อิชิตัน ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ หนุนยอดขายผ่านร้านโชห่วยเพิ่ม นำแบรนด์ไบเล่วางจำหน่ายอีกครั้งเจาะเฉพาะร้านค้าย่อย พร้อมรับรู้รายได้ตลาดอินโดเซียพลิกมีกำไร ปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวม 6,500 ล้านบาท ขยายตัว 24% ห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อกระทบต้นทุน
ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ตลาดชาพร้อมดื่มมูลค่า 11,213 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.96 ขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มเซกเมนต์อื่นหดตัวลง ซึ่งแนวโน้มตลาดชาเขียวพร้อมดื่มยังเติบโตต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Nielsen พบว่าในเดือนมกราคมขยายตัวร้อยละ 28.65 จากเดือนมกราคมของปีก่อนข้อมูลสำคัญ:
- ปี 2565 อิชิตัน ตั้งเป้ารายได้รวม 6.5 พันล้านบาท เติบโตร้อยละ 24
- ปัจจัยการเติบโตมายอดขายผ่านช่องทาง Traditional Trade หรือโชห่วย
- มูลค่าตลาดน้ำผลไม้ที่มีสัดส่วนน้ำผลไม้แท้ต่ำกว่า 24% มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท
- ตลาดผู้บริโภคอินโดนีเซียมีความนิยมผลิตภัณฑ์ชานม รสชาติแบบไทย และชานมบราว ซูการ์ เพิ่มขึ้น
สำหรับอิชิตัน ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 546.8 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 6.1 ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 19.3 มีอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 10.5 ด้านรายได้จากการขาย 5,228.3 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 2.5 จากปีก่อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตรากำไรดีขึ้นมาจากยอดขายผ่านช่องทาง Traditional Trade หรือโชห่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ ทำให้ร้านโชห่วยขายดีขึ้น ทำให้กำไรของอิชิตันเติบโต ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายผ่าน Modern Trade และ Traditional Trade อยู่ที่สัดส่วน 51:49 จากเดิมการขายผ่านโมเดิร์นเทรดคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 60
นำแบรนด์ไบเล่เจาะตลาดโชห่วย
ตัน กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะขยายช่องทางร้านโชห่วยเพิ่มขึ้น โดยนำแบรนด์ไบเล่ออกมาทำตลาดอีกครั้ง เน้นราคาจำหน่ายขวดละ 10 บาท รวมทั้งนำอิชิตันชาเขียวพร้อมดื่มรสน้ำผึ้งผสมมะนาว ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคให้การตอบรับ จัดแคมเปญบุกตลาด Traditional Trade ต่อเนื่อง “ที่ผ่านมา การทำตลาดแบรนด์ไบเล่ เราพยายามถอดสูตรให้เหมือนกับรสชาติดั้งเดิม ซึ่งมีต้นทุนสูง ทำให้ไม่สามารถวางตลาดได้ แต่ครั้งนี้เราพัฒนารสชาติให้ใกล้เคียง แต่อร่อยกว่า ตั้งราคาขายไม่แพง เพื่อเจาะกลุ่มร้านโชห่วยโดยเฉพาะ และร้านค้าส่งอย่างแม็คโคร ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับดี” ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไบเล่อยู่ที่ 100 ล้านบาท สำหรับตลาดน้ำผลไม้ที่มีสัดส่วนน้ำผลไม้แท้ต่ำกว่าร้อยละ 24 ยังเป็นตลาดที่เติบโต ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้จะมีสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่มอัดแก๊ส หรือ Carbonated Soft Drink ในเดือนมิถุนายนและการรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์อาซาฮีในช่วงเดียวกันตั้งเป้ารายได้ 6,500 ล้านบาท
ตัน กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 6,500 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 24 จากปีก่อน และคาดว่ากำไรจะเติบโตในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งปีนี้แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว จากสถานการณ์โควิดที่ไม่รุนแรง แม้จะมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องต้นทุนจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อวัตถุดิบในการผลิตขวด ซึ่งหากยืดเยื้อถึงเดือนมิถุนายนต้องมีปรับราคาสินค้าอีก “ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตขวดเพิ่มร้อยละ 3.2 ทำให้เราต้องปรับราคาขายส่งเพิ่มขึ้นลังละ 2 บาท ซึ่งยังไม่กระทบผู้บริโภค แต่หากสงครามยืดเยื้อในเดือนมิถุนายนต้องมาดูกันอีกรอบ เพราะปกติจะทำสัญญาทุก 6 เดือน ถึง 1 ปี หากราคาน้ำมันยังไม่ลดลง ก็จำเป็นต้องปรับราคาสินค้าอีกรอบ” ตันกล่าว สำหรับรายได้ 6,500 ล้านบาทในปีนี้ จะมาจากตลาดในประเทศประมาณร้อยละ 78 ที่เหลือมาจากตลาดส่งออกและการรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งตลาดส่งออกในปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีการเติบโตที่โดดเด่น มียอดขาย 1,080 ล้านบาท และมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 111 หรือ 59 ล้านบาท จากที่ผ่านมามีผลขาดทุน 200-300 ล้านบาท ปัจจัยที่ทำให้ตลาดอินโดนีเซียประสบความสำเร็จมาจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชานม รสชาติแบบไทย และ ชานมบราว ซูการ์ เป็นที่นิยมมากขึ้น และมียอดขายผ่านช่องทาง Traditional Trade เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยปีนี้เพิ่มไลน์ผลิตที่สองอยู่ระหว่างลงนามกับโรงงานผลิตเพิ่ม คาดว่าตลาดอินโดนีเซียในปีนี้จะมีกำไร 75 ล้านบาท ส่วนตลาดอื่น ๆ เริ่มทยอยฟื้นตัว เช่น กัมพูชา เป็นต้น ด้านธุรกิจใหม่ที่อิชิตัน เข้าถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 25 ในบริษัท พรีดิกทิฟ จำกัด (Predictive) เข้ามาเสริมความแกร่งในส่วนของ Big Data เพื่อนำมาใช้เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ และการทำการตลาดได้อย่างตรงกลุ่ม และหากผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย เตรียมนำพรีดิกทิฟเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2567 และยังกำลังศึกษาธุรกิจอย่างใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง “ในปี 2565 อิชิตันยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโต ภายใต้กลยุทธ์ 3N (New Product, New Market และ New Business) เชื่อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในอนาคต” ตันกล่าว อ่านเพิ่มเติม: เกรียงไกร กาญจนะโภคิน พา “ไทยแลนด์ พาวิลเลี่ยน” สู่สายตาชาวโลกไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine