อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน - Forbes Thailand

อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน

บริษัทอาหารระดับโลกยกระดับความจริงจังในการลดการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่าครบวงจรของพวกเขา แม้ว่าหลายองค์กรจะกำลังดิ้นรนอยู่ก็ตาม PepsiCo คือตัวอย่างหนึ่ง จากข่าวบนเว็บไซต์ New York Times บริษัทดังกล่าวตั้งเป้าสุดทะเยอทะยาน กระนั้นรายงานในปี 2022 ของ PepsiCo เผยว่าการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตกลับสูงขึ้นจากพื้นฐานที่วางไว้ 7%


    ปริมาณการปล่อยคาร์บอนส่วนใหญ่ซึ่งมักจะมากกว่า 90% มาจากการปล่อยคาร์บอนประเภท Scope 3 หรือทางอ้อมเหนือการควบคุมของบริษัท โดยมาจากผู้จัดหาทรัพยากรแก่บริษัทและคู่ค้าฝ่ายผลิตตามสัญญาธุรกิจ สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรกรคือผู้จัดหาหลัก หากเกษตรกรไม่ทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนกว่านี้ บริษัทอาหารรายใหญ่ต่างๆ คนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนลงได้

    ที่สหรัฐอเมริกา ภาคเกษตรกรรมมีส่วน 11% ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการใช้งานอุปกรณ์ทำฟาร์ม ใช้ปุ๋ยที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ ยาฆ่าแมลง และการไถพรวน ดังนั้นแม้ยังไม่มีวิธีการขจัดก๊าซเรือนกระจกที่ตรงจุดในแวดวงการเกษตร ก็มีหลายสิ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกพืชพรรณธัญญาหารเหล่านี้สามารถทำเพื่อบรรเทาปริมาณคาร์บอนลงได้บ้าง

    วิธีการหนึ่งที่แนะนำให้ทำเป็นอย่างยิ่งคือเกษตรกรควรเปลี่ยนมายกเลิกการไถพรวนเสีย เมื่อดินถูกไถพรวนจะเกิดการปล่อยก๊าซมีเทนจากพืชในดินที่ถูกตัด การไถพรวนยังรวมถึงการพลิกหน้าดินลึก 6-10 นิ้วก่อนเพาะปลูก หากยกเลิกการกระทำนี้จะได้ไม่เป็นการรบกวนดินและลดความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี

    พื้นที่ปราศจากการไถพรวนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ด้วยผลกระทบระยะยาวของการทำฟาร์มอย่างหนักเพื่อผลผลิตจำนวนมากไม่ดีต่อดิน ทว่าเกษตรกรก็ประสบปัญหาค่าตอบแทนตกลงในสองปีแรกหลังเลิกไถพรวนเช่นกัน ต้องมีสิ่งกระตุ้นในพวกเขาเลิกไถพรวนโดยถาวร

    บริษัทที่กำลังมองหาวิธีลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้โดยการซื้อคาร์บอนเครดิต ตลาดคาร์บอนคือเครื่องมือใหม่มาแรงช่วยจูงใจเกษตรกรให้เปลี่ยนมาทำฟาร์มอย่างยั่งยืน

     

    ตลาดคาร์บอนสำหรับเกษตรกร

    

    เมื่อบริษัทหนึ่งหลีกเลี่ยง ลด หรือดักจับคาร์บอนได้มากกว่าที่สร้างมันขึ้นมา ถือว่าบริษัทนั้นได้ทำการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) การชดเชยเหล่านี้มีมูลค่าต่อบริษัทที่ไม่สามารถเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ ตลาดคาร์บอนอำนวยความสะดวกในการซื้อขายเครดิตการชดเชยคาร์บอนเหล่านี้แก่ผู้ที่ต้องการ โดยเครดิตจะเป็นตัวแทนการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหากไม่มีสิ่งจูงใจจากตลาดคาร์บอน

    หนึ่งในตลาดเหล่านั้นคือ Truterra ซึ่งแยกย่อยมาจาก Land o,Lakes บริษัทอาหารเช่น Campbells และ Nestle Purina ปรากฏชื่อเป็นผู้เข้าร่วมบนเว็บไซต์ Truterra เผยว่าโปรแกรมของพวกเขาจ่ายเงิน 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่บรรดาเกษตรกรเพื่อคาร์บอน 200,000 ตันในปี 2021 การซื้อขายมีตั้งแต่ราคาเฉลี่ยที่ 20,000 เหรียญไปจนสูงถึง 100,000 เหรียญ

    Indigo AG เป็นอีกหนึ่งตลาด มีเกษตรกรมากกว่า 2,500 รายและพื้นที่ 5.5 ล้านเอเคอร์เข้าร่วม ช่วยสร้างคาร์บอนเครดิตราว 133,000 เครดิต การตรวจสอบอนุมัติคาร์บอนเหล่านั้นลดลงจริงหรือไม่เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้บริษัทอาหารและผู้ค้าปลีกรายใหญ่มาซื้อเครดิต ที่ Indigo มีการเก็บตัวอย่างดินและข้อมูลการดำเนินงานทุกอย่างของแต่ละฟาร์ม วิธีแบบไฮบริดในการตรวจวัดและสร้างแบบจำลองถูกนำมาใช้เพื่อวัดปริมาณการปล่อยก๊าซ ตัวเลขและการคำนวณต่างๆ ถูกตรวจสอบโดยองค์กรภายนอก Climate Action Reserve

    Trimble บริษัทเทคโนโลยีที่เสนอแนวทางแก่อุตสาหกรรมการเกษตรและการคมนาคม ได้ทำการช่วยเหลือชี้นำเกษตรกรสู่ตลาดคาร์บอนมาราว 15 ปีแล้ว “ของแบบนี้ยังเป็นเรื่องใหม่มากในสหรัฐฯ” Darryl Matthews รองประธานอาวุโสฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติของทางบริษัทกล่าว

    Trimble ยึดมาตรการด้านเกษตรกรรมซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของพวกเขาลง มีการเก็บสะสมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อพาเกษตรกรดำเนินการตามมาตรการได้อย่างถูกต้อง สร้างตัวเลขคาร์บอนเครดิตที่แน่นอนอิงจากพื้นที่แต่ละเอเคอร์พร้อมด้วยปัจจัยอื่นๆ ผ่านซอฟต์แวร์ที่มีโปรแกรมเสริมเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนคาร์บอน

    พวกเขารวบรวมเครดิตเหล่านั้นและขายมันในตลาดแลกเปลี่ยนคาร์บอน ท้ายสุดก็เกิดเป็นกระแสรายได้ซึ่งจะจ่ายคืนแก่เกษตรกร จนตอนนี้ Trimble จ่ายเงินแก่พวกเขารวมกว่า 50 ล้านเหรียญแล้ว

     

    ทว่าตลาดคาร์บอนก็มีปัญหาเช่นกัน

    

    มีข้อวิตกกังวลมากมายเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนทางการเกษตร หนึ่งเลยคือความแม่นยำในการประเมินการนำออกคาร์บอกออกจากดิน คาร์บอนที่สะสมในดินมีปริมาณต่างกันขึ้นกับองค์ประกอบ สภาพภูมิศาสตร์ และความลึก ไหนจะยังขาดแคลนข้อมูลตัวอย่างแบบสุ่มจากแต่ละช่วงเวลา

    Giana Amador ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการนโยบายแห่ง Carbon180 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศได้แสดงความกังวลอย่างชัดเจนว่า “การเก็บตัวอย่างดินลึกหนึ่งเมตรบนพื้นที่ร้อยหรือพันเอเคอร์เป็นเรื่องยากจริงๆ”

    หลายสิบมาตรการถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างเครดิตจากดินในพื้นที่การเกษตร ซึ่งล้วนแล้วแต่ต่างกันอย่างมากขึ้นกับว่าต้องใช้ตัวอย่างดินมากแค่ไหน (หรือบางครั้งก็ต้องการทั้งหมด) Amador ชี้ว่าการประเมินคาร์บอนในดินอย่างแม่นยำนั้น จำเป็นต้องมีตัวอย่างหน้าดินที่ครบครันที่สุด

    อีกปัญหาไม่พ้นข้อเท็จจริงว่า การซื้อขายการชดเชยคาร์บอนเป็นไปบนความหวังที่คาร์บอนจะถูกกักเก็บไว้หลายสิบปี แต่เกษตรกรต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินของพวกเขาในแต่ละปี หากคุณไม่ไถพรวนดินสักปี แต่ปีหน้าก็กลับไปไถพรวนอย่างหนัก คาร์บอนไดออนไซด์ก็จะถูกปล่อยออกมาทำให้ไม่มีการกักเก็บคาร์บอนไว้อีกต่อไป

    สำหรับ Indigo พวกเขาแก้ความไม่แน่นอนตรงนี้ด้วยการเทเครดิตต่างๆ รวมกันและเก็บเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นหลักประกันหากเกษตรกรจะหวนกลับไปทำฟาร์มแบบเดิมในอนาคต

    อย่างไรก็ตามปัญหาการลดคาร์บอนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ยังหาแนวทางแก้ไขที่ทรงพลังตรงจุดไม่ได้ กระทั่งคาร์บอนเครดิตซึ่งดูมีความหวังก็ยังไม่อาจสลัดซึ่งความกังวล ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางออกอย่างจริงจังต่อไป


     

แปลและเรียบเรียงจาก Reducing Emissions In The Food & Beverage Industry Requires Farmers To Make Progress ซึ่งเผยแพร่บน Forbes

     

อ่านเพิ่มเติม : ก้าวใหม่ในวันไร้ทายาท Studio Ghibli ประกาศขายแก่ Nippon TV

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine