แม้ว่า วัลลภา ไตรโสรัส จะมีภารกิจวุ่นวายในแต่ละวัน แต่ก็ยังจัดสรรเวลาได้อย่างลงตัวทั้งฟูมฟักลูกทั้ง 5 คนให้เป็นเด็กดี และบริหารพอร์ตอสังหาฯ มูลค่านับแสนล้านของ AWC ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับประเทศ
ในวันที่ Forbes Thailand เข้าสัมภาษณ์ วัลลภา ไตรโสรัส ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของไทย เธอมีภารกิจวุ่นวายตั้งแต่เช้า เริ่มด้วยไปส่งบุตรชายทำใบขับขี่ จากนั้นก็กลับมาลงนามในความร่วมมือกับ Nobu Hospitality แบรนด์ไลฟส์ ไตล์สุดหรูระดับโลก ต่อด้วยประชุมบอร์ดผ่านออนไลน์ภายในรถระหว่างการเดินทาง ก่อนที่จะมาจบลงด้วยการให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่าย พร้อมกับสลัดลุคผู้บริหารเป็นนางแบบสมัครเล่นโพสท่าถ่ายรูปให้ตากล้องของนิตยสารโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย นี่เป็นภารกิจเสี้ยวหนึ่งของชีวิตบุตรคนที่ 2 ของเจ้าสัวธุรกิจน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี ที่อัดแน่นในแต่ละวัน ท่ามกลางโควิด-19 ระบาดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่ธุรกิจโรงแรมโดยรวมแทบจะหยุดชะงักเนื่องจากน่านฟ้าไม่เปิด ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา และตัว AWC ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ จนบริษัทเผชิญหน้ากับการขาดทุนราว 1.88 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา จากมีกำไรในปี 2562 ราว 1.05 พันล้านบาท และไตรมาสแรกของปีนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ที่ 594 ล้านบาท แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ทำให้วัลลภาตื่นตระหนกแต่อย่างใดตรงกันข้ามเธอยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ใช้วิกฤตนี้เป็นบทเรียนนำพา AWC ก้าวย่างอย่างระมัดระวัง และใช้เวลาช่วงนี้หันมาปรับปรุงบริษัทให้แข่งแกร่งมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมๆ กับมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ เพื่อรอวันเวลากลับสู่วันปกติอีกครั้ง คาถาบทเดียวที่เธอท่องไว้ ณ ขณะนี้คือต้อง “อดทน” เข้าไว้ คำสอนจากบิดาและคุณหญิงวรรณา ผู้เป็นมารดาที่ได้พร่ำสอนเธอตั้งแต่วัยเยาว์ และคำๆ นี้ได้สร้างครอบครัวสิริวัฒนภักดีประสบความสำเร็จจนกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองไทย “เราต้องอดทนแล้วจะสำเร็จ เราเดินหน้าอย่างไรก็จะสำเร็จ ถ้าเราไม่ท้อถอยหรือยกเลิก...สิ่งที่สำคัญคือ ถ้าเรามีสติ มีความเงียบ...คือการมีสติจะเกิดปัญญา ถ้าเมื่อไรมีจุดที่รู้สึกกังวลหรือไม่แน่ใจ ใช้สตินิดหนึ่งแล้วจะเกิดปัญญา” วัลลภากล่าวพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี นอกเหนือบทบาทผู้บริหารดูแลพอร์ตอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับแสนล้านบาทสินทรัพย์มีตั้งแต่สำนักงานให้เช่าจนถึงโรงแรมระดับ 5 ดาว เธอบอกว่า ชีวิตจริงของเธอนั้นมีหลายบทบาท แต่อีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญมากคือ เป็นแม่ของลูกทั้ง 5 คน ซึ่งเธอก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบแม้ว่าจะมีตารางเวลาทำงานอย่างแน่นทุกวันก็ตามที เพราะเธอมองว่า การทุ่มเทเวลาฟูมฟักบุตรทั้งหมดจะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม “จริงๆ ก็เคยถามกับคุณพ่อตอนเด็กๆ ตอนนั้นก็เคยถามว่า เราเกิดมาทำไม พ่อบอกว่า เรามีหน้าที่ ก็ยังนึกว่า หน้าที่เอ๋ (ชื่อเล่นของวัลลภา) มีอะไรบ้าง ก็มามองถึงเรามีบทบาทต่างๆ คือ เราทำให้ดีที่สุดบทบาททั้งหมดมันสำคัญหมดในต่างมุม” วัลลภากล่าว ทำไมมีลูกตั้ง 5 คน? พวกเราอดสงสัยไม่ได้เพราะปัจจุบันนี้หายากมากที่ครอบครัวหนึ่งจะมีลูกมากขนาดนี้ สตรีนักบริหารวัย 47 ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า ตอนแรกก็ไม่คิดจะมีถึง 5 คน ขณะมีคนที่ 3 บังเอิญว่าเพื่อนของบิดามาบ้านแล้วทักว่า ให้มี 2 หรือไม่ก็ 5 คนไปเลย เธอเลยตัดสินใจจบที่เลข 5 ซึ่งเป็นความเชื่อเล็กๆ และดูเหมือนว่าเธอก็คิดไม่ผิด เพราะทุกวันนี้เด็กๆ ทั้งหมดสร้างความครึกครื้นให้กับบ้านและเติมเต็มความสุขให้กับคนในครอบครัว ลูกของเธอทั้ง 5 (ชาย 2 หญิง 3) มีชื่อเล่นด้วย “ต” ทั้งหมด คนโต ปรัณ “ตั้น” อายุ 18 ปี, ชญา “แตม” อายุ 17 ปี, พริม “เตย” อายุ 15 ปี, วรัท “ตรง” อายุ 13 ปี และลูกสาวคนเล็ก ณมน “ตอง” อายุ 11 ปี โดยปรัณกำลังจะไปศึกษาต่อด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ University of Notre Dame ประเทศสหรัฐฯ สาขาการเรียนก็ไม่ต่างจากวัลลภาเลย ซึ่งจบระดับปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ใช่ว่าการมีลูก 5 คนดูจะเหนื่อยไปเสียหมดสำหรับเธอแล้วมองว่ามันเป็นความโชคดีมากกว่า เด็กๆ ทั้ง 5 เมื่อเริ่มโตขึ้นพวกเขาจะเริ่มห่างจากเธอไปตามธรรมชาติ โดยจับกลุ่มพูดคุยกันเอง ปรึกษากันเอง มองในแง่ดีคือว่า เด็กๆ เชื่อมั่นในความคิดเห็นของพี่น้องและไว้ใจคนในครอบครัว เรื่องบางเรื่องเด็กๆ ก็ไม่ต้องการปรึกษาพ่อแม่เพราะรู้สึกว่าไม่เข้าใจในมุมมองของเด็กสำหรับเรื่องการเรียนวัลลภาเน้นให้เด็กรับผิดชอบตนเอง ดูแลการเรียนด้วยตนเองไม่กดดัน ปล่อยให้เด็กๆ “drive” ตัวเอง เมื่อกลับเข้ามาสู่โหมดการทำงาน วัลลภาก็จัดเต็มทุกอย่าง ไม่เพียงลุยกับทีมงานหาข้อมูลไม่ว่าจะข้อมูลที่จับต้องได้จากการทำวิจัยหรือหาข้อมูลจากแหล่งที่จับต้องไม่ได้เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านบาทเดินหน้าไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง ก่อนหน้านี้วัลลภาเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยอยู่แล้ว อย่างมุมของธาตุโลหะ ธาตุน้ำ หรือทิศมงคล นำการเสริมเรื่องฮวงจุ้ย แพลนนิ่งเข้าสู่ในแบบการก่อสร้าง จากนั้นก็มีความเชื่อเรื่องของ “เจ้าที่” เพิ่มเข้ามา ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องงมงายและให้เหตุผลว่า “เชื่อว่าหลายๆ อย่างมีเหตุผลที่เราไม่ทราบ” “การทำที่ดินเป็นการลงทุนในระยะยาว เราพยายามมองถึง “ลูกค้า” และ “สภาพตลาด” แล้วสร้างโครงการที่จะตอบโจทย์แต่บางทีเราได้คำแนะนำเสริมต่างๆ ก็เอามาเพิ่มเติมในการวิเคราะห์ สิ่งที่สำคัญคือ เราไม่อยากทำอะไรผิดแล้วไปกระทบใคร เจ้าที่อาจไม่ชอบ เราอยากให้แน่ใจว่าเจ้าที่ happy เราจะได้ดูแลโครงการให้ลูกค้าเรา ชุมชนก็ happy” เธอกล่าว การเข้ามารับหน้าที่ใน AWC เธอบอกว่าเป็น “จังหวะของชีวิตที่ตั้งใจ” ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ “journey” ที่มีคุณค่าเช่นนี้ ตั้งแต่การทุ่มเทเรื่องการเสนอขายหุ้นใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในปี 2562 การวางวิสัยทัศน์ของบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต จนถึงการเฟ้นหาตัวตายตัวแทนคนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อวิสัยทัศน์เพื่อให้บริษัทเดินหน้าบรรลุเป้าหมายดังนั้น เธอบอกว่า ณ ขณะนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกมาก ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์กับบริษัทแต่เป็นประโยชน์กับประเทศอีกด้วย ความตั้งใจของเธอคือ อยากดำเนินธุรกิจแล้วสามารถสร้างคุณค่าให้กับประเทศ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและชื่อเสียงให้กับประเทศ แม้โควิดจะยังระบาดแต่เธอก็ยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพอีกมากด้านการลงทุน และยังเป็นที่หมายปองของบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพักผ่อน ก่อนจะจบการพูดคุยในวันนั้น เธอปิดท้ายกับพวกเราว่า เมื่อได้ทำทุกบทบาทอย่างเต็มที่แล้ว ความรู้สึกที่ได้ตามมาคือ “Enjoy and happy” ภาพ: กิตติเดช เจริญพร และ AWC อ่านเพิ่มเติม:- วัลลภา ไตรโสรัส แม่ทัพ AWC POWER OF LAND DEVELOPER
- มรกต กุลธรรมโยธิน “INETREIT” ทรัสต์รับเทรนด์ดิจิทัล
- HONG CHICHI ผู้ก่อตั้ง HEY MAET
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine