกล่องนมกว่า 30,000 กล่องถูกล้างและนำไปรวมกันสร้างเป็นหลังคาจากกล่องนม ขยะสด เราเตรียมจัดแยกขยะเพิ่มไปทำเป็นปุ๋ย ส่วนหลอดพลาสติกเราก็นำไปล้างและสามารถไปทำเป็นหมอนหรือที่นอนให้กับผู้ป่วย

“ทั้งหมดทั้งมวล เรามีโลกแค่ใบเดียวคือใบนี้ แค่อยากทำอะไรก็ตามเพื่อให้โลกใบนี้ยั่งยืนที่สุด แม้เราไม่ใช่องค์กรที่ใหญ่ สิ่งที่ทำไม่เกิดผลกระทบในวงกว้าง แต่ก็อยากเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ให้โลกนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เราเอาทรัพยากรจากโลกมาทำธุรกิจก็อยากคืนอะไรให้กับโลกได้บ้าง” อนล ธเนศวรกุล กล่าวทิ้งท้าย
<div class="mceTemp"></div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events