กลายเป็นประเด็นเดือดไปทั่วโลก หลังเมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากหลายประเทศทั้งในยุโรป แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก สูดสุดในรอบ 100 ปี พาตลาดหุ้นนานาประเทศผันผวนหนักและราคาทองคำพุ่งแรง แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ก็กำลังเตรียมปรับตัวขึ้นตามเช่นกัน
ประเทศที่นับได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญคงไม่พ้นจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มหาศาลในแต่ละปี การที่ Trump เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราสูงถึง 54% และจีนก็ประกาศตอบโต้จึงนับเป็นการเปิดฉากสงครามการค้าอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าต่างๆ ในหลากหลายหมวดหมู่
อย่างไรก็ตาม นอกจากจีนแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องเตรียมรับแรงกระแทกจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ มาดูกันว่าสินค้าใดและจากประเทศไหนบ้างที่มีแนวโน้มราคาพุ่งแรงหลังการขึ้นภาษีของ Trump ซึ่งแน่นอนว่ามีไทยรวมอยู่ด้วย
หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
• กาแฟ: กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) เผยว่าราว 80% ของกาแฟที่สหรัฐฯ นำเข้ามาจากละตินอเมริกา โดยเฉพาะบราซิลและโคลอมเบีย ซึ่งทั้งสองประเทศดังกล่าวต่างก็ต้องเผชิญอัตราภาษี 10%
• โกโก้: เมล็ดโกโก้คือวัตถุดิบหลักในการผลิตช็อกโกแลต ซึ่งส่วนใหญ่สหรัฐฯ นำเข้าจากเอกวาดอร์ที่โดนภาษีนำเข้า 21% และกานาที่โดนภาษีนำเข้า 10% ในขณะที่อีกส่วนผสมสำคัญอย่างเนยโกโก้ มีการนำเข้าจากอินโดนีเซียที่โดนภาษีนำเข้า 32% และมาเลเซียที่โดนภาษีนำเข้า 24%
• น้ำมันมะกอก: สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันมะกอกจากสหภาพยุโรป โดยผู้ผลิตหลักได้แก่ สเปน อิตาลี และกรีซ นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าจากตุรกีและอาร์เจนตินาที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าประเทศละ 10%
• น้ำตาล: จากการคาดคะเนโดย USDA ส่วนใหญ่มีการนำเข้าจากโดมินิกัน (17%), บราซิล (14%) และฟิลิปปินส์ (13%) ซึ่งทั้งโดมินิกันและบราซิลต่างถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 10% ในขณะที่ฟิลิปปินส์ถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 17%
• ข้าว: สหรัฐฯ นำเข้าข้าวกว่า 60% จากไทย อินเดีย และปากีสถาน ซึ่งไทยต้องเผชิญอัตราภาษีสูงถึง 37% ในขณะที่ปากีสถานเผชิญอัตราภาษี 29%
• ไวน์: ในปี 2021 ฝรั่งเศสและอิตาลีคือผู้ส่งออกไวน์ไปยังสหรัฐฯ รายใหญ่ ซึ่งจากข่าวล่าสุด ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปต่างก็ต้องโดนภาษีนำเข้าในอัตรา 20% ทั้งนี้สหราชอาณาจักร นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอาร์เจนตินาต่างก็มีการส่งออกไวน์มายังสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยต่างก็ต้องเผชิญภาษีนำเข้าประเทศละ 10%
• สก๊อตช์ วิสกี้: อีกหนึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เตรียมขึ้นราคา โดยมีแหล่งผลิตอยู่ในสหราชอาณาจักรซึ่งโดนอัตราภาษี 10% ทำให้ทางสมาคมสก๊อตช์ วิสกี้ต้องออกแถลงการณ์ซึ่งมีเนื้อหาแสดงความผิดหวังกับการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้
หมวดเสื้อผ้าและเครื่องใช้ต่างๆ
• รองเท้า: คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USITC) ประเมินว่า 37% ของรองเท้าที่สหรัฐฯ นำเข้าในปี 2023 มาจากจีน ซึ่งทาง Trump ประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตรา 54% และเมื่อเร็วๆ นี้ยังขู่จะเรียกเก็บเพิ่มอีกหากจีนไม่ยอมอ่อนข้อ
• เสื้อผ้า: นับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2023 จีนคือผู้ส่งออกเสื้อผ้ารายใหญ่มายังสหรัฐฯ นอกเหนือจากนี้ยังมีบังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน กัมพูชา และอินโดนีเซียที่ส่งออกเสื้อผ้าจำนวนมหาศาลเช่นกัน โดยทั้ง 4 ประเทศต่างก็โดนภาษีที่อัตรา 37%, 26%, 29%, 49% และ 32% ตามลำดับ
• เครื่องประดับ: กระทั่งสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเครื่องประดับและอัญมณีก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน อินเดียคือประเทศที่ส่งออกสินค้าประเภทนี้มายังสหรัฐฯ มากถึง 30.4% และเป็นประเทศที่โดนภาษีในครั้งนี้ 26%
• เฟอร์นิเจอร์: สมาคมเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านสหรัฐฯ (HFA) เผยนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ 29% จากจีน ซึ่งมีการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 54% และรองลงมาคือเวียดนามที่นำเข้า 26.5% ซึ่งโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 46%
• ของเล่น: Mattel บริษัทของเล่นรายใหญ่เจ้าของ Barbie และ Hot Wheels มีการผลิตสินค้าราว 40% ในจีน อีกทั้งทางสมาคมของเล่นยังเผยกับ Forbes ว่าของเล่นในสหรัฐฯ ประมาณ 80% นั้นนำเข้ามาจากจีน การขึ้นภาษีในครั้งนี้จึงย่อมจะส่งผลต่อราคาของเล่นไม่น้อย
หมวดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
• Apple: นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงิน Rosenblatt Securities มองว่าแบรนด์ไอทีขวัญใจชาวโลกอย่าง Apple อาจต้องขึ้นราคาผลิตภัณฑ์หลายอย่างเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพราะบริษัทฯ มีฐานการผลิตสำคัญในจีน โดยคาดว่าราคา iPhone และ Apple Watch อาจเพิ่มขึ้น 43%, ราคา iPad เพิ่มขึ้น 42% ส่วนราคา Airpods และคอมพิวเตอร์ Mac เพิ่มขึ้น 39%
• อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: ไม่ใช่แค่ Apple แต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด เมมโมรี่การ์ด ฮาร์ดดิสก์ ไปจนถึงมือถือส่วนใหญ่ก็มีการนำเข้าจากจีน รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีใต้ และเยอรมนี
• รถยนต์และอะไหล่: บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ Anderson Economic Group เผยกับ Forbes ว่าลูกค้าชาวอเมริกันอาจต้องเสียเงินซื้อรถยนต์ระดับล่างเพิ่มขึ้น 2,000 - 5,000 เหรียญสหรัฐฯ และบางรุ่นอาจต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าเดิมถึง 20,000 เหรียญสหรัฐฯ โดยผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษอย่าง Jaguar Land Rover กล่าวว่าจะหยุดส่งออกรถยนต์มายังสหรัฐฯ หลังพิจารณาเรื่องภาษีของ Trump อย่างถี่ถ้วนแล้ว
ยาและเวชภัณฑ์คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยกเว้นจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ของ Trump อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เขาได้ประกาศว่าจะขึ้นภาษียาและเวชภัณฑ์อย่างน้อย 25% แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังไม่ชัดเจนว่าราคายาจะได้รับผลกระทบจากภาษีโดยตรงหรือไม่
นอกจากนี้ หากโฟกัสไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดาซึ่งมีการผลิตและส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ ไม่น้อย โดยต่างก็โดนภาษีกันไปประเทศละ 25% ทำให้สินค้าต่างๆ จากทั้งสองประเทศนี้ มีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเป็นปริมาณมหาศาลในแต่ละปี ได้แก่
• เนื้อสัตว์และอาหาร: แคนาดาคือผู้ส่งออกเนื้อสัตว์รายใหญ่มายังสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญในปี 2023 ส่วนสินค้าอาหารอื่นๆ ที่สหรัฐฯ นำเข้าจากอเมริกา ได้แก่ เนื้อหมู ธัญพืช อาหารสัตว์ และเมล็ดพืชน้ำมัน
• ผักและผลไม้: 88% ของอะโวคาโดที่สหรัฐฯ นำเข้าระหว่างปี 2019 ถึง 2021 มาจากเม็กซิโก นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ อย่างสตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และมะเขือเทศซึ่งมีมูลค่ารวมกันถึง 4.5 หมื่นล้านเหรียญ ณ ปี 2023 อ้างอิงจากรายงานของ USDA
• เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เตกีล่าคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของสินค้าการเกษตรนำเข้าจากเม็กซิโก สหรัฐฯ ยังนำเข้าเบียร์จากเม็กซิโกมากถึง 81% แบรนด์ที่นิยม อาทิ Pacifico, Corona และ Modelo นอกจากนี้กลุ่มการค้าในแคนาดาและสมาคมผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สหรัฐฯ ยังเตือนว่าราคาเบอร์เบิน เทนเนสซีวิสกี้ และแคนาเดียนวิสกี้ ก็มีแนวโน้มแพงขึ้นจากอัตราภาษีด้วยเช่นกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลแคนาดาก็ได้ออกมาเตือนว่าอัตราภาษีอาจทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์นม ชีส และไข่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคาเสื้อผ้าฤดูหนาว เครื่องแก้ว และอุปกรณ์ทำครัวอย่างเตาอบ เตาทำอาหาร และไมโครเวฟ
แต่ดูเหมือนสงครามการค้าจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ สุดท้ายต้องรอดูว่ารัฐบาลแต่ละประเทศจะเจรจากับพ่อใหญ่ Trump อย่างไร หรือ Trump เองจะปรับนโยบายของตัวเองหรือไม่ เพื่อไม่ให้ ‘คนอเมริกัน’ เป็นผู้ได้รับผลกระทบเสียเอง
แปลและเรียบเรียงจาก Here’s What Will Cost More After Trump’s Tariffs: Coffee, Cars—And Possibly A $2,300 iPhone
ภาพ: AFP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าฯ แรงเกินคาด! ทำทองพุ่ง - ไทยโดน 37% เสี่ยง GDP โตต่ำ 2% หลังจากนี้รัฐบาลรับมืออย่างไร
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine