<h2>เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ CG Capital บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity ที่ได้เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ “ตระกูลจิราธิวัฒน์” อย่าง “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ก่อตั้งและนั่งตำแหน่งกรรมการบริหาร</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีกองทุนแรกของบริษัทที่มีมูลค่าถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีนักลงทุนหลัก คือ ตระกูลจิราธิวัฒน์ พร้อมด้วยธนาคารชั้นนำ และนักลงทุนสถาบันระดับโลก ตั้งเป้าใช้ไปการลงทุนทั้งในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโครงการแรกที่ประกาศลงทุนมาแล้วก็คือโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งที่พักอาศัย Branded Residences และโรงแรม ซึ่งทั้งคู่จะตั้งอยู่ในทำเลฮอตอย่าง จ.ภูเก็ต และได้ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) เข้ามาบริหาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ “ภูมิ จิราธิวัฒน์” นั้นเป็นบุตรชายของ “นิตย์สินี จิราธิวัฒน์” ผู้บริหารบริษัทในเครือเซ็นทรัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของตระกูลที่หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขามาบ้างจากการบริหารงานในบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้พัฒนา และบริหารศูนย์การค้าขนาดใหญ่มากกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่ง Head of Hotels and Alternative Investments ของเซ็นทรัลพัฒนา ภูมิยังมีบทบาทสำคัญในด้านการลงทุนธุรกิจโรงแรม การลงทุนใน Data Center และ Venture Capital ของบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เขายังเป็นคณะกรรมการบริหารของโรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพ และโรงแรมฮิลตัน พัทยา ทั้งยังเป็นกรรมการผู้บริหารของศูนย์การค้าเมกา บางนา โดยภูมิสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยทัฟส์ และปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ จาก Anderson School of Management แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนเข้ารับตำแหน่งที่เซ็นทรัลพัฒนา ภูมิดำรงตำแหน่ง VP ที่ L Catterton บริษัทในกลุ่มของ LVMH ดูแลบริหารกองทุน Consumer Private Equity มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/newsfinance-and-investment/chirathivat-family-launched-cg-capital" alt="ตระกูลจิราธิวัฒน์ เปิดตัว ‘CG Capital’ บริษัทบริหารกองทุน Private Equity">ตระกูลจิราธิวัฒน์ เปิดตัว ‘CG Capital’ บริษัทบริหารกองทุน Private Equity</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

รู้จัก “ภูมิ จิราธิวัฒน์” เจน 3 ของตระกูล ปั้น CG Capital

<h2>ตระกูลจิราธิวัฒน์นำโดยผู้บริหาร “ภูมิ จิราธิวัฒน์” เปิดตัว ซีจี แคปปิตอล (CG CAPITAL) บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity พร้อมนำทัพนักลงทุนสถาบันชั้นนำ ประเดิมตั้งกองทุนแรก 10,000 ล้านบาท มุ่งลงทุนกลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในไทย ปักหมุด 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมประกาศลงทุนโครงการแรกกับ Standard International มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูสที่ภูเก็ต</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำงานกับครอบครัว เคยทำงานในธุรกิจ Private Equity ของ LVMH ซึ่งเขาลงทุนในธุรกิจคอนซูเมอร์ต่างๆ และตอนมาเริ่มทำที่เซ็นทรัลก็อยากทำธุรกิจนี้ที่เซ็นทรัลด้วย โดยพูดกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อยๆ ว่าอยากมาทำอะไรแบบนี้ที่นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤตโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากสิ้นปี 2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยจำนวนสูงถึง 28 ล้านคน และมีแนวโน้มที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และขยายตัวต่อไปได้อย่างแน่นอน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/TiMdLtm9DqnVz9DAQgRp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TiMdLtm9DqnVz9DAQgRp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,599" style="" data-index="0"><figcaption><div>ภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัท ซีจี แคปปิตอล ขึ้นมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารการลงทุนในรูปแบบกองทุน Private Equity เรียกได้ว่าเป็นทุนใหม่ให้ธุรกิจได้มีการพัฒนาโปรดักต์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาในช่วงหลังโควิด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งกองทุนแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาการลงทุน 5 ปี ซึ่งมีผู้ลงทุนหลักประกอบด้วย 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2.ธนาคารชั้นนำ 3.นักลงทุนสถาบันระดับโลก โดยสัดส่วนการลงทุนระหว่างไทยกับต่างชาติอยู่ที่ 50:50 ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/7GMdn2rKnvk6foZ5eUxP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="7GMdn2rKnvk6foZ5eUxP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="900,599" style="" data-index="1"><figcaption><div>สรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรกที่ลงทุน และได้ Standard International เข้ามาบริหาร ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัย Branded Residences ภายใต้เครือโรงแรมบูทีคไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนโรงแรมใช้ชื่อว่า The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา) ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือแบรนด์ Standard International เช่นเดียวกัน มูลค่าการลงทุนรวม 5,000 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวภายในเดือนเมษายน 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2569​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทำเลที่ตั้งถือเป็นไข่แดงของย่านเชิงทะเล-บางเทา ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้งใกล้แหล่งช็อปปิ้งและร้านอาหารดังในภูเก็ต เช่น โบ้ท อเวนิว, ลากูน่า กอล์ฟ คลับ, ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, และสวนน้ำบลูทรี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจัดตั้งกองทุนแรกนี้ขึ้นมา เพราะมีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมถึงกลุ่ม Expat และ Digital Nomad ที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับต้นๆ ของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยในระยะยาวบนความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น&nbsp; &nbsp; ด้าน สรวิศ กล่าวปิดท้ายว่า “ปัจจุบันการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลก เพราะมีความคล่องตัวในการบริหาร มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์การลงทุนที่เป็นระบบ และให้การเติบโตทางมูลค่าที่แตกต่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลกให้น้ำหนักในพอร์ตกันมากขึ้น โดย CG Capital ตั้งเป้าผลตอบแทนอยู่ที่ 18% ต่อปี” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทั้งคู่ระบุถึงประเด็นในความแตกต่างและประเด็นที่อาจเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันระหว่างธุรกิจของ "เซ็นทรัลพัฒนา" หรือ CPN กับ CG Capital ว่า สำหรับ CPN นั้นเป็นบริษัทที่ไม่ได้โฟกัสการลงทุนของนักลงทุนภายนอก และไม่ได้โฟกัสในธุรกิจ hospitality ขนาดนั้น เนื่องจากธุรกิจโรงแรมของ CPN จะสร้างโรงแรมที่เชื่อมกับศูนย์การค้า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ CG Capital ทำ และไม่ใช่สิ่งที่&nbsp;CG Capital&nbsp;ทำได้ด้วย​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/property/roadmap-5-years-origin-resort-world" alt="“ออริจิ้น” ลุยปั้นมิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ปักธง “ภูเก็ต-เขาใหญ่” มูลค่าโครงการรวม 11,000 ล้าน">“ออริจิ้น” ลุยปั้นมิกซ์ยูสเมืองท่องเที่ยว ปักธง “ภูเก็ต-เขาใหญ่” มูลค่าโครงการรวม 11,000 ล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตระกูลจิราธิวัฒน์ เปิดตัว ‘CG Capital’ บริษัทบริหารกองทุน Private Equity

<h2>หลังจากเข้าซื้อกิจการห้างดังในอังกฤษ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอยู่นิ่ง พวกเขาเร่งเครื่องเดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มแรง แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคจากสถานการณ์โรคระบาดก็ตาม</h2>
แม้สถานการณ์โรคระบาดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน แต่ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ตระกูลผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มเซ็นทรัล กลับสู้ไม่ถอย เดินหน้าคว้าโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่หยุดหย่อน
โดยเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ตระกูลจิราธิวัฒน์ ได้ทำการเข้าซื้อธุรกิจที่อาจเป็นการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเลยก็ว่าได้ โดยตระกูลผู้ติดทำเนียบ <a href="https://forbesthailand.com/news/other/10-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0.html">10 อันดับมหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2565</a> ตระกูลนี้ได้ควักเงินราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อห้างสรรพสินค้าสัญชาติอังกฤษ Selfridges ร่วมกับรีเทลเลอร์จากออสเตรีย Signa Holdings


<figure><img class="wp-image-65892 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Selfridges_co.jpg" alt="" width="720" height="405" /><figcaption> ห้าง Selfridges ที่ Oxford Street</figcaption></figure>
การเข้าซื้อธุรกิจดังกล่าวทำให้ทางกลุ่มได้ครอบครองตึกห้างสรรพสินค้าสุดไอคอนนิค อายุกว่าร้อยปี ณ Oxford Street ถนนชื่อดังแห่งกรุง London รวมถึงห้าง Selfridges อีก 17 สาขาได้สำเร็จ โดยปัจจุบันทางกลุ่มเซ็นทรัล และ Signa Holdings ร่วมกันเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าลักชัวรีทั่วยุโรปอยู่จำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทศ จิราธิวัฒน์ หลานชายของผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าชื่อดังผู้กุมบังเหียนธุรกิจเซ็นทรัลไม่หยุดแค่เพียงเท่านี้ โดยทางกลุ่มได้สำรองกองทุนมูลค่า 6.6 พันล้านเหรียญ ไว้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าเพื่อขยายธุรกิจรีเทลกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและทั่วภูมิภาค แต่ถึงแม้จะคิดการใหญ่ ทรัพย์สินสุทธิของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลับร่วงลงถึงร้อยละ 9 ลงมาอยู่ที่ 1.06 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
<img class="alignnone size-full wp-image-65889" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/centralwOrld.jpg" alt="" width="720" height="233" />
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจค้าปลีกของทางตระกูลซึ่งมีรายได้ถึงร้อยละ 72 จากในประเทศ ก็มีแผนทุ่มทุน 1 แสนล้านบาท (2.8 พันล้านเหรียญ) ในช่วง 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายปีกธุรกิจรีเทลของทางบริษัท โดยเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การเพิ่มรายได้กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดให้ได้ 2.5 เท่า และเพิ่ม EBITDA (กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ยภาษี  ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย) 3.5 เท่าภายในปี 2569
เมื่อปี 2021 ปีที่สองที่เราต้องจมอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดส่งผลให้รายได้อยู่กับที่ ส่วนกำไรสุทธิก็ลดลง แต่เหมือนธุรกิจของพวกเขากำลังจะฟื้นคืนชีพ โดยในไตรมาสแรกของปี 2565 ทางบริษัทได้รายงานว่า รายได้แบบ YoY ของทางบริษัทพุ่งขึ้นร้อยละ 15 แตะ 5.63 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึงร้อยละ 190 เป็น 1.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของทางบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราว 2.07 แสนล้านบาท
<img class="alignnone size-full wp-image-65891" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/07/Escent.jpg" alt="" width="720" height="480" />
ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ของทางกลุ่ม อย่าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ก็มีแผนการลงทุนมูลค่า 1.2 แสนล้านบาทเตรียมไว้สำหรับปี 2569 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้ หนึ่งในโปรเจ็กต์ในอนาคตของทางบริษัทคือ การสร้างโครงการ mixed-used ที่มีทั้งศูนย์การค้า ที่พักอาศัย โรงแรม และสำนักงานในกว่า 30 จังหวัดในประเทศไทย
นอกจากนี้ ทางเซ็นทรัลพัฒนาก็ได้หมายตาโอกาสทางธุรกิจที่เวียดนามและมาเลเซียไว้อีกด้วย ส่งผลให้หุ้นของบริษัทไต่ขึ้นมาร้อยละ 6 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แม้ว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะลดลงในไตรมาสแรกก็ตาม
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ After Bagging Iconic British Retailer Selfridges For $4.5 Billion, Central Group’s Chirathivat Family Is Hungry For More เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/กัลกุล-ดํารงปิยวุฒิ์-gunkul.html">กัลกุล ดํารงปิยวุฒิ์ กลับสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีไทยอีกครั้ง</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

ตระกูลจิราธิวัฒน์ เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างเต็มแรง

<h2>เมื่อตระกูลเจียรวนนท์ยังคงครองอันดับ 1 ในทำเนียบ ตามด้วย เจริญ สิริวัฒนภักดี และตระกูลจิราธิวัฒน์</h2>
กว่าสองในสามของเหล่า 50 มหาเศรษฐีไทยจากการจัดอันดับความมั่งคั่งประจำปี 2560 โดย Forbes ล้วนมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ กลุ่มอภิมหาเศรษฐีในทำเนียบห้าอันดับแรก ทำให้ทรัพย์สินรวมของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ 50 อันดับพุ่งขึ้นแตะ 4.26 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 16%  ทั้งนี้ นิตยสาร Forbes Thailand ซึ่งจะวางแผงในวันที่ 6 มิถุนายนนี้

ท่ามกลางการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจไทยที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปีด้วยอัตราการขยายตัวราว 3.3% ในไตรมาสแรกของปี 2560 จากปัจจัยการเพิ่มผลผลิตภาคการเกษตร การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของการส่งออก ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

ในปีนี้ มูลค่าทรัพย์สินของพี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ พุ่งขึ้น 1.035 แสนล้านบาท เป็น 7.418 แสนล้านบาท และยังคงครองอันดับ 1 ในทำเนียบอีกครั้ง โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมา ธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ส่งมอบตำแหน่งบริหารสูงสุดขององค์กรสู่ทายาท หลังจากที่ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอตลอด 48 ปีที่ผ่านมา โดยแต่งตั้ง สุภกิต บุตรชายคนโต และศุภชัย บุตรชายคนเล็ก ให้ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของเครือตามลำดับ

อันดับ 2 ในทำเนียบยังคงเป็น เจริญ สิริวัฒนภักดี ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.313 แสนล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนปั้นโครงการมูลค่า 1.21 แสนล้านบาทเพื่อสร้างเมืองขนาดย่อมๆ ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ โดยมี ปณต บุตรชายคนเล็กอายุ 39 ปี เป็นหัวเรือใหญ่

ตระกูลจิราธิวัฒน์ เข้าวินเป็นอันดับ 3 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน ส่งให้มูลค่าทรัพย์สินพุ่งขึ้นแตะ 5.278 แสนล้านบาท อันดับ 4 ในทำเนียบคือ เฉลิม อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดง โดยทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 9.66 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 2 รองจากเครือเจริญโภคภัณฑ์) ขึ้นแตะ 4.312 แสนล้านบาท ด้าน วิชัย ศรีวัฒนประภา แห่ง King Power ขยับขึ้นสู่อันดับ 5 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1.621 แสนล้านบาท จากอานิสงส์ด้านการท่องเที่ยวขาขึ้นของไทย โดยร้านค้าปลอดภาษีของเขามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20%

ทั้งนี้ ทำเนียบอภิมหาเศรษฐีของไทยในปีนี้ได้มีโอกาสต้อนรับหน้าใหม่ถึง 3 คน ได้แก่ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ผู้ก่อตั้งกิจการสาหร่ายอบแห้งตราเถ้าแก่น้อย ซึ่งนับเป็นมหาเศรษฐีผู้มีอายุน้อยที่สุด (32 ปี) ในทำเนียบของเราด้วยมูลค่าสินทรัพย์ที่ 2.104 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมี วินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ผู้ก่อตั้ง ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป เมื่อปี 2530 จากฟาร์มเลี้ยงไก่เพียง 20,000 ตัวและสามารถสร้างตัวจนมีทรัพย์สินถึง 2.587 หมื่นล้านบาท และ ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ แห่งคาราบาวแดง สหายผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจกับ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ และยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) จนมีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 2.035 หมื่นล้านบาท

หมายเหตุ: ในปีนี้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิขั้นต่ำที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 1.587 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.38 หมื่นล้านบาทในปี 2559
<h2>รายชื่อตระกูลและอภิมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของไทย</h2>
<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9d7ae3979c7d8889a1592683e8f0d584.png" alt="" />
อันดับ1:
ตระกูลเจียรวนนท์
มูลค่าทรัพย์สิน: 7.417 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/cf3a33089e186cabe53f3307a0bec1f2.png" alt="" />
อันดับ2:
เจริญ สิริวัฒนภักดี
มูลค่าทรัพย์สิน:  5.313 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1444953b796e02330624001d26cf58a9.png" alt="" />
อันดับ3:
ตระกูลจิราธิวัฒน์
มูลค่าทรัพย์สิน: 5.278 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3f465ea1ee5dc5e08a390517f6e92386.png" alt="" />
อันดับ4:
เฉลิม อยู่วิทยา
มูลค่าทรัพย์สิน: 4.312 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/3452581533317d89726a044da72b6e64.png" alt="" />
อันดับ5:
วิชัย ศรีวัฒนประภา
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.621 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6b32db47055bc27d0466cc33944f68a9.png" alt="" />
อันดับ6:
กฤตย์ รัตนรักษ์
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.345 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/eb5b203f4f3eeb48e78077f84018304f.png" alt="" />
อันดับ7
วานิช ไชยวรรณ
มูลค่าทรัพย์สิน: 1.311 แสนล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/b21868af7776ced5c484b4fb381f586c.png" alt="" />
อันดับ8
ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ
มูลค่าทรัพย์สิน: 8.970 หมื่นล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c2c010965e8efdf42c8d240e3b3ec59f.png" alt="" />
อันดับ9
สันติ ภิรมย์ภักดี
มูลค่าทรัพย์สิน: 7.935 หมื่นล้านบาท

&nbsp;

<img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/25884240303292e6ea434ea10aff624f.png" alt="" />
อันดับ10
Aloke Lohia
มูลค่าทรัพย์สิน: 6.037 หมื่นล้านบาท

&nbsp;

การจัดอันดับในทำเนียบฯ ใช้ข้อมูลทางการเงินและการถือครองหุ้นที่ได้รับจากครอบครัวและผู้ที่ได้รับการจัดอันดับ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ และหน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงทรัพย์สินของครอบครัว และทรัพย์สินที่ถือครองโดยสมาชิกในหลายรุ่น นอกจากนี้ มูลค่าทรัพย์สินในบริษัทมหาชนยังคำนวณจากราคาหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2560 ส่วนทรัพย์สินในบริษัทที่ถือครองส่วนตัวประเมินค่าโดยเปรียบเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

<hr />

<a href="https://goo.gl/BMD2Pp">พบนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มิถุนายน 2560 และฉบับพิเศษในเล่ม "Wealth Management &amp; Investing" ได้ที่แผงนิตยสารชั้นนำ และ e-Magazine  </a>
<a href="https://goo.gl/BMD2Pp"><img src="http://forbesthailand.com/uploads/library/506b1754524448a740a59d7af4b299a0.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events