‘หาดทิพย์’ เบอร์ 1 ผลิตโคล่าภาคใต้ ยอดขายปี 66 ทุบสถิติรอบ 5 ปี หลังท่องเที่ยวบูม ปรับราคาขายบางขนาด - Forbes Thailand

‘หาดทิพย์’ เบอร์ 1 ผลิตโคล่าภาคใต้ ยอดขายปี 66 ทุบสถิติรอบ 5 ปี หลังท่องเที่ยวบูม ปรับราคาขายบางขนาด

‘หาดทิพย์’ กวาดยอดขายน้ำอัดลมภาคใต้ 7,806 ล้านบาท ทุบสถิติในรอบ 5 ปีนี้ ส่วนปีนี้เตรียมศึกษาเพิ่มไลน์แอลกอฮอล์ เสริมแกร่งพอร์ต ส่วนน้ำอัดลมเตรียมอัดฉีด 1.2 พันล้าน เพิ่มสายการผลิตขวดแก้วและคลังสินค้าปีนี้ ส่วนธุรกิจอสังหาฯ เตรียมขยายพอร์ตเพิ่ม จับมือพันธมิตรรุกพัฒนาภาคใต้ 14 จังหวัด


    บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) มีผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอประกอบไปด้วย “โค้ก”, “แฟนต้า”, “สไปรท์”, “ชเวปส์”, “เอแอนด์ดับบลิว” รูทเบียร์ รวมถึงน้ำส้ม “มินิทเมด สแปลช”, “มินิทเมด พัลพิ”, น้ำดื่ม “น้ำทิพย์”, น้ำแร่ “บอน อควา” และ “อู-ฮ่า”   

    โดยหาดทิพย์ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 มียอดขายรวม 7,806 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายสูงสุดในรอบ 5 ปี และเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึงร้อยละ13.6 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิรวม 598 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ถึงร้อยละ 38.8

    นอกจากนี้ ยังมั่นใจว่าธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 ในอัตราร้อยละ 6-8 พร้อมลงทุนเพิ่ม 800 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจประเภทขวดแก้ว มุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 15,000 ล้านบาทในปี 2575


    พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “น้ำอัดลมในภาคใต้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก การบริโภคต่อคนต่อหัวในภาคใต้ยังอยู่แค่ 154 ขวด (ขนาด 8 ออนซ์) เทียบกับเม็กซิโก 400 ขวดต่อคนต่อปี ขณะที่หาดทิพย์เป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลมในภาคใต้มา 50 ปี ด้วยส่วนแบ่งตลาด 80% และจะครองความเป็นผู้นำตลาดได้ต่อไป”

    ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่ายอดขายในปี 2023 ที่เติบโตขึ้นเป็นอานิสงส์มาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่มีการฟื้นตัวเร็วกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ


    นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการปรับราคาขายในบางขนาดในช่วงสิงหาคม 2565 และเมษายน 2566 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ร้อยละ 6 และร้อยละ 1.5 ตามลำดับ

    จากข้อมูลของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึงกว่า 28 ล้านคน หรือเติบโตจากปี 2565 ถึงร้อยละ 154 โดยถ้าดูจากสถิติการเข้าพักในโรงแรมและที่พักต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว จะพบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ภาคใต้สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ

    บริษัทฯ จึงใช้กลยุทธ์สร้างการเติบโตของรายได้ ผ่านการกำหนดขนาด รูปแบบผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่ายที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่องทางธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อที่มีการเติบโตของยอดขายสูงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

    สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนรวมอีกประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยงบประมาณ 800 ล้านบาท จะใช้ในการเพิ่มสายการผลิตของผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ชนิดขวดแก้ว ที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยคาดว่าจะเปิดสายการผลิตได้ก่อนไตรมาส 4 ปีนี้ ทำให้บริษัทมีความสามารถในการผลิตน้ำอัดลมเพิ่มเป็น 800 ขวดต่อนาทีจากเครื่องจักรใหม่นี้ จากเดิมที่ความสามารถในการผลิตเครื่องจักรเก่าจะอยู่ที่ 200 ขวดต่อนาทีต่อเครื่อง


    นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังศึกษาขยายไลน์ไปยังสินค้าที่นอกเหนือจากน้ำอัดลม เช่น แอลกอฮอลล์ ในอนาคตด้วย เพื่อให้หาดทิพย์เป็นผู้นำเครื่องดื่มครบวงจรสำหรับธุรกิจหลักของหาดทิพย์

    “การขยายกำลังผลิตขวดแก้ว เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของยอดขายในช่องทางโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร ซึ่งบริษัทฯ มองว่านอกจากจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนบรรจุภัณฑ์ในระยะยาวแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ อีกด้วย”

    พลตรี พัชร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองว่าผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วชนิดคืนขวดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในช่องทางโรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคาร ซึ่งมีความเหมาะสมกับบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ เนื่องจากผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มของเราภายในร้าน (on-premise consumption) และเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เรามีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่ง

    “นอกจากนี้ การมีธุรกิจขวดแก้วที่แข็งแกร่งจะทำให้เราสามารถบริหารต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเราอีกด้วย” พลตรี พัชรฯ กล่าวเสริม และว่า ปัจจุบันการขายน้ำอัดลมในขวดแก้วยังมีเพียง 3% และคาดว่าจะเพิ่มเป็นสัดส่วน 4.5% ใน 2-3 ปีข้างหน้า


ลุยขยายพอร์ตอสังหาฯ

    ทั้งนี้ นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ในเครือของหาดทิพย์นั้นยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในชื่อว่า บริษัท หาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดยล่าสุดได้วางแผนขยายพอร์ตสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปยัง 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งขณะนี้มีที่ดินเรียบร้อยแล้ว ขนาดตั้งแต่ 3-4 ไร่, 10 ไร่ จนถึง 100 ไร่

    “เราทำตลาดน้ำอัดลมในเมืองไทยมา 50 ปี และเมื่อถึงจุดหนึ่งเราต้องขยายการพัฒนาไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ เพราะเราเชื่อว่าศักยภาพและคอนเน็กชั่นที่เรามีในภาคใต้มีมากพอที่เราจะขยายไปพัฒนาอย่างอื่น เราอยากพัฒนาทรัพย์สินที่มีอยู่เฉยๆ ให้สามารถสร้างรายได้” พลตรี พัชร บอก


    โดยหาดทิพย์ ดีเวลลอปเม้นท์ ได้เริ่มพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกที่หาดใหญ่เมื่อปี 2020 เป็นบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ “เดอะ เฮเว่น กาญจนวนิช” ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 300 ล้านบาท แบ่งการก่อสร้างเป็น 3 เฟส ปัจจุบันโครงการก่อสร้างดังกล่าวยังอยู่ในเฟส 3 คาดว่าภายหลังการพัฒนาบ้านเดี่ยวนี้แล้วเสร็จทั้งหมด 65 หลัง ระดับราคา 3-6 ล้านบาท จะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ ประมาณ 56.6 ล้านบาทในปีนี้

    “การทำที่อยู่อาศัยโครงการแรกที่หาดใหญ่ ไม่ได้ต้องการกำไร แต่ต้องการเรียนรู้ สำหรับโครงการในอนาคต จะไม่ลงทุนคนเดียว แต่จะหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญมาเติมเต็มจุดแข็งซึ่งกันและกัน ซึ่งภายหลังจากหาดใหญ่แล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะขยายโอกาสไปยังกระบี่และภูเก็ตด้วย” พลตรี พัชร กล่าวทิ้งท้าย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : PTG ปักธงปี 2570 ครองมาร์เก็ตแชร์น้ำมัน 25% ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5,000 สาขา

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine