<h2 class="p2">ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน เงินบาทแข็งค่า และความสัมพันธ์ทางการค้าของมหาอำนาจยังคงไม่ราบรื่น คำถามที่เกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะคงความแข็งแกร่งไว้ได้อย่างไร</h2>
ภาคการก่อสร้างไทยถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาการของประเทศ โดยในช่วงปี 2552-2560 มูลค่าการลงทุนของอุตสาหกรรม ก่อสร้างไทย คิดเป็นสัดส่วน 8.4% ของจีดีพี วงการก่อสร้างไทยติดอันดับที่ 32 ของโลก ในการจัดอันดับดัชนีวัดประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์โดยธนาคารโลก ทั้งยังครองอันดับที่ 2 ของอาเซียนและอันดับที่ 9 ของโลกในการจัดอันดับดัชนีความสามารถทางการแข่งขันในหมวดโครงสร้างพื้นฐาน โดยสภาเศรษฐกิจโลก
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก้าวสู่ทศวรรษที่ 10 ในฐานะส่วนหนึ่งของพัฒนาการแห่งวงการก่อสร้างของไทย ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่สถาบันกลางของผู้ประกอบการก่อสร้าง การประสานงานภาครัฐ การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความรู้ด้านเทคโนโลยี ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานและมาตรฐานการก่อสร้างในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียแปซิฟิก ด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมาพันธ์ผู้ประกอบการก่อสร้าง ได้แก่ The ASEAN Constructors Federation และ International Federation of Asian and Western Pacific Contractors’ Associations การจัดงาน INTERMAT ASEAN งานแสดงสินค้าและการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน และการลงนามข้อตกลงกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เพื่อยกระดับการดูแลสิทธิเด็กในกลุ่มบุตรหลานของแรงงานก่อสร้างในประเทศ
โดยสมาคมฯ ได้น้อมเอาเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการ ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” มาเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมองว่าภาคการ ก่อสร้างไทย จำเป็นที่จะต้องปรับตัว ดังต่อไปนี้
ยุติปัญหาความขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะระดับสูง ตอบโจทย์ค่าแรงอย่างสมเหตุสมผล และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ให้เข้าถึงแรงงานที่มีศักยภาพสูง และสร้างวงจรการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
ยกระดับบทบาทของภาครัฐ ทั้งในเชิงนโยบาย การควบคุมราคากลางระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง มาตรการด้านแรงงาน การส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และการควบคุมการแสวงหาผลประโยชน์โดยต่างชาติ
ปรับใช้นวัตกรรม เร่งยกระดับสายการผลิตและการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ประหยัดต้นทุนและเวลา เพื่อให้สามารถ “ใช้น้อย แต่ได้มาก” ลดการพึ่งพาต่างชาติ และสร้างสมดุลของเศรษฐกิจในประเทศ
อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 2562 มีแนวโน้มขยายตัว 6.5% จากปีก่อนหน้า เป็นแรงส่งจากภาครัฐ 9% และภาคเอกชน 3.5% ทั้งนี้ สมาคมฯ เล็งเห็นศักยภาพของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนภาคการก่อสร้างของไทยให้ก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยคาดหวังว่าภาครัฐจะเดินหน้าลงทุนด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการและการยกระดับ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ยกระดับระบบการจัดการน้ำ พัฒนาระบบขนส่ง ทั้งระบบราง ระบบถนนเมืองหลัก เมืองรอง รวมถึงท่าเรือ ให้ได้มาตรฐานสากลและทั่วถึง
เมื่อภาครัฐลงทุน ภาคเอกชนจะเกิดความเชื่อมั่น นำไปสู่พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมในรูปแบบระลอกคลื่น ดังเช่นโครงการรถไฟฟ้า ที่นำมาซึ่งการสร้างคอนโดฯ หรือห้างสรรพสินค้า การสร้างงาน การกระจายรายได้ ความสะดวกสบายของประชาชน ความคล่องตัวของผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจในประเทศที่สะพัด
สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตั้งปณิธานที่จะผลักดันวงการก่อสร้างไทย เศรษฐกิจ และสังคม ของบ้านเมืองเราสู่ความยั่งยืน ดังที่องค์การสหประชาชาติได้หมายมั่นไว้หากทุกภาคส่วนจักให้ความร่วมมือ เราก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้เร็ววันขึ้น
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b5%e0%b8%99-%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%95.html">“นักลงทุนจีน” ครองกลุ่มต่างชาติรายใหญ่สุดผู้ซื้ออสังหาฯไทยปี 2562</a></li>
</ul>
&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-25529" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/angsurat01.jpg" alt="" width="300" height="300" />

อังสุรัสมิ์ อารีกุล

นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

<hr />

<a href="https://bit.ly/39j1ZrV">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2563 ได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-25422" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/FB080-EBOOK-RES150_Page_001.jpg" alt="" width="300" height="394" />

อนาคตอุตสาหกรรม "ก่อสร้างไทย" โตยั่งยืนในกรอบสหประชาชาติ

เรื่อง: ชญานิจฉ์ ดาศรี ภาพ: Bangkok Post 
 
บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD นับเป็นหนึ่งใน 3 เสือผู้นำตลาดก่อสร้างไทย ซึ่งความสามารถที่สั่งสมมานาน การเติบโตที่ต่อเนื่อง ความมั่งคั่งและโอกาสมหาศาลที่บริษัทได้ครอบครองไว้นั้น ทำให้ Forbes Thailand ได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ รวมถึงการสัมภาษณ์กูรู เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเชิงวิเคราะห์ ของ ITD สืบเนื่องจากทางบริษัทปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพของเจ้าสังเวียนธุรกิจก่อสร้างของไทย ภายใต้บังเหียนของ เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 
&nbsp; 
ด้วยผลสำเร็จจากการกอบกู้ซากเรือใต้ท้องทะเลเมื่อปี พ.ศ.2497 ของ ดร.ชัยยุทธ กรรณสูต (หุ้นส่วนชาวไทย) &nbsp;และ Giorgio Berlingiere (หุ้นส่วนวิศวกร ชาวอิตาเลียน) เป็นดังประกายให้ริเริ่มธุรกิจก่อสร้างจนก่อเกิด บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด เมื่อสิงหาคมปี 2501 ด้วยต้นทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ฝากฝีมือการสร้างสิ่งปลูกสร้างมากมาย ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนขั้นที่ 1 สายบางนา &ndash; ดินแดง, สะพานสาทร แล้วยังข้ามแดนไปสร้างทางหลวง Kuala Krai - Gua Musang มาเลเซีย เป็นต้น 
&nbsp; 
กระทั่งเข้าสู่สถานะบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยทุนจดทะเบียน 2.5 พันล้านบาท ในปี 2537 และค่อยๆ กางปีกทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในสามบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท (ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2558) และปัจจุบันมีมูลค่าโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการหรืองานในมือ (backlog) ราว 2.5 แสนล้านบาท 
 
ปี 2533 เปรมชัย ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแห่ง ITD และต้องพบกับมรสุมลูกใหญ่จากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ITD ต้องแบกรับภาระหนี้ไว้มหาศาล เฉกเช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทในยุคเดียวกัน และต้องซวนเซเข้าสู่แผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้กว่า 1.3 หมื่นล้านบาท และสามารถสะสางหนี้จนสิ้นสุดเมื่อปี 2545 
&nbsp; 
วิกฤตการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทฯ ได้เรียนรู้ เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังเช่นผลประกอบการล่าสุด ณ ไตรมาส 1/2558 ที่มีรายได้ถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ทว่ามีตัวเลขขาดทุนถึง 509.60 ล้านบาท จากการตั้งสำรองหนี้สูญของบริษัทย่อย ITD Cem ในประเทศอินเดียที่ 569 ล้านบาทและขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 113 ล้านบาท ซึ่งหากไม่มีรายการพิเศษดังกล่าวจะมีกำไรปกติที่ 172 ล้านบาท 
&nbsp; 
ถึงแม้ว่า ผลงานตัวเลขของ ITD อาจจะไม่เบ่งบาน แต่ด้วยความพร้อมของ ITD ในหลายๆ ด้านยังพยุงให้เดินหน้าต่อไปทั้งในประเทศและต่างแดน โดยปัจจุบันมีโครงการเด่นๆ ได้แก่ เหมืองถ่านหิน Mai Khot ในเมียนมาร์, โรงงานอลูมิเนียม สปป.ลาว 
 
ผลการดำเนินงานของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 
&nbsp;<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" height="279" src="/uploads/userfiles/images/August%202015/itd-03.jpg" width="646" /> 
ข้อมูล: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2558 
 
สำหรับโครงการของภาครัฐที่คาดการณ์ว่าจะเห็นขั้นตอนการประมูลเกิดขึ้นในปี 2558 และมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการก่อสร้างเกิดขึ้นในปี 2559 ได้แก่ งานรถไฟฟ้า 3 สายคือ สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 
 
งานรถไฟทางคู่ คือ 1.โครงการคลอง 19-แก่งคอย 2. โครงการ ถนนจิระ-ขอนแก่น 3. โครงการประจวบ-ชุมพร งานกรมทางหลวงโครงการมอเตอร์เวย์เส้นทางพัทยา &ndash;มาบตาพุด และงานสุวรรณภูมิเฟส 2 โดยรวมมูลค่าโครงการที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท และคาดว่าการประมูลโครงการก่อสร้างที่เกิดขึ้น จะมีส่วนทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างนับจากนี้เกิดการตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง 
&nbsp; 
จากโครงการมหาศาลดังกล่าว ทำให้ ธริศา ชัยสมุทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท หลักทรัพย์ เคเคเทรด &nbsp;จำกัด มองว่า การเกิดขึ้นของโครงการต่างๆ ดังกล่าวจะสร้างงานในมือให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่แต่ละแห่งระหว่างปี 2558 ถึง 2559 ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท &ldquo;ภายใต้สมมุติฐานแบบ conservative ว่าเกิดงานจริงเพียง 50% และความสำเร็จของการประมูลจากงานที่เกิดขึ้นประมาณ 20%&rdquo; ธริสากล่าว 
&nbsp; 
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกของการรับงานอาจยังไม่ส่งผลต่อการเติบโตที่เด่นชัดในปี 2558 เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นของการประมูล ทำให้กลุ่มผู้รับเหมายังไม่สามารถดำเนินงานและรับรู้รายได้จากโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ได้ทัน แต่คาดว่าหลังความสำเร็จของงานที่ประมูลได้ จะส่งผลต่อผลประกอบการของกลุ่มจะเติบโตเด่นในปี 2559 ถึง 2560 เป็นต้นไป 
&nbsp; 
เมื่อเปรียบเทียบข้อได้เปรียบของ ITD ในปัจจุบันนั้น ธริศา เห็นว่าจุดเด่นอยู่ที่การเป็นผู้นำและโอกาส &ldquo;คาดว่างบประมาณที่ใกล้ออกมาเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้รับเหมา โดยเฉพาะรายใหญ่ อย่าง ITD ซึ่งจะสนับสนุนงานในมือของ ITD ให้เพิ่มขึ้นรองรับรายได้ในอนาคต&rdquo; 
<hr />
<a href="http://goo.gl/5xHloU">อ่านฉบับเต็ม "ITD หนึ่งในเจ้าสังเวียนก่อสร้างไทย เสือซุ่มรอตะครุบโครงการรายได้งาม" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ AUGUST 2015</a>

ITD หนึ่งในเจ้าสังเวียนก่อสร้างไทย เสือซุ่มรอตะครุบโครงการรายได้งาม

เรื่อง: พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์, ศรีวิภา สิริปัญญาวิทย์ และชญานิจฉ์ ดาศรี 
&nbsp; 
ปี 2557 &ldquo;ปีฟุบ&rdquo; ของภาคธุรกิจก่อสร้างในไทย เนื่องจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ กอปรกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและทั่วโลกที่ตกต่ำ ทำให้การลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนชะลอตัวอย่างรุนแรง จนมูลค่าตลาดรวมมีเพียง 2 แสนล้านบาท 
&nbsp; 
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจการปกครองและจัดตั้งรัฐบาลชุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมกับผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 ธุรกิจก่อสร้างก็ค่อยๆ ฟื้นตัวจากเม็ดเงินลงทุนที่เริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ถึง 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ 
&nbsp; 
และเมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณว่าจะเปิดประมูลงานจำนวนมาก มูลค่ารวมกันหลายแสนล้านบาท ซึ่งเป็นงานที่หลากหลาย ครอบคลุม รถไฟ ถนน เรือ อากาศ ดังนั้นปี 2558 &nbsp;จะเป็น &ldquo;ปีทองของผู้ประกอบการก่อสร้างไทย&rdquo; อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ คสช.ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ปี 2558-2565 ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 3 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 8 ปี โดยแบ่งเป็นโครงการตามแผนงาน 1.9 ล้านล้านบาท และการลงทุนรถไฟไทย-จีน กับรถไฟไทย-ญี่ปุ่น อีก 1.1 ล้านล้านบาท 
&nbsp; 
สาเหตุที่รัฐบาลจำต้องเร่งเข็นเมกะโปรเจกต์ออกมาขนานใหญ่ ก็เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในภาวะที่เครื่องยนต์อื่นแทบดับสนิท อันได้แก่ ตัวเลขส่งออกที่ติดลบ การบริโภคภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว สิ่งที่คนหวังพึ่งจึงมีเพียงการลงทุนจากภาครัฐผ่านโครงการขนาดใหญ่ ที่จะฉุดให้การลงทุนจากภาคเอกชนเคลื่อนตัวตามไปด้วย รวมถึงการจ้างงานและการกระจายรายได้ที่เพิ่มขึ้น 
&nbsp; 
มีการคาดการณ์ว่า แผนการลงทุนระยะ 8 ปีนี้ จะสร้างงานได้ราว 4 แสนคน และกระจายเงินที่จะไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกมหาศาล ส่วนระยะยาว ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการขนส่ง (โลจิสติกส์) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 
&nbsp; 
ตัวเลขมหาศาลนี้ได้สร้างความคึกคักให้กับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ทั้ง 3 เจ้าใหญ่ของประเทศ ที่ครอบส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% ได้แก่ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ (ITD), บมจ. ช.การช่าง (CK) และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่แต่งตัวรอประมูลตั้งแต่ต้นปี รวมไปถึงบริษัทดาวรุ่งอย่าง บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ที่ช่วงหลังโกยงานสำคัญมากมาย จนพุ่งขึ้นเป็นเบอร์ 4 ของวงการ ซึ่งพร้อมเข้าแย่งเค้กชิ้นมโหฬารก้อนนี้ด้วย 
&nbsp; 
สำหรับ เปรมชัย แห่ง ITD เปิดเผยว่า บริษัทคาดหวังว่าจะได้งานใหม่ในปีนี้ ราว 1.5 แสนล้านบาท โดยเตรียมเข้าประมูลโครงการปรับปรุงสนามบินสุวรรณภูมิเฟสสอง รถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และรถไฟไทย-จีน โดยคาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เป็นไปตามเป้าที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนงานของรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 70% จาก 60% และมีงานในมือ (backlog) แตะ 4 แสนล้านบาท 
 
ด้าน ปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่แห่ง CK เปิดเผยว่า ทางบริษัทพร้อมแข่งขันประมูลงานใหญ่ทุกโครงการ และมั่นใจว่าจะได้งานใหม่ราว 4-5 หมื่นล้านบาทเช่นกัน รวมถึงจะมี backlog เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท จากที่มีอยู่แล้ว 1 แสนล้านบาท ส่วน ภาคภูมิ นาคชำนิ กรรมการผู้จัดการของ STEC เผยว่า บริษัทตั้งเป้าประมูลงานใหม่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท รายได้คาดว่าจะอยู่ที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยมี backlog รอรับรู้รายได้ราว 5.3 หมื่นล้านบาท 
&nbsp; 
ประสงค์ สุวิวัฒน์ธนชัย กรรมการของ UNIQ กล่าวว่า รัฐบาลควรเร่งรัดให้มีการประมูลโดยเร็ว โดยเฉพาะรถไฟทางคู่ 6 เส้นทาง ส่วนงานโครงการอื่นๆ นั้นอาจให้มีการทยอยดำเนินการภายหลังได้ ทั้งนี้ บริษัทที่มีไซส์ใหญ่เป็นอันดับ 4 มีความพร้อมในการร่วมประมูล เพราะทางบริษัทได้เพิ่มทุนเป็นจำนวน 3 หมื่นล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ทาง UNIQ คาดว่า จะได้ส่วนแบ่งงานประมูลของรัฐ 25-30% ซึ่งจะทำให้ backlog เพิ่มเป็น 1.4 หมื่นล้านบาท 
&nbsp; 
สำหรับในมุมมองนักวิเคราะห์ สุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์จาก บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ราคาหุ้นของบริษัทก่อสร้างส่วนใหญ่จะพุ่งขึ้นตอบรับกับทิศทางที่น่าจะเป็นบวกกับผลประกอบการภายหลังการรัฐประหารเมื่อพฤษภาคม ในปี 2557 โดยราคาหุ้น ITD เพิ่มขึ้น 120% CK เพิ่มขึ้น 48% STEC เพิ่มขึ้น 18% และ UNIQ เพิ่มขึ้น 130% แต่มูลค่าตลาดก่อสร้างในปีนี้ น่าจะขยายตัวได้เพียง 3-5% เท่านั้น หรืออยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากรัฐเปิดประมูลงานต่างๆ ได้ล่าช้ากว่ากำหนดมาก 
&nbsp; 
&ldquo;โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ ยังไม่สามารถมีการผลักดันการประมูลงานใหม่ออกมา บางโครงการที่เตรียมประมูลในครึ่งปีหลังก็ยังมีปัญหา เช่น &nbsp;รถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท ที่ยังมีข้อถกเถียงเรื่องการวางเส้นทาง จึงต้องจับตาดูในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้อีกครั้ง ว่าจะมีความสำเร็จใจการผลักดันงานใหม่ๆ ออกมามากน้อยแค่ไหน&rdquo; เขากล่าว 
 
คงต้องจับตาว่า โครงการลงทุนหลานแสนบาทของ รัฐบาล คสช.จะเริ่มปักเสาเข็มได้จริงกี่โครงการ และธุรกิจก่อสร้างไทยจะกลับมาสู่ยุครุ่งเรืองได้อีกครั้งหรือไม่ 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/August%202015/Untitled-2.jpg" />
<hr />

	<a href="http://goo.gl/5xHloU">คลิ๊กอ่านภาพรวมธุรกิจก่อสร้างประเทศไทย พร้อมบทความเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ August 2015&nbsp; ในรูปแบบ E-Magazine </a>

2558 ปีทองของธุรกิจก่อสร้างไทย?

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน 
 
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนับเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันประเทศให้เจริญรุดหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ขีดการแข่งขันของประเทศและสังคม แน่นอนที่สุด ประเทศไทยเองก็มิได้ยกเว้น การเดินหน้าแผนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศในปี 2558-2565 ซึ่งมีมูลค่าถึง 2 ล้านล้านบาท และการผลักดันร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ได้ทันท่วงที โดยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับเป็นความคืบหน้าที่ดี ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิค 
 
จากการสำรวจของ PwC เมื่อปี 2557 ในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิค มีการคาดการณ์ว่า นับตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้จะมีการขยายตัว 7-8% ต่อปี โดยมีมูลค่าสูงถึง 5.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็น 60% ของทั่วโลก ทั้งนี้ เพื่อความจำเป็นในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว 
 
จากความสำคัญของการพัฒนาดังกล่าว Forbes Thailand ฉบับนี้จึงนำเสนอเรื่องราวของอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทย โดยมีบทวิเคราะห์สถานการณ์และการเติบโตของปีที่ผ่านมา และทิศทางในปีนี้ ว่าจะยังเป็นปีทองของก่อสร้างไทยหรือไม่ โดยหลังการผลักดันโครงการดังกล่าวของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ อย่างจริงจัง ความมั่งคั่งของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างพุ่งทะยานขึ้น 28.3% (จาก 22 พฤษภาคม 2557 - 3 กรกฏาคม 2558) จากการคาดการณ์ของโครงการที่จะประมูลได้ในอนาคต โดยมูลค่าหุ้นของ 4 ยักษ์ก่อสร้างไทย อันได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ (ITD) ได้ทะยานขึ้นถึง 120% บมจ.ช.การช่าง (CK) พุ่งขึ้น 47.5% บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ไต่ขึ้น 16.5% และ บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) พุ่งขึ้น 146% 
 
ทั้งนี้ Cover Story ของเราคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ทายาทรุ่นที่สองแห่ง STEC ผู้ซึ่งมีเรื่องราวอันโดดเด่นของการนำธุรกิจที่บุกเบิกโดย ชวรัตน์ ผู้เป็นบิดา ก้าวข้ามผ่านมรสุมทางธุรกิจในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 และก้าวขึ้นแท่นเทียบเท่าบรรษัทยักษ์ใหญ่ก่อสร้างอีก 2 รายอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้ หลังจากที่ อนุทิน พาพวกเราทะยานขึ้นสู่ความสูงสามพันฟุตเหนือระดับน้ำทะเลด้วยเครื่องบินส่วนบุคคลยี่ห้อ Cirrus รุ่น SR22T เขาได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตทุกแง่มุม ที่ผสมผสานความเป็น นักธุรกิจ นักการเมือง และนักบิน อย่างลงตัว 
 
 
<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/JULY%202015/EDITOR-RE.jpg" /> 
ศรีวิภา สิริปัญญาวิทย์ 
Editor 
FORBES THAILAND 
<hr />
<a href="http://goo.gl/5xHloU">คลิ๊กอ่าน Forbes Thailand "อนุทิน ชาญวีรกูล พลิก ซิโน-ไทย ใต้กฎเหล็ก CASH IS KING" ฉบับ AUGUST 2015 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events