อดีตผู้ว่ากทม. 2 สมัย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ในวัยใกล้ 60 ยังกระฉับกระเฉง สนุกกับบทบาทเถ้าแก่ผลิตสินค้าข้าวโพดหวาน V Corn ให้คนไทยได้ลิ้มลอง ทั้งยังมุ่งมั่นปั้น วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) ให้เป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาค เจ้าตัวยอมรับว่าเหนื่อยแต่สนุกและท้าทายเพราะเป็นงานที่ถนัดและชอบ
ณ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา อภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ย้ำกับ Forbes Thailand ขณะสัมภาษณ์ว่า สถานภาพของเขาเวลานี้คือเป็น “นักธุรกิจ” อย่างเต็มตัว ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง มีแต่เพียงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่เหลืออยู่ เขายังออกตัวอีกว่า ชอบการทำธุรกิจชอบการ “บุกเบิก” ชอบงานท้าทาย และชอบทำงานอะไรใหม่ๆ
“ชอบอะไรที่บุกเบิก ได้ทำอะไรใหม่ๆ เห็นการเติบโตของสิ่งที่เราทำ เป็นความท้าทาย เป็นดีเอ็นเอของผมก็ได้มั้ง” อภิรักษ์ เกริ่นกับพวกเรา
ชีวิตบุกเบิกของอภิรักษ์ ย้อนกลับไปตั้งแต่เขาเริ่มงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านฝึกหัดบริษัท พิซซ่าฮัท ไทยแลนด์ จำกัด ในปี 2526 รวมถึงเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด จนได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดของเป๊ปซี่ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จนกระทั่งในปี 2537 ได้รับโอกาสให้เข้าบุกเบิกสินค้าขนมขบเคี้ยว ฟริโต-เลย์ของเป๊ปซี่ นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟริโต-เลย์ ไทยแลนด์ จำกัด ช่วยจัดการหากำลังคน สร้างสรรค์แผนการตลาด จนถึงการปลูกมันฝรั่งและดูแลชีวิตเกษตรกรผู้ปลูก หรือแม้กระทั่งประสบการณ์ในธุรกิจบันเทิง เขายังเป็นซีอีโอของ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ช่วงเวลาที่สถานการณ์การจัดสรรผลประโยชน์ลิขสิทธิ์เพลงอยู่ในความตึงเครียดไม่ลงตัวระหว่างผู้ผลิตกับผู้นำไปใช้ทางการค้า เป็นอีกคีย์แมนที่ร่วมบุกเบิกเช่นกัน
การเมืองหรือธุรกิจดี
ชีวิตของอภิรักษ์ประสบความสำเร็จทั้งในโลกธุรกิจและการเมือง แต่ชื่อของเขารู้จักกันทั่วประเทศในฐานะเป็นผู้ว่ากทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ บทบาททั้งสองนี้ อภิรักษ์บอกว่าชอบทั้งคู่ สำหรับการเมืองเขาเริ่มสนใจตั้งแต่เด็ก เพราะอยากเห็นบ้านเมืองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และหวังว่าประสบการณ์ที่มีของเขาจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ และนั่นคือสาเหตุที่เขาตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองครั้งแรก
ขณะที่โลกของธุรกิจเขามองว่า การทำธุรกิจถือเป็นอาชีพ อาชีพคืองานที่ทุกคนต้องทำ ธุรกิจเป็นงานที่ตัวเขาเองชื่นชอบและ “ถนัด” เนื่องจากมีประสบการณ์โดยตรงโดยเฉพาะการสร้างแบรนด์ในองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง การอยู่ในโลกธุรกิจต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องมีความยืดหยุ่นสูงต้องเร็ว ต้องปรับนโยบายขึ้นลงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาเขาสามารถทำได้ดีจนได้รับการยอมรับจากคนในแวดวงธุรกิจให้เป็นนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
“เป็นผู้บริหารบริษัทก็พอรู้ว่าความต้องการผู้บริโภคเป็นอย่างไร เราต้องใช้การบริหารจัดการ ขณะที่การเมือง อย่างเป็นผู้ว่าฯ ใช้การจัดการเป็นหลัก เพราะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ต้องบริหาร กทม.ให้ลุล่วง”
แม้จะบอกไม่ได้ว่าการเมืองหรือการทำธุรกิจอย่างไหนที่เขาชอบมากกว่ากัน แต่ดูเหมือนว่าการเมืองได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับโลกธุรกิจของอภิรักษ์ที่ได้สร้างขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประสบการณ์ทั้งหมดทำให้เขาได้เห็นทิศทางของประเทศในอนาคตทั้งภาพกว้างและลึก โดยเฉพาะพัฒนาการของภาคเกษตรกรรมของไทย และเขาคิดว่าวันหนึ่งหากได้เป็นผู้ประกอบการ เขาตั้งใจจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตรในบ้านเรา และนี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ เบื้องหลัง วี ฟู้ดส์ ประเทศไทย ของเขา
องค์กรสไตล์ "อภิรักษ์"
อภิรักษ์เชื่อว่าธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่ไม่ตาย เศรษฐกิจดีหรือไม่ดีคนก็ยังต้องรับประทานอาหาร ประกอบกับเรียนจบทางด้านวิทยาศาสตร์อาหารมา และเป็นผู้บริหารมืออาชีพในบริษัทชั้นนำมาหลายสิบปี เขาจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นในปี 2557 และได้เลือกข้าวโพดหวานเป็นสินค้าเปิดตัว โดยนำมาแปรรูป เปลี่ยนโฉมใหม่ ใส่ความคิดสร้างสรรค์ ใส่นวัตกรรม ใส่ลูกเล่นและสีสันทางการตลาดเข้าไป ทั้งยังตอบโจทย์ของการบริโภคยุคใหม่
ปัจจุบันบริษัท วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นด้วยการออกผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ V Corn เหตุที่อภิรักษ์เลือกข้าวโพดเป็นสินค้านำร่องเพราะข้าวโพดเป็นอาหารที่คุ้นเคยของคนไทย ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำาการตลาดมาก
ข้าวโพดหวานของบริษัทเป็นสายพันธุ์พิเศษ Golden Sweet Corn ที่บริษัทวิจัยและพัฒนาขึ้นมาเอง และปลูกโดยเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา (contract farming) เป็นการทำการเกษตรแบบครบวงจรเพื่อให้ได้ข้าวโพดคุณภาพตามที่ต้องการ ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกกว่า 2,000 ไร่ที่จังหวัดกาญจนบุรี และแถบจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง อาทิ กำแพงเพชร สุโขทัย
ด้านการผลิต อภิรักษ์ได้ว่าจ้างบริษัท ไวต้าฟู้ด แฟคทอรี่ (1989) จำกัด เป็นผู้ผลิตสินค้าให้ภายใต้ระบบ OEM เนื่องจากเป็นบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์ผักผลไม้ที่มีคุณภาพระดับชั้นนำของประเทศกว่า 30 ปี และใกล้แหล่งวัตถุดิบข้าวโพดของบริษัท อีกทั้งในปี 2562 โรงงานแห่งนี้ยังได้ติดตั้งเครื่องจักรใหม่สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์แบบใหม่จากเต็ดตรา แพ้ค ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถยืดอายุการเก็บสินค้าได้นานขึ้น ตอบโจทย์ธุรกิจน้ำนมข้าวโพดของเขา จากเดิมที่บริษัทใช้ขวดใส่พลาสติกในการบรรจุน้ำนมข้าวโพดแบบพาสเจอร์ไรส์เก็บได้นาน 8 วัน มาเป็นกล่องกระดาษแบบ UHT สามารถเก็บได้นานถึง 1 ปี และสิ่งที่ตอบโจทย์บริษัทมากที่สุดคือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดขยะพลาสติกให้กับประเทศได้มาก
ทำแล้วไปให้สุด
เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ อภิรักษ์จึงต้องสวมบทบาทเป็นผู้บุกเบิกอีกครั้ง ดังนั้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยหยุดนิ่ง สร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดต่างๆ อย่างปีนี้เขาได้เซ็น MOU กับ เซ็น กรุ๊ป โดยเขาเลือกเป็นพันธมิตรกับร้าน “ตำมั่ว” ที่มีเครือข่ายร้านอยู่ในประเทศและต่างประเทศกว่า 160 สาขา ร่วมพัฒนาเมนู “ตำข้าวโพดวีคอร์น สูตรตำมั่ว”
นอกจากนี้ยังร่วมมือกับร้านอาหารไทย “เขียง” อีกแบรนด์หนึ่งของเซ็น กรุ๊ป ร่วมพัฒนาเป็นแฟรนไชส์ Crazy Corn เป็นเหมือนคีออสขายข้าวโพดบริเวณหน้าร้านเขียง รวมถึงในปั๊มน้ำมันที่อภิรักษ์มองว่า ปั๊มน้ำมันเป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ของเขา เนื่องจากเป็นสินค้ารับประทานง่ายและสะดวกกับบรรดานักเดินทาง รวมไปถึงร่วมสร้างสรรค์เมนูใหม่ “วีคอร์นรสซอสต๊อด” เพิ่มรสเผ็ดจัดจ้านให้กับข้าวโพดหวาน และยังมีแผนที่จะนำสินค้าข้าวโพดไปจำหน่ายในโรงภาพยนตร์ของกลุ่มเมเจอร์
อภิรักษ์ ไม่ได้มองแค่ตลาดเมืองไทยแต่ยังไปในภูมิภาค ASEAN Plus บวกจีน เกาหลี และญี่ปุ่น โดยจะเริ่มจากตลาด CLMV ก่อน เพราะตลาดเพื่อนบ้านนี้คุ้นเคยกับสินค้าไทย ขณะที่ประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ดื่มเครื่องดื่มสุขภาพอยู่แล้ว อภิรักษ์ตั้งใจจะเปิดตลาดเหล่านี้ด้วยน้ำนมข้าวโพด
การลงแรงของอภิรักษ์ไม่สูญเปล่าเพราะ วี ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) ได้ถึงจุดคุ้มทุนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ราว 160 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 300 ล้านบาทในอีก 4-5 ปีข้างหน้า พร้อมกับกำลังศึกษาการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ อีกด้วย
การเข้าระดมทุนในตลาดฯ อาจไม่ได้เป็นเป้าหมายสูงสุดของบริษัท แต่สิ่งที่อภิรักษ์ต้องการคือให้วีฟู้ดส์ได้รับการยอมรับเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มด้านนวัตกรรมที่คนนิยมชมชอบสูงสุด (most admired innovative food and drinks company) ในภูมิภาค พร้อมๆ กับเน้นการเติบโตภายใต้มิติแห่งคุณค่าทั้งองค์กรและคนต้องเติบโตไปด้วยกันอย่าง “healthy” อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่เพียงที่บริษัทผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและประโยชน์กับสุขภาพ แต่มุ่งให้ความสำคัญกับมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย
อ่านเพิ่มเติม ภาพ: จันทร์กลาง กันทองคลิกอ่านฉบับเต็ม "ธุรกิจ" งานถนัดและตัวตนของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine