ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค จัดใหญ่ร้อนนี้ เตรียมลงทุนกว่า 1,000 ล้านในรอบ 7 ปี ขยายไลน์ผลิตสินค้าที่โรงงานสระบุรี พร้อมรีแบรนด์น้ำสีมิรินด้าและเซเว่นอัพหาลูกค้าตัวจริง พร้อมแตกไลน์สินค้าเซกเมนต์ใหม่รับเทรนด์ตลาด เสริมแกร่งและรับการโตระยะยาว
ทานุจ ชาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์สินค้าของซันโทรี่และเป๊ปซี่โคในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทขยายไลน์การผลิตสินค้าเครื่องดื่มน้ำอัดลมและสินค้าไม่อัดลม ที่โรงงานในจังหวัดสระบุรี คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในสิ้นปีนี้ การลงทุนดังกล่าวจะทำให้กำลังการผลิตสินค้าทั้งหมดเพิ่มขึ้นอีก 50% นอกจากนี้ยังจะใช้เงินนี้ลงทุนเพื่อหา consumer insight และพัฒนาสินค้าให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค
นี่นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปีภายหลังจากบริษัท เป๊ปซี่ โค อิงค์ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ซันโทรี่ ผู้นำเครื่องดื่มระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ขยายธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ ในประเทศไทย
“ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ยังคงลงทุนต่อเนื่องในเมืองไทย เพราะเชื่อมั่นว่าน้ำอัดลมยังจะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ไลน์การผลิตที่ติดตั้งใหม่จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด ผลิตทั้งสินค้าเดิมและสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง” ทานุจกล่าว

ทานุจ ระบุอีกว่า ธุรกิจของซันโทรี่ เป๊ปซี่ ในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 8.2% เติบโตกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ถึง 2 เท่า และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาล
ในปีนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายพอร์ตสินค้าเครื่องดื่มด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อตอบรับความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เสริมความแข็งแกร่งด้านการขายและซัพพลายเชน เพิ่มขีดความสามารถการผลิต นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยความสามารถของบุคลากร

อนวัช สังขะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตธุรกิจมากกว่าการเติบโตของตลาดน้ำอัดลมโดยรวมอีกเท่าตัว ด้วย 4 กลยุทธ์คือ
กลยุทธ์แรก คือสร้างความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องให้กับแบรนด์เรือธงคือเป๊ปซี่ (Strengthen Pepsi) ด้วยการสร้างเติบโต brand equity ให้อยู่ในใจของกลุ่ม Gen Z มากขึ้น มีสินค้าใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้ตลาด ล่าสุด ได้วางตลาด “Pepsi Ume” หรือเป๊ปซี่บ๊วยสู่ตลาด หลังจากได้ใช้เวลาพัฒนาและทดสอบรสชาติมาประมาณปีครึ่ง นอกจากนี้ยังจะสร้าง consumer engagement มากขึ้น เชื่อมต่อผู้บริโภคด้วยประสบการณ์อินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์โดนใจผ่านโซเชียลมีเดีย หรือมีแพลตฟอร์มอาหารเพื่อให้ลูกค้ามาทำฟู้ดรีวิวได้
กลยุทธ์ที่สอง คือสร้างการเติบโตให้ธุรกิจของน้ำสีซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 9% ด้วยการรีแบรนดิ้งแบรนด์มิรินด้าและเซเว่นอัพครั้งแรกในรอบ 3 ปี หาแบรนด์ proposition ใหม่ ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 20-29 ปีจากเดิมที่เป็นกลุ่มอายุ 13 ปีขึ้นไป เพื่อสร้างความแตกต่างและหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดกับแบรนด์สินค้าประเภทเดียวกันกับในตลาด นอกจากนี้ยังมีสินค้าใหม่ๆ มาสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด อาทิ Mirinda Blueberry Orange และ 7Up Lemon Soda Pineapple Peach เป็นต้น
กลยุทธ์ที่สาม คือ Penetrate Energy &Hydration ด้วยการส่งสินค้าใหม่คือ สติงค์ ที่มี Unique Proposition เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานที่มีความสนุกและ flavorful สติงค์ถือเป็นแบรนด์ในพอร์ตที่มีโอกาสเติบโตมากเพราะประสบความสำเร็จตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา จนครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังสมัยใหม่ด้วยส่วนแบ่งตลาด 11-12%
ล่าสุด บริษัทได้ปรับขนาดของสติงค์ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อจาก 300 มิลลิลิตร เป็น 250 มิลลิลิตร เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และรองรับตลาดเครื่องดื่มให้พลังงานแบบใหม่ มีรสชาติซ่า บรรจุในบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ทันสมัย ที่มีการเติบโต 5 เท่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาและจะเติบโตมากขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน modern energy drink มีสัดส่วนตลาด 7% ที่เหลืออีก 93% เป็น traditional energy drink
กลยุทธ์สุดท้าย คือ การเร่งการเติบโตของเครื่องดื่มชาพร้อมดื่มและกาแฟ ด้วยการออกสินค้าใหม่ๆ สู่ตลาด อาทิ Boss Yuzu Black ที่วางตลาดไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นต้น

“ธุรกิจของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เติบโตด้วย 2 สิ่ง คือ แบรนด์ และคน ก่อนที่จะวางกลยุทธ์ให้เราเติบโตต่อไปได้ในอนาคต สิ่งแรกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปยังไง คอนซูเมอร์เปลี่ยนแปลงไปยังไง” อนวัชกล่าว และว่า การออกสินค้าใหม่ของบริษัททั้งหมด จึงสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดหลักๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีข้างหน้าและเกิดเร็วขึ้น ได้แก่
1. เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย การดูแลตัวเองมากขึ้น คนใช้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น คนออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น และอีกกลุ่มใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น
2. Joyfull Moments คนให้รางวัลกับตัวเองมากขึ้นด้วยการเดินทางไปต่างประเทศ ออกกำลังกายและปาร์ตี้กับเพื่อน
3. Health Conscious คนดูแลสุขภาพมากขึ้น เมื่อเลือกซื้อสินค้าจะคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น
4. Sustainability โดย Gen Z ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืนค่อนข้างมาก
5. ผู้บริโภคมองเรื่อง Value For Money มากขึ้น
6. Digitalization & AI
สำหรับเรื่องภาษีความหวาน (Sugar Tax) เฟส 4 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายนนี้ จะมีผลกระตุ้นให้บริษัทผลิตสินค้ากลุ่มน้ำตาลน้อยและไม่มีน้ำตาลออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ปรับสูตรสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรการภาษีความหวาน และสร้างรสชาติที่คุ้นเคยให้กับผู้ดื่มมาระยะหนึ่งแล้ว แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นสำหรับสินค้าบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาแต่ไปเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และปรับปรุงซัพพลายเชน เพื่อบริหารต้นทุน ทำให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันเป๊ปซี่ มีมาร์เก็ตแชร์ 39.1% ในตลาดน้ำดำ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ในสิ้นปี สำหรับภาพรวมตลาดน้ำดำในปีนี้น่าจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เพราะอากาศเริ่มร้อนขึ้น และทุกๆ แบรนด์น่าจะจัดกิจกรรมการตลาด สำหรับบริษัทตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนนี้จะมีสินค้าใหม่ออกวางตลาด 8 รายการ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำอัดลมโดยรวมเติบโต 4-5% ส่วนตลาดไม่มีน้ำตาล ตลาดเติบโต 7-8%
ภาพ: ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : หาดทิพย์ เบอร์ 1 ผลิตโคคา-โคล่าภาคใต้ ปี 67 กวาดรายได้ 8,130 ล้านบาท ส่วนปีนี้ลุยคืนชีพการเติบโต ‘ขวดแก้ว’
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine