หาดทิพย์ ผู้ผลิตเครื่องดื่มในเครือโคคา-โคล่า เบอร์ 1 ของภาคใต้ กวาดรายได้ปี 2567 ที่ 8,130 ล้านบาท แต่มาร์เก็ตแชร์ลด หลังเจอการแข่งขันรุนแรงจากภาษีน้ำตาล ส่วนปีนี้ลุยขยายเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลสู้ศึก และคืนชีพการเติบโตให้ ‘ขวดแก้ว’ แบบคืนขวด ยืนยันปีนี้ยังไม่ขึ้นราคา แม้เจอโจทย์หินอย่าง ‘ภาษีน้ำตาล’
บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่าเพียงผู้เดียวในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอประกอบไปด้วย “โคคา-โคล่า”, “แฟนต้า”, “สไปรท์”, “ชเวปส์”, “เอแอนด์ดับบลิว” รูทเบียร์ รวมถึงน้ำส้ม “มินิทเมด สแปลช”, “มินิทเมด พัลพิ”, น้ำดื่ม “น้ำทิพย์”, น้ำแร่ “บอน อควา” และ “อู-ฮ่า”
พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2567 มีการเติบโตที่น่าพอใจ โดยมียอดขายรวมที่ 72.4 ล้านลัง เพิ่มขึ้น 3.5% โดยในจำนวนนั้น 68.8 ล้านลังมาจากใน 14 จังหวัดภาคใต้ อีก 3.7 ล้านลังเป็นการขายให้กับไทยน้ำทิพย์
ทั้งนี้ ในปี 2567 หาดทิพย์มีรายได้ 8,130 ล้านบาท เติบโตในอัตรา 4 % และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท หรือประมาณ 0.6% เมื่อเทียบกับปี 2566
“หาดทิพย์ยังคงครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมภาคใต้ไว้ได้ที่ 78.3% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่มาร์เก็ตแชร์ของหาดทิพย์อยู่ที่ราว 81-82% สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากกรณีภาษีน้ำตาล ที่ผู้ประกอบการบางรายมีอิสระในการปรับสูตร ลดน้ำตาลได้ด้วยตัวเอง แต่เราทำไม่ได้ เราต้องคุยกับโคคา-โคล่าก่อน เพราะรสชาติต้องเหมือนกันทั่วโลก ตรงนี้ทำให้การแข่งขันก็ไม่เท่าเทียมกันแล้ว” พลตรี พัชร กล่าว

พลตรี พัชร ยังระบุถึงผลการดำเนินงานที่น่าสนใจอื่นๆ ในปี 2567 ด้วย เช่น น้ำทิพย์ สามารถครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดน้ำดื่มภาคใต้ได้ 8% และเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลที่แม้จะครองสัดส่วนรายได้เพียง 5% แต่กลับมีการเติบโตสูงถึง 23%
“เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลยังเป็นกลุ่มที่มีโอกาสโตได้อีกมาก เพราะในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาดื่มมากขึ้น รสชาติก็มีการพัฒนามากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ยังมีโอกาส” พลตรี พัชร กล่าว
อัมริท คุมาร์ เซรสธา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานดังกล่าวคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ให้จ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายของปี 2567 ในอัตรา 0.57 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่ได้จ่ายไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่อัตรา 0.48 บาทต่อหุ้น เท่ากับบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลรวมสำหรับปี 2567 ในอัตรา 1.05 บาทต่อหุ้น และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับ 6%

“แม้ในปี 2567 หาดทิพย์จะประสบความท้าทายหลักคือต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาอะลูมิเนียมและน้ำตาล แต่รายได้ที่เติบโตของบริษัทเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวไทยและสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้น
"นอกจากนี้ยังมาจากการจัดจำหน่ายแบบไดนามิก ซึ่งหมายถึงการผสมผสานราคา การผสมผสานบรรจุภัณฑ์ และการผสมผสานช่องทาง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กที่ขายดีในพื้นที่การท่องเที่ยว” อัมริท คุมาร์ เซรสธา กล่าว
สำหรับปริมาณการขายที่เติบโตสูงสุดตามช่องทาง ได้แก่ 19% มาจากโฮเรก้า 15% มาจากร้านสะดวกซื้อ และ 4% มาจากโมเดิร์นเทรด โดยแบรนด์โคคา-โคล่าสร้างรายได้เป็นสัดส่วนถึง 70% รองลงมาคือแฟนต้า
นอกจากนี้ สินค้าในแพ็คเกจจิ้งขวดพลาสติกยังคงครองสัดส่วนมากถึง 78% ขณะที่ขวดแก้วอยู่ที่ 3% เท่านั้น
พลตรี พัชร กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายถัดไปของหาดทิพย์ บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถทำรายได้แตะ 1.1 หมื่นล้านภายในปี 2570 และแตะ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2575
“แผนระยะกลางและยาวของเรา คือจะทำได้อย่างไรให้สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมให้ได้และครองมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 80% โดยเราตั้งเป้าสร้างการเติบโตให้กับสินค้าในกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม ได้แก่ น้ำผลไม้ น้ำดื่ม น้ำชา
“นอกจากนี้เราจะขยายกิจการไปในสินค้าเประเภทอื่นๆ ที่เรายังไม่ได้ลงไปเล่นในตลาด โดยเฉพาะเมื่อเรามีเครื่องจักรใหม่ คือเครื่องจักรสำหรับผลิตขวดแก้วแบบคืนขวด ซึ่งเป็นสายการผลิตที่เราเพิ่งเปิดเมื่อปีที่แล้วด้วยงบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ที่โรงงานพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะสามารถผลิตสินค้าอื่นได้นอกจากน้ำอัดลม ไม่เพียงเท่านั้น เรายังตั้งเป้านำ AI เข้ามาใช้งานได้อย่างเหมาะสมด้วย”
ส่วนในปี 2568 หาดทิพย์ตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้น 40% นอกจากนี้ยังตั้งเป้าขยายจำนวนลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 10% นอกจากนี้ยังเตรียมออกโปรดักต์รสชาติใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาล ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ‘โค้ก’ ซีโร่ กลิ่นวานิลลา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยตั้งเป้าสัดดันส่วนยอดขายเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาลอยู่ที่ 6% ในปีนี้ เติบโต 27%

“ปีนี้เราจะขยายธุรกิจขวดแก้วแบบคืนขวด เพราะเราเชื่อว่าขวดแก้วยังทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ของเราซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยอะ และดีต่อร้านค้าด้วย เพราะต้นทุนที่เข้าร้านค้าก็ต่ำกว่าอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจลงทุนเปิดสายการผลิตใหม่ไปในปีที่แล้ว โดยขวดแก้วที่ออกมานั้นเป็นขวดรุ่นใหม่ของเรา ใช้ฉลากแบบกระดาษ ลดขยะพลาสติกลง โดยเชื่อว่าขวดแก้วยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากกระแสการลดใช้พลาสติกของลูกค้าและลุคที่ดูพรีเมียมของขวดซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่คู่แข่งหลักของเราไม่มี โดยเราตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายของขวดแก้วเติบโตมาอยู่ที่ 4-5% ในปีนี้”
พลตรี พัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อมั่นว่าปี 2568 จะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของหาดทิพย์ โดยจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจภาคใต้จะขยายตัวมากขึ้นในช่วง 3.1-4.1% จากผลผลิตเกษตรที่กลับมาขยายตัว ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงการผลิตเพื่อส่งออกจะขยายตัวตาม อุปสงค์ต่างประเทศที่ปรับดีขึ้น ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ที่ 5-7% ด้วยรายได้จากยอดขายที่ 8,700 ล้านบาท
เขากล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังคงมีความท้าทายในเรื่องของภาษีน้ำตาล และราคาขวดแก้วที่เพิ่มขึ้น แม้การแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือการผลักไปให้ผู้บริโภค แต่หาดทิพย์ไม่อยากขึ้นราคาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
“แต่ราคาวัตถุดิบก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์โลกก็หวั่นไหว ไม่รู้ว่าราคาน้ำมันจะกระทบกับพลาสติกและกระป๋องหรือไม่ ซึ่งเราเตรียมรับมือด้วยต้องบริหารจัดการรายได้ เราต้องมาดูว่าแพ็คเกจนี้ ไซส์นี้ ควรจะขายที่ไหนอย่างไร เพื่อ maximized รายได้ที่จะเข้ามาให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นทางเดียวที่เราจะตั้งรับกับการขึ้นภาษีน้ำตาล ยืนยันว่าปีนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา แต่ถ้าผมจมน้ำ ผมก็ต้องขึ้นแน่นอน” พลตรี พัชร กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: หาดทิพย์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เรดบูล’ เปิดตัวม็อกเทลบาร์ สาขาแรกกลางเซ็นทรัลเวิลด์ จุดเติมเอนเนอร์จี้สไตล์คนรุ่นใหม่
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine