<h2>บริษัทอาหารระดับโลกยกระดับความจริงจังในการลดการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่าครบวงจรของพวกเขา แม้ว่าหลายองค์กรจะกำลังดิ้นรนอยู่ก็ตาม PepsiCo คือตัวอย่างหนึ่ง จากข่าวบนเว็บไซต์ New York Times บริษัทดังกล่าวตั้งเป้าสุดทะเยอทะยาน กระนั้นรายงานในปี 2022 ของ PepsiCo เผยว่าการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตกลับสูงขึ้นจากพื้นฐานที่วางไว้ 7% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปริมาณการปล่อยคาร์บอนส่วนใหญ่ซึ่งมักจะมากกว่า 90% มาจากการปล่อยคาร์บอนประเภท Scope 3 หรือทางอ้อมเหนือการควบคุมของบริษัท โดยมาจากผู้จัดหาทรัพยากรแก่บริษัทและคู่ค้าฝ่ายผลิตตามสัญญาธุรกิจ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรกรคือผู้จัดหาหลัก หากเกษตรกรไม่ทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนกว่านี้ บริษัทอาหารรายใหญ่ต่างๆ คนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนลงได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่สหรัฐอเมริกา ภาคเกษตรกรรมมีส่วน 11% ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการใช้งานอุปกรณ์ทำฟาร์ม ใช้ปุ๋ยที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ ยาฆ่าแมลง และการไถพรวน ดังนั้นแม้ยังไม่มีวิธีการขจัดก๊าซเรือนกระจกที่ตรงจุดในแวดวงการเกษตร ก็มีหลายสิ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกพืชพรรณธัญญาหารเหล่านี้สามารถทำเพื่อบรรเทาปริมาณคาร์บอนลงได้บ้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วิธีการหนึ่งที่แนะนำให้ทำเป็นอย่างยิ่งคือเกษตรกรควรเปลี่ยนมายกเลิกการไถพรวนเสีย เมื่อดินถูกไถพรวนจะเกิดการปล่อยก๊าซมีเทนจากพืชในดินที่ถูกตัด การไถพรวนยังรวมถึงการพลิกหน้าดินลึก 6-10 นิ้วก่อนเพาะปลูก หากยกเลิกการกระทำนี้จะได้ไม่เป็นการรบกวนดินและลดความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พื้นที่ปราศจากการไถพรวนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ด้วยผลกระทบระยะยาวของการทำฟาร์มอย่างหนักเพื่อผลผลิตจำนวนมากไม่ดีต่อดิน ทว่าเกษตรกรก็ประสบปัญหาค่าตอบแทนตกลงในสองปีแรกหลังเลิกไถพรวนเช่นกัน ต้องมีสิ่งกระตุ้นในพวกเขาเลิกไถพรวนโดยถาวร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทที่กำลังมองหาวิธีลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้โดยการซื้อคาร์บอนเครดิต ตลาดคาร์บอนคือเครื่องมือใหม่มาแรงช่วยจูงใจเกษตรกรให้เปลี่ยนมาทำฟาร์มอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดคาร์บอนสำหรับเกษตรกร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อบริษัทหนึ่งหลีกเลี่ยง ลด หรือดักจับคาร์บอนได้มากกว่าที่สร้างมันขึ้นมา ถือว่าบริษัทนั้นได้ทำการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) การชดเชยเหล่านี้มีมูลค่าต่อบริษัทที่ไม่สามารถเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ตลาดคาร์บอนอำนวยความสะดวกในการซื้อขายเครดิตการชดเชยคาร์บอนเหล่านี้แก่ผู้ที่ต้องการ โดยเครดิตจะเป็นตัวแทนการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีสิ่งจูงใจจากตลาดคาร์บอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในตลาดเหล่านั้นคือ Truterra ซึ่งแยกย่อยมาจาก Land o,Lakes บริษัทอาหารเช่น Campbells และ Nestle Purina ปรากฏชื่อเป็นผู้เข้าร่วมบนเว็บไซต์ Truterra เผยว่าโปรแกรมของพวกเขาจ่ายเงิน 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่บรรดาเกษตรกรเพื่อคาร์บอน 200,000 ตันในปี 2021 การซื้อขายมีตั้งแต่ราคาเฉลี่ยที่ 20,000 เหรียญไปจนสูงถึง 100,000 เหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Indigo AG เป็นอีกหนึ่งตลาด มีเกษตรกรมากกว่า 2,500 รายและพื้นที่ 5.5 ล้านเอเคอร์เข้าร่วม ช่วยสร้างคาร์บอนเครดิตราว 133,000 เครดิต การตรวจสอบอนุมัติคาร์บอนเหล่านั้นลดลงจริงหรือไม่เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้บริษัทอาหารและผู้ค้าปลีกรายใหญ่มาซื้อเครดิต ที่ Indigo มีการเก็บตัวอย่างดินและข้อมูลการดำเนินงานทุกอย่างของแต่ละฟาร์ม วิธีแบบไฮบริดในการตรวจวัดและสร้างแบบจำลองถูกนำมาใช้เพื่อวัดปริมาณการปล่อยก๊าซ ตัวเลขและการคำนวณต่างๆ ถูกตรวจสอบโดยองค์กรภายนอก Climate Action Reserve&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Trimble บริษัทเทคโนโลยีที่เสนอแนวทางแก่อุตสาหกรรมการเกษตรและการคมนาคม ได้ทำการช่วยเหลือชี้นำเกษตรกรสู่ตลาดคาร์บอนมาราว 15 ปีแล้ว “ของแบบนี้ยังเป็นเรื่องใหม่มากในสหรัฐฯ” Darryl Matthews รองประธานอาวุโสฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติของทางบริษัทกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Trimble ยึดมาตรการด้านเกษตรกรรมซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของพวกเขาลง มีการเก็บสะสมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อพาเกษตรกรดำเนินการตามมาตรการได้อย่างถูกต้อง สร้างตัวเลขคาร์บอนเครดิตที่แน่นอนอิงจากพื้นที่แต่ละเอเคอร์พร้อมด้วยปัจจัยอื่นๆ ผ่านซอฟต์แวร์ที่มีโปรแกรมเสริมเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนคาร์บอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวกเขารวบรวมเครดิตเหล่านั้นและขายมันในตลาดแลกเปลี่ยนคาร์บอน ท้ายสุดก็เกิดเป็นกระแสรายได้ซึ่งจะจ่ายคืนแก่เกษตรกร จนตอนนี้ Trimble จ่ายเงินแก่พวกเขารวมกว่า 50 ล้านเหรียญแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่าตลาดคาร์บอนก็มีปัญหาเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีข้อวิตกกังวลมากมายเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนทางการเกษตร หนึ่งเลยคือความแม่นยำในการประเมินการนำออกคาร์บอกออกจากดิน คาร์บอนที่สะสมในดินมีปริมาณต่างกันขึ้นกับองค์ประกอบ สภาพภูมิศาสตร์ และความลึก ไหนจะยังขาดแคลนข้อมูลตัวอย่างแบบสุ่มจากแต่ละช่วงเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Giana Amador ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการนโยบายแห่ง Carbon180 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า “การเก็บตัวอย่างดินลึกหนึ่งเมตรบนพื้นที่ร้อยหรือพันเอเคอร์เป็นเรื่องยากจริงๆ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลายสิบมาตรการถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างเครดิตจากดินในพื้นที่การเกษตร ซึ่งล้วนแล้วแต่ต่างกันอย่างมากขึ้นกับว่าต้องใช้ตัวอย่างดินมากแค่ไหน (หรือบางครั้งก็ต้องการทั้งหมด) Amador ชี้ว่าการประเมินคาร์บอนในดินอย่างแม่นยำนั้น จำเป็นต้องมีตัวอย่างหน้าดินที่ครบครันที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกปัญหาไม่พ้นข้อเท็จจริงว่า การซื้อขายการชดเชยคาร์บอนเป็นไปบนความหวังที่คาร์บอนจะถูกกักเก็บไว้หลายสิบปี แต่เกษตรกรต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินของพวกเขาในแต่ละปี หากคุณไม่ไถพรวนดินสักปี แต่ปีหน้าก็กลับไปไถพรวนอย่างหนัก คาร์บอนไดออนไซด์ก็จะถูกปล่อยออกมาทำให้ไม่มีการกักเก็บคาร์บอนไว้อีกต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Indigo พวกเขาแก้ความไม่แน่นอนตรงนี้ด้วยการเทเครดิตต่างๆ รวมกันและเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นหลักประกันหากเกษตรกรจะหวนกลับไปทำฟาร์มแบบเดิมในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามปัญหาการลดคาร์บอนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ยังหาแนวทางแก้ไขที่ทรงพลังตรงจุดไม่ได้ กระทั่งคาร์บอนเครดิตซึ่งดูมีความหวังก็ยังไม่อาจสลัดซึ่งความกังวล ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางออกอย่างจริงจังต่อไป &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Reducing Emissions In The Food &amp; Beverage Industry Requires Farmers To Make Progress ซึ่งเผยแพร่บน Forbes&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;​<a href="https://forbesthailand.com/preview/71368" alt="ก้าวใหม่ในวันไร้ทายาท Studio Ghibli ประกาศขายแก่ Nippon TV" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">ก้าวใหม่ในวันไร้ทายาท Studio Ghibli ประกาศขายแก่ Nippon TV</a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน

<h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความกังวลกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโลกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเร่งวางระเบียบโลกใหม่ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยประเทศไทยเองได้วางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และจะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608 ซึ่งเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันสังคมโลกและไทยตื่นตัวในเรื่องก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น โดยจากผลสำรวจ 500 บริษัทในสหรัฐอเมริกาพบว่า บริษัทจำนวน 88% ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน และ 73% เชื่อว่าแนวคิดเรื่องความยั่งยืน (Environmental, Social, and Corporate Governance หรือ ESG) ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาว สำหรับบริษัทไทย 92% จากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 800 บริษัทมีนโยบายเรื่องความยั่งยืน และมีการวางแผนธุรกิจ กลยุทธ์ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ที่สอดรับกับความยั่งยืนรวมถึงทิศทางของการลงทุนในตลาดเงิน ตลาดทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ข้อมูลกองทุนการเงินทั่วโลกกว่า 5,000 กองทุนมีการลงทุนในหุ้นยั่งยืน คิดเป็นมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของกองทุนต่างๆ รวมมูลค่ามากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำดัชนีหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) ซึ่งจากจำนวน 169 บริษัท มี 118 บริษัทที่ดำเนินการเรื่องความยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โอกาสของตลาดคาร์บอนเครดิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบริษัทที่ดำเนินการเรื่องความยั่งยืนไม่ได้ส่งผลเพื่อโลกและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อกำไรของบริษัทที่ดีขึ้นจากการลดของเสีย (waste) การประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และเป็นโอกาสทางธุรกิจด้วย เพราะจากข้อกำหนดเรื่อง Net Zero Emissions ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วตื่นตัวเรื่องการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีพัฒนาการจากข้อกำหนดที่ว่ามาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นตลาดแลกเปลี่ยน “คาร์บอนเครดิต” ขึ้นระหว่างภาคธุรกิจกันเองและระหว่างประเทศผลจากความตื่นตัวที่มีมากขึ้นนั้นทำให้เกิดการผลักดันมาจากหลายทาง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้กำหนดแผนการทำงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว เกิดเป็น “European Green Deal” และมาตรการล่าสุดที่กำลังจะนำมาใช้คือมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป กำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภทเพื่อคัดกรองและป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือน-กระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป European Union (EU) สำหรับอุตสาหกรรมกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเริ่มรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเดือนตุลาคมนี้ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็ก อะลูมิเนียม และพลังงาน เป็นต้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2566 ประเทศไทยมีการตื่นตัวเรื่องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น โดยมีบริษัทใหญ่ๆ เข้ามาร่วม และคาดว่ามีความต้องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตไม่ต่ำกว่า 14 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วง 4-5 ปีก่อน ที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันเท่านั้น โดยปัจจุบันในไทยมีโครงการเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต 144 โครงการ มีบริษัทที่เป็นเจ้าของ 108 บริษัท คาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตอยู่ที่ 128 ล้านบาท จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ลงนามซื้อขายคาร์บอนเครดิตในนามรัฐบาลต่อรัฐบาลกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในโครงการ EV Bus เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แรงกดดันต่อธุรกิจไทยรุนแรงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดคาร์บอนเครดิตในภาพใหญ่นั้นมีอยู่ 2 ตลาด คือ ตลาดภาคบังคับ ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และตลาดภาคสมัครใจ โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มตลาดภาคสมัครใจ ที่แม้จะไม่มีบทลงโทษออกมา แต่ปัจจุบันธุรกิจไทยเองก็ต้องเจอแรงกดดันในหลายมิติ ด้าน Wave BCG ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจรให้ข้อมูลว่า แรงกดดันระดับแรกนั้นเป็นแรงกดดันระหว่างประเทศจากการที่ไทยไปมีข้อตกลงระหว่างประเทศไว้แล้ว ซึ่งหากไทยไม่เดินหน้าก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์ในสายตาชาวโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแรงกดดันระดับที่สอง มีความชัดเจนแล้วว่า CBAM จะเปิดตัวในเดือนตุลาคมปีนี้ แม้ระยะแรกที่จะดำเนินการคือการเก็บข้อมูล แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สำหรับสินค้าส่งออกไป EU จะมีข้อกำหนดมาตรฐานการส่งคาร์บอนต่อชิ้น ซึ่งหากสินค้าใดเกินค่ามาตรฐานก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดจากราคาตลาดคาร์บอนใน EU ซึ่งมีราคาสูงกว่าไทย และไม่ใช่เพียงแค่ใน EU เท่านั้น หลายๆ ประเทศก็จะมีมาตรการที่คล้ายคลึงกันนี้มากขึ้น รวมถึง carbon tax ซึ่งในอนาคตไทยเองก็จะมีเรื่องนี้เช่นกันแต่ในเวลานี้เองไทยก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่มากขึ้นแล้ว เช่น อันดับบัญชีผู้ค้า vendor list ลดลง จากการที่คู่ค้าต่างประเทศหลายรายเริ่มมีการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันมากขึ้น ธุรกิจไทยที่เป็นซัปพลายเชนก็อาจได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ ด้านการลงทุน กองทุนต่างประเทศหลายกองทุนเริ่มคำนึงถึงคะแนนด้าน ESG หากไม่แข็งแกร่งพอกองทุนดังกล่าวก็ไม่สามารถลงทุนในบริษัทนั้นๆ ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนแรงกดดันระดับที่สามเป็นแรงกดดันจากภายในประเทศเอง ที่ในปัจจุบันหลายหน่วยงานในไทย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มมีการกำหนดให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการวางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมด้าน ESG เรื่องเหล่านี้ยังเป็นภาคสมัครใจ แต่หากมองไปในอนาคต กรณียังไม่มีความคืบหน้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าตลาดจะยกระดับสู่ภาคบังคับเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ประเทศได้ไปสัญญาไว้ หากมองกันตามความเป็นจริงแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากในอนาคต องค์กรและภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็วเสียแต่วันนี้ เพื่อก้าวข้ามความท้าทายไปสู่โอกาสภายใต้กฎระเบียบโลกใหม่ <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/fBfyAsrFuJbtA6w3ZaEY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="fBfyAsrFuJbtA6w3ZaEY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="941,479" style="" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70697" alt="วราวิช ฉิมตะวัน PLT โตฝ่าคลืนทะเลไทย">วราวิช ฉิมตะวัน PLT โตฝ่าคลืนทะเลไทย</a> <a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/259ea8b5-e863-4fe9-afd6-8640148d07e2/june-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="179px,235px" data-rotate="" data-index="2" style="width: 179px; height: 235px;"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;

“คาร์บอนเครดิต” ความท้าทายใหม่ภาคธุรกิจไทย

<h2>ท่ามกลางสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ที่ถือเป็นภัยธรรมชาติอย่างหนึ่งที่คนทั่วโลกตืนตัว จนนำไปสู่ความตกลงปารีส (Paris Agreement) กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งไทยเป็นหนึ่งใน 197 ประเทศที่ลงนามในสัญญาครั้งนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกล่าสุด ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) ครั้งที่ 27 หรือ COP 27 ย้ำถึงความพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียล ขณะที่ภาคธุรกิจมีการปรับตัวอย่างคึกคัก และนำไปสู่โมเดลธุรกิจในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ที่คาดว่าจะเป็นแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE นำโดย เจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร (Carbon Credit และ Renewable Energy Certificate หรือ RECs) โดยเป็นตัวกลางการซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้คำปรึกษาและวางแผนด้านคาร์บอนเครดิต ทำหน้าที่ในการจัดหาทรัพยากร ที่มีใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย Carbon Credit และ RECs&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับธุรกิจใหม่ด้าน Carbon Credits/ RECs ของ WAVE ดำเนินการภายใต้ บริษัท เวฟ บีซีจี ซึ่งเป็นบริษัทลูก มีโมเดลให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ทั้งการให้คำปรึกษา สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย ที่ต้องการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิต แบบ One Stop Service การเป็นผู้พัฒนาและผู้ประเมินโครงการลดคาร์บอนเครดิต (V/VB) การศึกษาและจัดหาคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงการรับรองการผลิตพลัง งานสะอาด (RECs) เพื่อขายในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เป้าหมายของบริษัท ต้องการเป็นผู้นำการถือครองคาร์บอนเครดิตในปริมาณที่สูงที่สุดในประเทศไทยและในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เจมส์กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/XpLFMTTmYKbetbaA6JqE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XpLFMTTmYKbetbaA6JqE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="300,432" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ เป็นลูกครึ่งไทย – ออสเตรเลีย ที่มีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษามากว่า 8 ปี ทั้งที่ Baker Tilly PwC และ Deloitte Digital (Australia) โดยเฉพาะในด้านการวางกลยุทธ์และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านบุคลากรและกระบวนการการทำงานให้กับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ ด้วยองค์ความรู้และกลยุทธ์ในด้านต่างๆ ทั้ง LEAN KAIZEN Workshop การผสผสานด้านวัฒนธรรม และการออกแบบทางความคิด (Design Thinking)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอของ WAVE ในปี 2022 ได้ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจใหม่ และหนึ่งในนั้น คือ WAVE BCG บริษัทให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ตลาดมีความต้องการสูง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีอีโอ WAVE กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดในประเทศไทย มีความต้องการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs สูงถึง 100 ล้านตันต่อปี แต่มีการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. เพียง 7 ล้านตัน ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของตลาดภาคสมัครใจ หรือ Voluntary Markets มีแนวโน้มเติบโต 15 เท่าในปี 2573 และ 100 เท่าในปี 2593 ส่วนตลาดภาคบังคับ หรือ Compliance Market ตามตัวเลขของสหภาพยุโรป หรือ EU มีปริมาณการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs สูงถึง 36% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีการปล่อยออกมา เมื่อเทียบกับประเทศไทยมีปริมาณการซื้อขายเพียง 0.3% จึงมีโอกาสเติบโตได้สูงได้อีกมาก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/MtTReSAxkDu76cxdaRTP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="MtTReSAxkDu76cxdaRTP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="650,433" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตปรับตัวขึ้นสูงถึง 410% จากปี 2561 อยู่ที่ 21 บาท/ตัน และในปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 107 บาท/ตัน ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่ 50-150 บาท/ตัน ส่วนราคาในตลาดโลกซื้อขายกันที่ 18-70 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าในปี 2575 มีแนวโน้มปรับขึ้นมา 80-150 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งความแตกต่างของราคาขึ้นอยู่กับประเภท และแหล่งที่มาของ Carbon Credits และ RECs&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เจมส์ กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กรในประเทศไทย เริ่มได้รับแรงกดดันหลายด้านให้ต้องดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิตอย่างเร่งด่วน ทั้งจากปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ การกำหนดเป้าหมาย Net Zero Emission ทำให้องค์กรไทยต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึงข้อกำหนดเรื่องการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG หรือ Environment Social และ Governance ทำให้หลายองค์กรเริ่มมองหาคาร์บอน เครดิต โซลูชัน ที่จะสนับสนุนการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิตอย่างครบวงจร รวมถึงดำเนินโครงการปลูกพืชที่มีศักยภาพในการลดคาร์บอน ชู Silver Oak พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ล่าสุด บริษัทได้ดำเนินโครงการ Doa Green Together แปลงต้นแบบการบริหารจัดการคาร์บอนเคดริตในการผลิตพืช สำหรับพืชไร่ 5 ชนิด ได้แก่ อ้อย มันสัมปะหลัง ยางพารา ไม้ผล(ทุเรียนและมะม่วง) ที่ดำเนินการแบบ Good Agriculture Practice (GAP) และบริษัทได้ค้นพบว่าต้นไม้ที่สามารถลดคาร์บอนได้ดีมากมากก็คือ ต้น Silver Oak&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ต้น Silver Oak เป็นพืชที่ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ และสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้แก่เกษตกรชาวไทยได้ ซึ่งการในปลูกต้นไม้สร้างคาร์บอนเครดิตในแปลงเดี่ยวๆ หรือจะปลูกแซมร่วมกับพืชเกษตรนั้น ก็ยังสามารถนำไปซื้อขายคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้และสร้างความยั่งยืน มั่นคง ให้แก่เกษตกรได้” เจมส์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp; ก่อนหน้านี้ WAVE BCG ร่วมกับ Spiro Carbon ผู้นำด้านคาร์บอนเครดิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการเรื่องคาร์บอนเครดิต ให้กับชาวนาและเกษตรกรในโครงการปลูกข้าวแบบ Alternative Wetting and Drying (AWD) ซึ่งเป็นการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 50% ถือเป็นความร่วมมือที่ผลักดันให้เกิดแนวทางการเกษตรแบบใหม่ ที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/pubn3eRrpKzBkTBoLJ9H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="pubn3eRrpKzBkTBoLJ9H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="642,365" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม WAVE ในปี 2566 แบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจประกอบด้วย 1. ธุรกิจให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE BCG คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 150-200 ล้านบาท 2. ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาวอลล์สตรีท (Wallstreet) ซึ่งในปีนี้จะยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับกลุ่ม WAVE ปัจจุบันมีจำนวน 14 สาขา และมีแผนที่เปิดจะเพิ่มอีก 2 สาขาในปีนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 500-550 ล้านบาท และ 3. ธุรกิจด้านสุขภาพและกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE Wellbing คาดว่าปีนี้มีรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"ภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ รายได้หลักยังจะมาจาก วอลล์สตรีท เราวางเป้าไว้ว่าจะทำให้ WAVE สามารถเทิร์นอะราวด์ได้ แต่กำไรจะไม่เยอะมาก เพราะบริษัทยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทุนสำหรับอนาคต ส่วนรายได้จากธุรกิจ คาร์บอนเครดิต ช่วงแรกยังไม่หวือหวา ประมาณ 150-200 ล้านบาท แต่อนาคตจะเติบโตสูงตามเทรนด์โลก ที่ต้องการลดปริมาณคาร์บอนฯ เป็นธุรกิจที่บริษัทใช้เวลาศึกษามานานพอสมควร จึงมั่นใจในอนาคตจะสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ให้กับ WAVE ในอนาคต" เจมส์กล่าว อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA-1-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-66-%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4-1-2-%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="&quot;การบินไทย&quot; รายได้พุ่งไตรมาส 1 ปี 66 ทำกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท">"การบินไทย" รายได้พุ่งไตรมาส 1 ปี 66 ทำกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท</a>​<hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เวฟ บีซีจี” ปั้นพืชเศรษฐกิจใหม่ ลุยธุรกิจคาร์บอนเครดิต

สินีนุช โกกนุทาภรณ์ ต่อยอด TEGH ผลิตยางแท่งพรีเมียม

<h2>Robert Gibbins ผู้มีวิสัยทัศน์แห่งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กำลังเดิมพันว่า การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศจะเปลี่ยนทุกสิ่งในอีกไม่นานนี้ และเขามี Autonomy Capital ซึ่งมีเงิน 5.5 พันล้านเหรียญอยู่ในกำมือ</h2>
เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน Robert Gibbins ได้ตระเวนไปทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมการประชุมทางวิทยาศาสตร์โดยเดินทางจากบ้านของเขาในเมือง Geneva ของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังรัฐ Arizona ประเทศสเปน และประเทศออสเตรีย

โดยงานเหล่านั้นอยู่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และมีนักวิชาการข้าราชการ และนักการเมือง มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่หายไปอย่างเห็นได้ชัด

“ผมไม่เห็นนักลงทุนคนอื่นๆ ที่นั่นเลย” เขากล่าวและนั่นก็สะกิดใจเขา “การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นสิ่งที่เราต้องใส่เข้าไปในบทวิเคราะห์ทุกชิ้นและทุกการลงทุน” เขากล่าว

คนส่วนใหญ่ต่างคิดหรือไม่ก็คาดหวังว่าภาวะโลกร้อนคือ สิ่งที่ลูกๆ หรือหลานๆ ของพวกเขาต้องเตรียมรับมือ แต่ Gibbins ไม่เห็นด้วยผู้ก่อตั้งกองทุน Autonomy Capital (ซึ่งมีทรัพย์สิน 5.5 พันล้านเหรียญ) วัย 49 ปีผู้นี้คิดว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกำลังจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนในอีกไม่นานนี้

เขาวางโครงสร้างให้ทุกการเก็งกำไรที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขาทำ อยู่บนความเชื่อของเขาที่ว่าโลกกำลังลื่นไถลไปสู่อนาคตที่ร้อนจัดเกินไปและจมอยู่ใต้น้ำ โดยคาร์บอนจะถูกมองว่าเป็นของเสียฟุ่มเฟือยซึ่งต้องมีการควบคุมและเก็บสะสมไว้

Gibbins ทำเงินได้อย่างงามจากการเก็งกำไรสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คาร์บอนของยุโรป และคาดว่าผู้เล่นที่ร่ำรวยกว่ากำลังจะโดดเข้ามาร่วมวงด้วย

Gibbins มีประวัติอันน่าประทับใจในการตัดสินใจครั้งสำคัญ กองทุนของเขา ซึ่งวางเดิมพันครั้งใหญ่กับกระแสเศรษฐกิจและการเมืองที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดดเด่นขึ้นมาในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งให้ผลตอบแทนรายปีหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วที่ 12.85% นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาในเดือนพฤศจิกายน 2003 เมื่อเทียบกับดัชนี S&amp;P 500 ที่ 8.9%

Gibbins ลูกชายของนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่ง Vancouver ชื่นชอบการเล่นสกีและกิจกรรมกลางแจ้งเข้าเรียนที่ University of Pennsylvania และได้ทำงานที่ฝ่ายเทรดดิ้งของ JPMorgan และ Lehman Brothers

ก่อนจะเริ่มต้น Autonomy สำหรับหลายๆ ประเทศที่เขาเคยไปเยือนนั้น การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศจะเป็นแรงกดดันอันยิ่งใหญ่ต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

หากประเทศหนึ่งตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ไปอีก พร้อมๆ ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโถมกระหน่ำเข้ามา “คงไม่อาจผลิตเสื้อยืด รถยนต์ หรือเซมิคอนดักเตอร์ราคาถูกๆ ได้อีกแล้ว” เขากล่าว

ด้วยเหตุนี้ Gibbins จึงขายชอร์ตตราสารหนี้และค่าเงินตุรกีและแอฟริกาใต้เมื่อไม่นานนี้ เขามองว่ารัฐบาลของทั้งสองประเทศ ซึ่งนำโดยประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan แห่งตุรกี และพรรค ANC ในแอฟริกาใต้ ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง

“คุณสามารถเลือกว่าจะอยู่ใต้การปกครองของ ANC หรือ Erdogan หรือคุณสามารถเป็นประเทศอุตสาหกรรมยุคใหม่ได้” เขากล่าว

ในทางตรงข้าม เขาจะช้อนซื้อตราสารหนี้และค่าเงินอาร์เจนตินา ในการเดินทางไปที่นั่นเมื่อไม่นานนี้ Gibbins พบว่า ผู้คนรู้สึกเหนื่อยหน่ายเต็มที

หลังผ่านความยากลำบากทางเศรษฐกิจมาตลอด 10 ปีและนโยบายที่ล้มเหลว ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าประเทศจะไม่หวนกลับไปสู่ยุคประชานิยมของ Cristina Fernández de Kirchner (เธอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2015) ตราสารหนี้ของประเทศนั้นออกขายมาเพื่อหายนะ

“ความเห็นผมคือ ในอาร์เจนตินา สังคมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว และไม่ต้องการนโยบายที่ออกแบบมาสำหรับอีก 3 วันข้างหน้า” Gibbins กล่าว

ตามความเห็นของเขา นักลงทุนผู้ช่ำชองทั้งหมดในทุกวันนี้ ต่างได้เข้าถึงข้อมูลเศรษฐกิจและรัฐบาลที่ดีที่สุด เขาเดินทาง 150 วันต่อปีก็เพื่อแสวงหาความได้เปรียบนี้ และคาดการณ์ความได้เปรียบในการลงทุน 24 ข้อ และนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานให้เขาก็ทำเช่นเดียวกัน

เขาพบปะกับหน่วยงานราชการท้องถิ่นนักข่าว และผู้บริหารธุรกิจ เพื่อประเมินแนวทางการตัดสินใจและการทำงานของสถาบันท้องถิ่นว่า เป็นไปได้ดีแค่ไหน และพวกเขาจะสามารถรับมือความท้าทายต่างๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้หรือไม่แล้วหุ้นรายตัวล่ะ

ความเห็นหนึ่งที่เห็นกันอยู่คือ ให้หลีกเลี่ยงบริษัทประกันภัยด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง AllState และ Travelers ซึ่งมีแนวโน้มเจอแรงกระหน่ำาหนักจากต้นทุนที่สูงขึ้น ต้องจ่ายมากขึ้นเพราะความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทับโถมสูงขึ้น

แต่ Gibbins ไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าบริษัทประกันภัยคงไปต่อได้ดีเพราะธุรกิจส่วนใหญ่เขียนกรมธรรม์สำหรับระยะสั้นทำให้บริษัทมีโอกาสปรับราคาผลิตภัณฑ์ใหม่ Gibbins กล่าวว่า กองทุน REITs มีความเสี่ยงสูงกว่ามากคุณยังอยากได้ความเห็นที่ขวางโลกขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือ

แม้ประธานาธิบดี Trump ได้ตัดสินใจถอนตัวจากสนธิสัญญาสภาพอากาศปารีส แต่ Gibbins ยังคาดหวังว่า ท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐฯ จะกลายเป็นผู้นำร่วมกับยุโรปเพื่อผลักดันการทำข้อตกลงทั่วโลกจำกัดการปล่อยคาร์บอน และลงโทษเหล่าประเทศที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม ดังนั้น Gibbins คิดว่าหุ้นบริษัทน้ำามันใหญ่ๆ เช่น Exxon หรือค่าเงินของประเทศที่พึ่งพาน้ำมันสูงอย่างไนจีเรียนั้นมีความเปราะบาง

เรื่อง: Nathan Vardi เรียบเรียง: ชูแอตต์

<hr />

<a href="https://bit.ly/2OSAe1p">คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2OSAe1p"><img class="alignnone wp-image-25590" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/cover-December-2019.jpg" alt="" width="300" height="394" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events