การตอบรับที่ดีของโรงเรียนนานาชาติ King’s College Bangkok หลังเปิดตัวไม่นานมีนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการหลายอย่างตามมา ทำให้เครือสหพัฒน์ตัดสินใจลงทุนโครงการใหญ่ด้วยแนวคิด Community of Kindness มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท
สถาบันการศึกษาเก่าแก่ที่สุดแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ King’s College เข้ามาเปิดในไทยด้วยชื่อ King’s College International School Bangkok เมื่อเดือนกันยายน ปี 2563 ได้การตอบรับที่ดี จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 3 ปีมีนักเรียนกว่า 1,500 คน เครือสหพัฒน์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่จึงตัดสินใจพัฒนาโครงการต่อเนื่อง เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับนักเรียนและผู้ปกครองที่มารับ-ส่งบุตรหลาน เพราะทราบว่าหลายคนต้องการที่อยู่อาศัยใกล้โรงเรียน โครงการ KingsQuare จึงถือกำเนิดขึ้น
KingsQuare เป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (mixed-use) ขนาดใหญ่ที่สุดบนทำเลถนนพระราม 3 ในปัจจุบัน ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมพักอาศัย เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ และคอมมูนิตี้มอลล์อยู่พื้นที่ด้านหน้าและด้านข้างของโรงเรียน ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนกว่า 2,000 คนในปี 2568 หมายความว่าจะมีครอบครัวนักเรียนกว่า 2,000 ครอบครัวเข้ามาใช้พื้นที่
“ที่ดินแปลงนี้เป็นผืนใหญ่ติดกัน 100 ไร่ ด้านหน้าติดถนนพระราม 3 และใกล้กับสำนักงานใหญ่ บริษัทไอ.ซี.ซี. ในเครือสหพัฒน์ ย่านสาธุประดิษฐ์ เป็นที่ดินซื้อไว้นานแล้วเพิ่งพัฒนาโรงเรียนนานาชาติไปเพียง 20 ไร่” วิชัย กุลสมภพ (คุณแซท) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI ซึ่งดูแลด้านการร่วมทุนและการพัฒนาใหม่ๆ ของเครือสหพัฒน์ อธิบายที่มาของการพัฒนาโครงการใหญ่มูลค่าเริ่มต้นกว่า 2 หมื่นล้านบาทให้ทีมงาน Forbes Thailand ได้รับทราบ พร้อมย้ำว่าเครือสหพัฒน์ลงทุนโครงการนี้เพื่อยกระดับทำเลพระราม 3 รองรับความต้องการของตลาดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ และอยากแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่นี้
“ประสบการณ์ส่วนตัวผมมีบ้านอยู่พระราม 3 ใกล้โรงเรียนไม่เสียเวลาเดินทาง รู้สึกคุณภาพชีวิตดี มีความสุข เลยอยากแบ่งปันความสุขแบบนี้ให้กับครอบครัวของนักเรียน King’s College” เขาอธิบายและว่า นี่เป็นเหตุผลหลักในการพัฒนาโครงการ เมื่อรวมกับข้อมูลที่พบว่า ผู้ปกครองหลายคนอยากได้ที่อยู่อาศัยใกล้โรงเรียนจึงตัดสินใจพัฒนาโครงการ KingsQuare ขึ้นมา
เริ่มต้นที่การศึกษา
จุดเริ่มต้นคือธุรกิจด้านการศึกษา เป็นสิ่งที่เครือสหพัฒน์ให้ความสำคัญ วิชัยย้ำว่า เครือสหพัฒน์ลงทุนและส่งเสริมด้านการศึกษามาโดยตลอด เช่น โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ (Waseda Japanese Language and Culture School) ที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยวาเซดะแห่งประเทศญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนวาเซดะในไทยมาแล้ว 3 แห่ง
นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์ยังได้ร่วมกับ Bunka Fashion College เปิดโรงเรียนสอนการออกแบบบุนกะแฟชั่น (Bunka Fashion School) ขึ้นในไทยเมื่อปี 2548 เป็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของผู้บริหารเครือสหพัฒน์ ที่ต้องการผลักดันเรื่องการศึกษาเพื่อสร้างคนให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ
เจตนารมณ์ที่ชัดเจนของผู้บริหารเครือสหพัฒน์เจเนอเรชั่น 2 เป็นคุณค่าที่ส่งต่อถึงเจเนอเรชั่น 3 ในเรื่องการพัฒนาด้านการศึกษา จึงได้เปิดโรงเรียนนานาชาติ King’s College International School Bangkok โดยเครือสหพัฒน์ร่วมกับพาร์ตเนอร์คนไทยและ King’s College จากอังกฤษ เพราะอยากให้มีโรงเรียนนานาชาติที่ดีมีคุณภาพระดับโลกเข้ามาเปิดในพื้นที่ย่านพระราม 3 ซึ่งเครือสหพัฒน์มีที่ดินอยู่หลายแปลงทั้งแปลงใหญ่ และแปลงย่อยใกล้เคียงกันรวมแล้วเกือบ 150 ไร่ เป็นการซื้อสะสมเรื่อยมา ไม่รีบร้อนพัฒนา แต่รอดูความเหมาะสมและศักยภาพความเป็นไปได้ก่อนจึงเดินหน้าพัฒนาตามพื้นฐานความต้องการที่เกิดขึ้นจริง
“เครือสหพัฒน์มีธุรกิจหลายกลุ่ม ทั้งแฟชั่น อุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทในเครือหลายร้อยบริษัท และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยกว่า 10 บริษัท market cap รวมกันราว 1 แสนล้านบาท” ซีอีโอ SPI แจกแจงโครงสร้างธุรกิจของเครือสหพัฒน์ซึ่งแข็งแกร่งในหลายเซกเตอร์จึงมีความพร้อมและให้ความสำคัญด้านการศึกษา
“การลงทุนสร้างโรงเรียน แม้บางแห่งขาดทุนแต่เราก็ภูมิใจ เพราะขาดทุนตัวเลขแต่กำไรมหาศาลในการตอบแทนสังคม” หรือจะเรียกว่าธุรกิจด้านการศึกษาของเครือสหพัฒน์สร้างขึ้นเพื่อตอบแทนสังคมมากกว่าที่จะหวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว เพราะกำไรนั้นมีอยู่แล้วในธุรกิจหลักที่ดำเนินการมาต่อเนื่องกว่า 82 ปี
กว่า 8 ทศวรรษในการส่งต่อธุรกิจจากรุ่นบุกเบิก ดร.เทียม โชควัฒนา มาสู่เจเนอเรชั่น 2 บุตร-ธิดาของ ดร.เทียม ทั้ง 8 คน ได้แก่ บุญเอก, บุญปกรณ์, บุณยสิทธิ์, ศิริยล, ศิรินา, ณรงค์, บุญชัย และบุญเกียรติ ครอบครัวโชควัฒนาปัจจุบันอยู่ในช่วงรอยต่อธุรกิจระหว่างเจเนอเรชั่น 2 สู่เจเนอเรชั่น 3 คือกลุ่มบุตรหลานของเจน 2 ทุกคนสืบทอดเจตนารมณ์ของเครือสหพัฒน์ไว้อย่างมั่นคง
ธุรกิจหลักของเครือสหพัฒน์คือ การผลิตและจำหนายสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย มีทั้งของใช้ต่างๆ อาหาร เครื่องดื่ม แฟชั่น เครื่องสำอาง และของใช้ส่วนตัวหลายอย่าง มีทั้งการนำเข้าและส่งออกในหลายธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาสวนอุตสาหกรรม 4 แห่งที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับพันธมิตรต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุนค้าขายกับเครือสหพัฒน์ เป็นประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 82 ปีของการดำเนินธุรกิจ
ส่วนการพัฒนาโครงการ KingsQuare ถือเป็นการพัฒนาอสังหาฯ โครงการใหญ่ที่ต่างไปจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ต่อยอดโครงการใหญ่
วิชัยเผยว่า การลงทุนพัฒนาโครงการ KingsQuare เป็นความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ใหญ่ โตคิว คอร์ปอเรชั่น และกลุ่มดุสิต ซึ่งโครงการนี้ไม่มีอะไรที่มากเกินไปหรือใหญ่เกินจำเป็น เช่น ที่พักอาศัย KingsQuare Residence เป็นคอนโดมิเนียมจะมีเพียง 200 ยูนิต ออกแบบและสร้างอย่างพรีเมียมให้เหมาะสมกับตลาด ขายในราคาเริ่มต้น 200,000-300,000 บาท/ตารางเมตร หรือต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาทไปถึง 80 ล้านบาท
นอกจากที่อยู่อาศัยเพื่อขายแล้ว ในโครงการยังมีที่พักอาศัยแบบให้เช่าเป็นเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ที่ร่วมมือกับกลุ่มดุสิตเข้ามาบริหารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยจำนวนไม่มากประมาณ 100 ยูนิตอยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อรองรับบางครอบครัวที่ต้องการเช่ามากกว่าซื้อ
และนอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังจะสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดไม่ใหญ่มาก ประกอบด้วยร้านค้าและบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของนักเรียนและผู้ปกครอง เช่น ฟิตเนส ร้านเสริมสวย คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายยา และอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้ปกครอง นักเรียน และทุกคนในย่านพระราม 3 สอดคล้องแนวคิดหลักของเครือสหพัฒน์คือ แบ่งปันทั้งการเติบโตและการพัฒนาที่ต้องเดินไปพร้อมกับสังคมและชุมชน
“โครงการนี้จะเป็นการยกระดับทำเลพระราม 3 ให้เติบโตด้วยการพัฒนาที่ก้าวไปอีกขั้น ซึ่งเราเชื่อว่าหลังจาก KingsQuare เสร็จแล้วจะมีคอนโดฯ อื่นๆ เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น” เป็นมุมมองของซีอีโอวัย 47 ปี ทายาทธุรกิจในฐานะบุตรเขยของเจ้าสัวบุณยสิทธิ์ เขาได้รับการวางตัวให้เป็นผู้บริหารหลักของ SPI ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งมีหน้าที่หลักในการร่วมทุนธุรกิจใหม่ๆ ของเครือสหพัฒน์
วิชัยเผยว่า SPI ยึดแนวทางการทำงานภายใต้หลักคิด 3 ข้อคือ ผูกพัน แบ่งปัน และมั่นคง ซึ่งถอดแบบมาจากคำสอนของผู้บริหารรุ่นบุกเบิกที่ว่า ธุรกิจของเครือสหพัฒน์ต้องสร้างความผูกพันกับท้องถิ่นและรู้จักแบ่งปัน ซึ่งทั้งสองข้อนี้จะนำมาสู่ความมั่นคงและยั่งยืน
“ทำงานกับใครต้องไม่เอาเปรียบเขา ทำการค้าต้องซื่อสัตย์ รู้จักแบ่งปัน และตอบแทนสังคม” เป็นคำที่ผู้บริหารเครือสหพัฒน์กล่าวอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน แนวคิดในการทำธุรกิจของลูกหลานเครือสหพัฒน์จึงมีภาพชัดเจนในเรื่องความซื่อตรงและซื่อสัตย์ สะท้อนผ่านธุรกิจที่ทำรวมถึงโครงการใหญ่ KingsQuare วิชัยย้ำว่า แม้จะออกแบบและก่อสร้างโดยทีมงานอันดับ 1 แต่จะไม่มีการค้ากำไรเกินควร ขายด้วยราคาที่สมเหตุสมผล ทุกอย่างล้วนอำนวยความสะดวกให้คนในพื้นที่ ตอบโจทย์ธุรกิจที่มุ่งเติบโตควบคู่ไปกับสังคม
“เราคิดต่างจากคนอื่นในแง่การทำกำไร และเชื่อว่าการสร้างคนสำคัญที่สุด ทุกอย่างที่ทำขึ้นมาจึงเน้นเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเพื่อวางรากฐานไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า” คอมมูนิตี้ที่ดีทั้งสังคมในโรงเรียนและพื้นที่โดยรอบจะทำให้คนจดจำและบอกต่อ เป็นอีกยุคของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างการจดจำให้เด็กๆ รุ่นอัลฟ่า เมื่อเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่และมองกลับมาภาพจำของพวกเขาทั้งโรงเรียนและการใช้ชีวิตกับ Community of Kindness แห่งนี้ เชื่อว่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาคิดพัฒนาสิ่งดีๆ ให้กับสังคมในยุคของพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น
มองไปข้างหน้าอีก 3-5 ปีการพัฒนาอสังหาฯ ของเครือสหพัฒน์จะเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป และที่ดินแปลงที่สร้างอาคารสำนักงาน KingBridge Tower ยังมีเหลือให้พัฒนาได้อีก
“KingBridge จะเป็นอาคารสูงที่สุดแห่งแรกของทำเลพระราม 3 ใช้พื้นที่ 6 ไร่ พัฒนาเฟสแรกก่อน เรายังมีอีก 17 ไร่ติดแม่น้ำฝั่งตรงข้าม รวมแล้วบริเวณนั้นมีที่ดินกว่า 20 ไร่” สำหรับการพัฒนาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม วิชัยบอกว่า ด้วยปรัชญาของการทำธุรกิจเครือสหพัฒน์ที่เน้นผูกพัน แบ่งปัน และมั่นคง ดังนั้น การพัฒนาใดๆ จะเปิดให้คนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมและให้ผู้ประกอบการรายอื่นมีโอกาสเข้ามาพัฒนาพื้นที่ไปด้วยกัน
“เราไม่เคยทำอะไรที่เป็นการรวบไว้เพียงผู้เดียว จะเห็นว่าเครือสหพัฒน์มักพัฒนาส่วนหลักและเปิดโอกาสให้ชุมชนหรือสังคมพัฒนาต่อเนื่องไปด้วย” เขาย้ำว่า นี่คือแนวคิดหลักของเครือสหพัฒน์ตั้งแต่ยุคแรกถึงปัจจุบัน การพัฒนาต้องเดินคู่ไปกับสังคมและชุมชนเสมอ
ผสานธุรกิจคู่สังคม
ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงในการพูดคุยหลายประโยคที่วิชัยบอกเล่าหลายเหตุผลที่นำมาอธิบายล้วนสะท้อนตัวตนและความเป็นเครือสหพัฒน์ได้ชัดเจน ทั้งที่ความจริงแล้ววิชัยบอกว่า เขาเข้ามาร่วมงานกับเครือสหพัฒน์เต็มตัวในช่วง 10 ปีหลังนี้เอง แต่ได้เห็นการเติบโตและการขยายธุรกิจไปหลากหลายประเภทจากการมีพาร์ตเนอร์ใหม่เข้ามาอยู่เสมอ มีทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก
“โลกธุรกิจหยุดไม่ได้ พาร์ตเนอร์มี shared value ร่วมกับเรา เรามองหาเขา เขาก็มองหาเรา” เป็นรูปแบบการเติบโตที่เขาพบเห็นมาตลอด โดยเฉพาะความสนใจของผู้ประกอบการต่างชาติยังคงมีเข้ามาในไทยตลอดเวลา
“ล่าสุด Zhen Ding Tech Group ผู้ผลิต PCB หรือแผงวงจรพิมพ์อันดับ 1 ของโลกจากไต้หวันระบุมาเลยว่าจะลงทุนกับเครือสหพัฒน์ ดีลนี้ใช้เวลา 6 เดือนเราดึงการลงทุนเข้าไทยได้กว่า 5 หมื่นล้านบาท” ซีอีโอ SPI เผยว่า การทำธุรกิจหรือการร่วมทุนไม่ได้มีแค่ความยากหรือง่าย แต่ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ พาร์ตเนอร์ส่วนใหญ่มั่นใจที่จะร่วมทุนกับเครือสหพัฒน์จึงเลือกให้เป็นพาร์ตเนอร์อันดับต้นๆ
เขาบอกว่า ได้แง่คิดจากเรื่องนี้คือ ความเชื่อมั่นสำคัญมากนักธุรกิจไทยต้องทำให้ต่างชาติมั่นใจว่าเข้ามาแล้วมีพาร์ตเนอร์ที่ดีคอยดูแลและให้ความจริงใจในการร่วมธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เครือสหพัฒน์จึงมีพาร์ตเนอร์ต่างชาติจำนวนมากโดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น สร้างงาน สร้างเงิน และจ่ายภาษีให้ประเทศจากยอดขายเป็นแสนล้านบาท
วิชัยบอกเล่าเรื่องราวอีกหลายอย่างในการทำธุรกิจ การร่วมทุนของเครือสหพัฒน์และพาร์ตเนอร์ที่เพิ่มเข้ามาทุกปีเพราะเชื่อมั่นในการร่วมธุรกิจกับเครือสหพัฒน์ ทำให้เครือข่ายธุรกิจขยายไปในหลายๆ กิจการ ทั้งหมดนี้มาจากความเชื่อถือในการร่วมงานกับเครือสหพัฒน์ที่มีแนวคิดในการทำธุรกิจชัดเจน
“อยู่ใน 3 คำที่พูด ผูกพัน แบ่งปัน และมั่นคง ผู้ใหญ่ทำมา เราทำต่อ และบอกทุกคนว่าเราเป็นอย่างนี้ สะท้อนผ่านทีมงาน SPI ว่าเป็นคนที่มีน้ำใจ มองไกล รักษาสัญญา ทำให้ต่างชาติมั่นใจ” เขาหมายถึงตั้งแต่วันแรกของการแสดงความสนใจร่วมธุรกิจเครือสหพัฒน์ไม่มีการเอาเปรียบ ให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนมุมมองด้วยความจริงใจ ไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ และเมื่อได้ตกลงร่วมกันแล้วจะต้อนรับอย่างมิตร
ทั้งนี้ เป็นหลักคิดและแนวปฏิบัติที่ผู้บริหารเครือสหพัฒน์ทำมาโดยตลอด “เราสร้าง core value ว่า Success with Synergy and Sharing การทำงานต้องมีความสำเร็จ มีผลงาน ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ยิ่งใหญ่และสวยงาม” วิชัยเผยว่า แนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งมาทำภายหลัง แต่เป็นแนวปฏิบัติที่ผู้บริหารเครือสหพัฒน์ทุกรุ่นสืบทอดกันมา
ซีอีโอ SPI ยังเผยสิ่งที่เขาคิดและทำตลอดหลายปีว่า ยึดแนวทางเรื่องการแบ่งปันมาโดยตลอด “ตอนทำงานผมรับผิดชอบหลายอย่าง เลยต้องเตือนตัวเองหลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ อยู่ตำแหน่งนี้อย่าลืมตัวหรือสำคัญตัวผิด ไม่มีอะไรที่จะอยู่ได้ยาวนานตลอดกาล” เป็นข้อเตือนใจตัวเองเสมอว่า อย่าสำคัญตนผิด ไม่มีอะไรที่จะยั้งยืนยง ต้องรู้จักประมาณตน
รับชมบทสัมภาษณ์ในรูปแบบวิดีโอ:
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ SPI
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : นพมาศ ปิยะธำรงชัย แม่ทัพหญิงคนแรก BTicino ไทย