คนอเมริกันจะซื้อ iPhone แพงขึ้น 40% รวมลิสต์สินค้าราคาเตรียมพุ่ง หลัง Trump ขึ้นภาษี ‘ข้าวไทย’ ก็อาจโดนด้วย

<h2>​เมื่อโลก Social Media ที่ทำให้เราเห็น lifestyle และวิถีชีวิตของคนจากทั่วทุกมุมโลก หลายคนเริ่มสังเกตคนรุ่นใหม่บางกลุ่มเลือกจะใช้จ่ายอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิต ทั้งเสื้อผ้าดีไซน์เฉพาะตัว ทริปท่องเที่ยวหรูหรา แทนที่จะเก็บออมเงิน จนเกิดคำว่า Doom Spending ขึ้นแต่เบื้องหลังของพฤติกรรมนี้กลับมีอะไรที่มากกว่าแค่การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Psychology Today ให้คำนิยาม Doom Spending ว่าเป็นพฤติกรรมการใช้เงินโดยไม่ยั้งคิดเพื่อชดเชยหรือบรรเทาความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ทั้งแรงกดดันทางเศรษฐกิจ หรือสิ้นหวังกับอนาคตที่ดูจะไม่สดใสนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ylva Baeckstrom ผู้บรรยายการเงินอาวุโส ที่ King’s Business School เล่าผ่าน CNBC Make It ว่า Doom Spending เกิดขึ้นเพราะคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลากับโลกออนไลน์สูง ซึ่งมักต้องรับรู้ข่าวร้ายอยู่เสมอ จนอาจสร้างความรู้สึกแบบ Armageddon (อาจเปรียบถึงความรู้สึกท่ามกลางสนามรบ) ทำให้คนรุ่นใหม่เลือกที่จะสะท้อนความรู้สึกแย่ๆ ออกมาเป็นการใช้จ่ายที่อาจสร้างปัญหาใหม่ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลพบว่า 96% ของชาวสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน และมากกว่า 1 ใน 4 เลือกจะใช้จ่ายอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับความเครียด (ผลสำรวจจาก Credit Karma ณ พ.ย. 2023)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และปรากฎการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Stefania Troncoso Fernandez&nbsp;วัย 28 ปี ที่อาศัยอยู่ใน Colombia ร่วมกับพ่อแม่ เล่าว่า เธอฟื้นตัวจากการเป็น Doom Spending ที่เคยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งเสื้อผ้า และทริปเที่ยว แม้ว่าตอนนั้นจะมีรายได้น้อยกว่าปัจจุบัน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาค่าครองชีพยังเพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองต่างๆ ยังทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก ที่สำคัญสาเหตุหลักอาจเพราะรู้สึกว่า เธอไม่สามารถเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านสักหลังได้ และเธอคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอคนเดียว แต่คนรอบตัวต่างเผชิญสถานการณ์นี้เช่นกัน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto; width: 720px;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/teXNEqyUr7Q6o9G87jDy.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,866px" data-align="center" data-file-name="teXNEqyUr7Q6o9G87jDy.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,866" data-origin="720px,866px" data-index="0" style="width: 720px; height: 866px;"> </figure></div>​ Generation&nbsp;แรกที่กำลังจะยากจนลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจของ CNBC จากผู้ทำแบบสอบถามกลุ่มผู้ใหญ่กว่า 4,342 รายทั่วโลก (โดย Survey Monkey) พบว่า มีเพียง 36.5% ที่รู้สึกว่าพวกเขามีฐานะทางการเงินดีกว่ารุ่นพ่อแม่ ขณะที่อีก 42.8% ตอบว่าพวกเขามีฐานะการเงินแย่กว่าพ่อแม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Baeckstrom ยังกล่าวอีกว่า คนใน Generation ปัจจุบันล้วนรู้สึกว่าต้องใช้เวลานานกว่ารุ่นพ่อแม่เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว และไม่อาจประสบความสำเร็จได้เท่ากับพ่อแม่ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้เกิดพฤติกรรม Doom Spending ที่สร้างภาพลวงตาว่า การใช้จ่ายทำให้รู้สึกว่าเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ควบคุมไม่ได้ทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“แต่ในความเป็นจริงแล้ว (การ Doom Spending) กลับส่งผลเสียต่อการควบคุม อนาคตของพวกเขามากขึ้น เพราะหากคุณเลือกที่จะออมเงินและลงทุนแทน คุณอาจจะซื้อบ้านได้เลย” Baeckstrom กล่าว ‘ต้องหนีออกไป’ ความรู้สึก Generation นี้ต้องเผชิญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Daivik Goel หนึ่งในคนรุ่นใหม่วัย 25 ปี ที่อาศัยอยู่ใน Silicon Valley เล่าว่า ตอนที่เขาทำงานเป็น Product Engineer ที่ Startup ด้าน Biotech แห่งหนึ่ง เขาเคยทำพฤติกรรม Doom Spending ทั้งการซื้อเสื้อผ้าหรูหรา การไล่ซื้อ Gadget เทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด รวมถึงการออกไปดื่มยามค่ำคืน ซึ่งพฤติกรรมการใช้จ่ายเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติใน Silicon Valley นอกจากนี้อาจเห็นเพื่อบางคนซื้อรถคันใหม่ 2-3 คัน เพียงเพราะพวกเขาตระหนักว่า การเก็บเงินซื้อบ้านอาจจะใช้เวลาอีกนาน ดังนั้นจึงเลือกจะซื้ออย่างอื่นแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในตัวอย่างของราคาบ้านที่สูงลิวลิ่วคือ San Francisco หนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในสหรัฐ โดยผลการวิเคราะห์จากเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2023 พบว่า 62% ของทรัพย์สินที่ประกาศขายใน San Francisco มีราคาสูงกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลับมาที่ Goel เขาอธิบายความรู้สึกตอนนี้เลือกจะ Doom Spending ไว้ว่า “เป็นความพยายามที่จะหนีออกไป” น่าจะเกิดจากทั้งรู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำ รวมถึงต้องเผชิญแรงกดดันจากสังคมรอบข้าง ซึ่งหลังจากเขาเริ่มก่อตั้งบริษัท Intrepid ในปี 2023 พฤติกรรม Doom Spending กลับเลือนหายไป เพราะเขามีความสุขกับงานที่ทำ พร้อมกับเล่าว่า ‘มุมมองของผมเปลี่ยนไปแทบทั้งหมด’<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto; width: 720px;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/qcm9a2ZffyxXJfRwxTdH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="qcm9a2ZffyxXJfRwxTdH.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" data-index="1" style="width: 720px; height: 480px;"> </figure></div>​ ทำความเข้าใจ 'เงินกับคุณ' ให้มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Baeckstrom นักบรรยายด้านการเงิน ย้ำว่าหากคุณต้องการเอาชนะพฤติกรรม Doom Spending ต้องเข้าใจสัมพันธ์กับเงิน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนกับความสัมพันธ์กับผู้คน ที่เริ่มต้นตั้งแต่ในวัยเด็ก ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน แต่วิธีการบริหารและควบคุมเงินของแต่ละบ้านย่อมแตกต่างกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หากคุณรู้สึกถึงความผูกพันที่มั่นคงกับเงิน คุณจะสามารถประเมินเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่หากคุณรู้สึกไม่มั่นคง หรือเลี่ยงที่จะทำความเข้าใจเรื่องเงิน คุณย่อมมีแนวโน้มจะถูกดึงเข้าสู่พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ดีนัก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรื่องนี้อาจสอดคล้องกับ Fernandez ที่อาศัยอยู่ใน Colombia ร่วมกับพ่อแม่ เล่าว่า พฤติกรรม Doom Spending ของเธอนั้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการขาดความรู้เรื่องการเงิน และในครอบครัวไม่มีใครเคยสนับสนุนให้เธอเก็บออมทางแก้: เพิ่มความเจ็บปวดก่อน ‘ใช้จ่าย’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกวันนี้การใช้จ่ายเหมือนจะง่ายดายขึ้นทุกวัน เพียงแตะบัตร สแกนจ่าย หรือไม่กี่คลิกก็ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋าเราโดยไม่รู้ตัว Samantha Rosenberg co-founder และ COO ของแพลตฟอร์ม Belong เล่าว่า การช้อปปิ้งออนไลน์อาจกระตุ้นให้ประเด็น Doom Spending มากขึ้น ดังนั้นหากขั้นตอนการจ่ายเงินซับซ้อน หรือยากขึ้น มักทำให้คนกลับมาคิดทบทวนก่อนใช้จ่าย และอาจลด Doom Spending ได้อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ยกตัวอย่างเช่น การได้เห็นสินค้าด้วยตนเองอาจป้องกันการซื้อตามอารมณ์ได้ ส่วนหนึ่งเพราะการมี ‘จุดที่ต้องตัดสินใจ’ มากขึ้น เช่น หากต้องเลือกสินค้าที่ร้าน ต้องคิดตั้งแต่การเดินทาง เปรียบเทียบสินค้าด้วยมือของตนเอง ไปจนถึงการต่อคิวเพื่อจ่ายเงินอาจชะลอให้คุณมีเวลาคิด และวิเคราะห์มากขึ้นก่อนการซื้อของนั้นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ การตั้งค่าการแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชันธนาคาร อาจช่วย ‘กระตุกต่อมความเจ็บปวด’ เมื่อคุณต้องกดยอมรับ เพื่อจ่ายเงินที่กำลังไหลออกไป Samantha ยังแนะนำอีกว่า คุณอาจกลับไปใช้เงินสดก็ได้ เพราะวิธีการใช้จ่ายที่ไร้รอยต่อต่างๆ เช่น Apple Pay และ Google Pay อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เราใช้จ่ายแบบไม่ทันคิด เพราะมันง่ายและรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วและราบรื่น ‘ความเจ็บปวด’ จากการจ่ายเงินออกจากกระเป๋าอาจน้อยลงไปด้วย นี่จึงเป็นวิธีที่ระบบจะหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในกระบวนการตัดสินใจซื้อ (ซึ่งหากเราคิดทบทวนมากขึ้น อาจยังไม่ต้องซื้อทันทีในขณะนั้นก็ได้) แหล่งที่มา:&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/09/23/young-people-are-doom-spending-heres-what-it-is-and-how-to-stop-it.html" alt="Gen Z and millennials are increasingly ‘doom spending.’ Here’s what it is and how to stop it">Gen Z and millennials are increasingly ‘doom spending.’ Here’s what it is and how to stop it</a>​Photo by <a href="https://unsplash.com/photos/person-walking-inside-building-near-glass-2TLREZi7BUg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" alt="Heidi Fin">Heidi Fin</a>,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@marissacristina?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash"></a><a href="https://unsplash.com/photos/womens-sunglasses-and-black-bag-with-watch-and-iphone-6-D4jRahaUaIc?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" alt="Marissa Grootes">Marissa Grootes</a>,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@ikredenets?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash">Irene Kredenets</a>&nbsp;on <a href="https://unsplash.com/photos/woman-holding-blue-leather-handbag-jKoRZkv2o0U?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" alt="Unsplash">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/set-update-sep-2024" alt="ตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ย. 67 ปิด 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% เพิ่มสูงสุดนับจาก ส.ค. 64"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/scb-eic-real-estate-survey-2024" alt="ผลสำรวจ SCB EIC เผยปัจจัยเศรษฐกิจกดดัน หนี้ครัวเรือน-ค่าใช้จ่ายสูง เกือบครึ่งยังไม่มีแผนซื้อบ้าน">ผลสำรวจ SCB EIC เผยปัจจัยเศรษฐกิจกดดัน หนี้ครัวเรือน-ค่าใช้จ่ายสูง เกือบครึ่งยังไม่มีแผนซื้อบ้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เบื้องหลัง Doom Spending การช้อปเพื่อเยียวยาจิตใจของ 'Gen Z-millennials' และจะหยุดพฤติกรรมนี้อย่างไร 

<h2>พ่อแม่ส่วนใหญ่วางแผนเลี้ยงลูกจนกว่าเด็กๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่รายงานใหม่ของ Pew Research Center เผยว่า พ่อแม่จำนวนหนึ่งยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ลูกๆ แม้เด็กน้อยในวันนั้นจะโตจนอายุ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ แล้วก็ตาม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ไปถึงหลักไมล์สำคัญในชีวิต เช่น การแต่งงาน หรือการเป็นพ่อคนแม่คน ช้ากว่าแต่ก่อน แม้พวกเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงกว่ารุ่นพ่อแม่ รวมถึงได้งานและเงินเดือนที่ดีกว่าด้วย” นักวิจัยของ Pew เผยในบทวิเคราะห์&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ชาวอเมริกันมีแนวโน้มเป็นหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งมูลค่ายังสูงกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขาเสียอีก ในปี 1992 ค่าเฉลี่ยหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาหลังปรับค่าเงินเฟ้อแล้วอยู่ที่ราว 6,000-7,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน แต่ในปี 2022 ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 25-29 ปีเป็นหนี้การศึกษาเฉลี่ยคนละ 16,000 เหรียญ ส่วนผู้ใหญ่อายุระหว่าง 30-34 เป็นหนี้การศึกษาเฉลี่ยคนละ 20,000 เหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;รายงานของ Pew อ้างอิงจากการสำรวจในสองกลุ่มตัวอย่างเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว กลุ่มแรกคือตัวแทนพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกาที่มีลูกอายุระหว่าง 18-34 ปี ส่วนกลุ่มที่สองคือผู้ใหญ่ในช่วงอายุเดียวกันที่พ่อหรือแม่ยังมีชีวิตอยู่ โตแล้วก็ยังเต็มใจเลี้ยง&nbsp; &nbsp;&nbsp;ความช่วยเหลือทางการเงินมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะให้ฟรีๆ หรือเป็นการลดราคาก็ดี&nbsp; &nbsp;&nbsp;Pew พบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่อายุระหว่าง 18-34 ปียังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ โดย 57% เป็นผู้ที่มีอายุ 18-24 ปี ตามด้วย 21% ในกลุ่มอายุ 25-29 ปี และ 11% ในกลุ่มอายุ 30-34 ปี&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในบรรดาผู้ที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่นั้น ราว 72% กล่าวว่าพวกเขามีส่วนร่วมแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในบ้านอย่างน้อยก็ทางหนึ่ง ส่วน 65% บอกว่าพวกเขาช่วยจ่ายค่าของอุปโภคบริโภค และ 46% เผยว่าพวกเขาช่วยจ่ายค่าเช่าหรือค่าผ่อนบ้าน&nbsp; &nbsp;&nbsp;ประเด็นต่อมาคือคนกลุ่มชาติพันธุ์ใดที่มีแนวโน้มอยู่กับพ่อแม่มากที่สุด นักวิจัยของ Pew ไม่พบความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มช่วงอายุ 18-24 ปี แต่สำหรับกลุ่มอายุ 25 ปีขึ้นไป ชาวละตินอเมริกาและผิวดำมีแนวโน้มสูงกว่าชาวผิวขาวและเอเชียน&nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ 64% ของผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่ยังอยู่กับผู้ปกครองเผยว่า การทำเช่นนี้มีผลเชิงบวกต่อสถานะทางการเงินส่วนตัวของพวกเขา และว่ากันตามตรง บรรดาพ่อแม่เองก็ไม่ได้ข้องใจอะไรกับสถานการณ์แบบนี้ โดย 45% ของพ่อแม่ผู้ปกครองเผยว่าการอยู่อาศัยร่วมกันดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับลูกๆ ในขณะที่ 29% บอกว่าเป็นผลดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พ่อแม่ช่วยจ่าย&nbsp; &nbsp;&nbsp;พ่อแม่ 59% เผยว่าพวกเขาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายแก่ลูกๆ ที่โตแล้วในปีที่ผ่านมา ส่วนฝั่งลูกๆ 44% บอกว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อแม่ในช่วงเวลาเดียวกัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในจำนวน 44% นั้น ส่วนใหญ่หรือก็คือ 68% อายุระหว่าง 18-24 ปี ทั้งนี้ 30% ที่อายุระหว่าง 30-34 ปีก็ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากพ่อแม่เช่นกัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;เมื่อคำนวณรวมจากทุกกลุ่มอายุ รายการที่พ่อแม่คอยให้ความช่วยเหลือมากที่สุดจะเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน (28%) ตามด้วยค่าโทรศัพท์มือถือและสมาชิกสตรีมมิง (25%) ที่พบน้อยคือค่าเช่าบ้าน (17%) ค่ารักษาพยาบาล (15%) และค่าเล่าเรียน (11%) ผลจากการให้เงินลูก&nbsp; &nbsp;&nbsp;การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลูกๆ ทำให้พ่อแม่ทั้งหลายรู้สึกดีกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา แต่หากเจาะจงลงไปยังผลกระทบที่สำคัญที่สุด ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนั้นหลากหลายทีเดียว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในบรรดาผู้ปกครองที่ลูกยังอยู่ด้วยกันที่บ้านนั้น มีเพียง 18% ที่บอกว่าได้รับผลเสีย ส่วน 27% บอกว่าได้รับผลดี ในขณะที่ส่วนใหญ่คือราว 55% เผยว่าผลกระทบนั้นไม่ดีไม่แย่&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม 36% ของพ่อแม่ที่ช่วยเหลือลูกๆ ด้านการเงินในปีที่ผ่านมากล่าวว่า การทำเช่นนั้นกระทบการเงินของพวกเขาเอง “อย่างน้อยก็นิดหนึ่ง” โดยเฉพาะกลุ่มพ่อแม่ที่มีรายได้น้อย ลูกๆ ก็ช่วยจ่ายเหมือนกัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ผู้ใหญ่รุ่นใหม่ 33% ได้ช่วยเหลือทางการเงินแก่พ่อแม่ในปีที่ผ่านมา โดยพ่อแม่ 14% เผยว่าได้รับความช่วยเหลือจากลูกๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ลูกๆ ที่มีรายได้น้อย (43%) มีแนวโน้มให้การสนับสนุนเรื่องเงินแก่พ่อแม่มากกว่ากลุ่มรายได้ปานกลาง (28%) หรือรายได้สูง (19%)” รายงานของ Pew เผย โดยในทางกลับกัน พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยก็มีสัดส่วนได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากลูกๆ มากกว่ากลุ่มรายได้ปานกลางและรายได้สูงเช่นกัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับเงินสนับสนุนที่พ่อแม่ได้รับนั้นมาจาก โอกาสพิเศษ (38%) ได้รับเป็นประจำ (31%) และทั้งสองกรณี (30%) แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://edition.cnn.com/2024/01/25/success/parenting-adult-children-living-home/index.html" alt="Many parents say they are still financially subsidizing their adult children">Many parents say they are still financially subsidizing their adult children</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/global-world/5-ways-henry-behavior-high-income-no-money-left-to-save" alt="5 วิธีรับมือพฤติกรรม HENRY &quot;กินหรู อยู่สบาย&quot; รายได้สูง แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บ">5 วิธีรับมือพฤติกรรม HENRY "กินหรู อยู่สบาย" รายได้สูง แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โตแล้วก็ยังเลี้ยง! ผลวิจัยเผยพ่อแม่ส่วนใหญ่ยินดีช่วยค่าใช้จ่าย แม้ลูกจะโตแล้วก็ตาม 

5 วิธีรับมือพฤติกรรม HENRY "กินหรู อยู่สบาย" รายได้สูง แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บ

<h2>เราพิจารณาจากนักศึกษาที่มีภาระหนี้สินจำนวนน้อย ได้รับเงินเดือนหลังเรียนจบสูงอัตราสำเร็จการศึกษาสูง ประสบความสำเร็จในอาชีพและนักศึกษามีความพึงพอใจในสถาบันการศึกษา สำหรับรายชื่อฉบับเต็ม 650 สถาบัน สามารถอ่านได้ที่ forbes.com/top-colleges</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-2165" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/01.jpg" alt="" width="250" height="173" />
อันดับ 1
HARVARD UNIVERSITY

สถานที่ตั้ง: Cambridge, MA
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 9,915
ค่าใช้จ่ายรายปี: $69,600
อัตราการรับนักศึกษา: 5%

<img class="alignnone size-full wp-image-2166" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/02.jpg" alt="" width="250" height="526" />
อันดับ 2
YALE UNIVERSITY
สถานที่ตั้ง: New Haven, CT
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 5,472
ค่าใช้จ่ายรายปี: $71,290
อัตราการรับนักศึกษา: 6%

<img class="alignnone size-full wp-image-2167" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/03.jpg" alt="" width="250" height="462" />
อันดับ 3
STANFORD UNIVERSITY
สถานที่ตั้ง: Stanford, CA
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 7,034
ค่าใช้จ่ายรายปี: $69,109
อัตราการรับนักศึกษา: 5%

<img class="alignnone size-full wp-image-2168" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/04.jpg" alt="" width="250" height="414" />
อันดับ 4
MASSACHUSETTS INSTITUTE OF TECHNOLOGY
สถานที่ตั้ง: Cambridge, MA
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 4,524
ค่าใช้จ่ายรายปี: $67,430
อัตราการรับนักศึกษา: 8%

<img class="alignnone size-full wp-image-2169" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/05.jpg" alt="" width="250" height="340" />
อันดับ 5
PRINCETON UNIVERSITY
สถานที่ตั้ง: Princeton, NJ
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 5,400
ค่าใช้จ่ายรายปี: $66,150
อัตราการรับนักศึกษา: 7%

<img class="alignnone size-full wp-image-2170" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/06.jpg" alt="" width="250" height="514" />
อันดับ 6
CALIFORNIA INSTITUTE OF TECHNOLOGY
สถานที่ตั้ง: Pasadena, CA
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 979
ค่าใช้จ่ายรายปี: $68,901
อัตราการรับนักศึกษา: 8%

<img class="alignnone size-full wp-image-2171" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/07.jpg" alt="" width="250" height="517" />
อันดับ 7
UNIVERSITY OF PENNSYLVANIA
สถานที่ตั้ง: Philadelphia, PA
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 11,716
ค่าใช้จ่ายรายปี: $71,715
อัตราการรับนักศึกษา:  9%

<img class="alignnone size-full wp-image-2172" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/08.jpg" alt="" width="250" height="363" />
อันดับ 8
BROWN UNIVERSITY
สถานที่ตั้ง: Providence, RI
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 6,926
ค่าใช้จ่ายรายปี: $71,050
อัตราการรับนักศึกษา: 9%

<img class="alignnone size-full wp-image-2173" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/09.jpg" alt="" width="350" height="398" />
อันดับ 9
DARTMOUTH COLLEGE
สถานที่ตั้ง: Hanover, NH
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 4,310
ค่าใช้จ่ายรายปี: $71,827
อัตราการรับนักศึกษา: 11%

<img class="alignnone size-full wp-image-2174" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/010.jpg" alt="" width="250" height="355" />
อันดับ 10
DUKE UNIVERSITY
สถานที่ตั้ง: Durham, NC
จำนวนนักศึกษาลงทะเบียน: 6,609
ค่าใช้จ่ายรายปี: $71,764
อัตราการรับนักศึกษา: 11%

<hr />

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX">คลิกอ่านครบทุกเรื่องราวจาก  "BANGKOK 2025 &amp; BEYOND NEW NODES, NEW URBANISM" ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018</a>

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX"><img class="alignnone wp-image-2100 size-medium" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/forbeslife-thailand--252x300.jpg" alt="" width="252" height="300" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events