PTG ปักธงปี 2570 ครองมาร์เก็ตแชร์น้ำมัน 25% ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5,000 สาขา - Forbes Thailand

PTG ปักธงปี 2570 ครองมาร์เก็ตแชร์น้ำมัน 25% ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 5,000 สาขา

บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) วางกลยุทธ์ปี 2567 เดินหน้ายกระดับธุรกิจ Oil & Non-Oil ภายใต้ Max World พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจทุกภาคส่วนให้บรรลุตามแผนปี 2570 ที่ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์น้ำมันกว่า 25% ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus โตกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยขยายสาขาเพิ่มเป็น 5,000 สาขา


    พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน PTG Business Outlook 2024: Drive for Tomorrow, The Dynamism of Speed โดยระบุว่าปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจในเครือ PTG ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากปี 2566 ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการเติบโตเล็กน้อยเพียง 2.2% แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการกลับเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 13.3% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของประเทศถึง 6 เท่า และเติบโตในทุกช่องทางที่ 12.1% เป็น 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และเป็นครั้งแรกที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้มากกว่า 20%

    ส่วนธุรกิจ Non-Oil มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 13,688 ล้านบาท เติบโต 44.4% ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่สร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องที่จำนวน 634 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 27.7% มีการขยายจุดบริการก๊าซ LPG ในครัวเรือนจำนวน 332 จุด ขณะที่ปริมาณการขายเติบโตถึง 48.0% ส่วนธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้น 54.1% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง



    ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีจำนวนสาขาอยู่ที่ 882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขาจากสิ้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับการเติบโตของสาขาเดิม จากการกลับเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งปี 2566 บริษัทฯ มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 2,087 สาขา เพิ่มขึ้น 561 สาขา หรือเติบโต 36.8% และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil เป็นไปตามเป้าหมายที่ 21.2%

    ทั้งนี้ภายในปี 2570 บริษัทตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่

    1) Expansion & Renovation

    2) Service Innovation

    3) Data Optimization

    พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายสาขาร้านในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันจำนวน 5,000 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศเช่น ลาว พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของบริษัท

    รังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่าปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ Max World ให้แข็งแกร่งมากขึ้น อาทิ ธุรกิจตัวกลางด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่าน บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ทรีซิกซ์ตี้ ซัพพลายเชน จำกัด ผู้ให้บริการ “360 TRUCK” ยอดขายสินค้าออนไลน์ (Gross Merchandise Volume: GMV) ปี 2566 สูงกว่า 1,100 ล้านบาท หรือธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด จำนวน 825 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.33%

    อีกทั้งได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมันภายใต้ชื่อ Elex by EGAT PT ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งแล้ว 49 สถานี และมีแผนจะติดตั้งเป็น 262 และ 712 ในปี 2567 และ 2570 ตามลำดับ

    ส่วนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) โดยซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA ปัจจุบันติดตั้งแล้วบนพื้นที่ 37 สถานี ประหยัดพลังงานมากกว่า 1 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มสถานีดังกล่าว 15% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งปี 2567 PTGGE ได้ตั้งงบลงทุน 1,000 ล้านบาทสำหรับ 5 ปีข้างหน้า เพื่อขยายพอร์ต Solar Rooftop รูปแบบ Private PPA อีก 28.67 MW บนพื้นที่กว่า 1,200 สถานี โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 33 ล้านหน่วยต่อปี คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13,420 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.9 ล้านต้น



    นอกจากนี้ยังร่วมลงนามเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ในสัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท และในอนาคตจะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์ฯ เพื่อถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการตลอดโครงการทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ โดยไทยไพบูลย์ฯ มีการผลิต RDF 1,500 ตัน/วัน มีสัญญากับหน่วยงานท้องถิ่นมากกว่า 20 สัญญา หรือมีขยะมูลฝอยมากกว่า 7 ล้านตัน คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 5 ล้านตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกป่า 555 ล้านต้น

    สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2567 บริษัทประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 10-12% และวางเป้าหมายการขยายสถานีบริการไว้ที่ 2,251 แห่ง

    ด้านธุรกิจ Non-Oil วางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ไว้ที่ 30-40% และขยายสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566 บริษัทยังขยายสาขาธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันมีมากกกว่า 900 สาขา และตั้งเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 400 สาขาภายในปี 2567

    สำหรับธุรกิจใหม่อย่างสินทรัพย์ดิจิทัล ปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด กล่าวว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2 ประเภท ได้แก่ นายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 พร้อมตั้งเป้าหมายปี 2567จะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย และมั่นใจว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์เติบโตเป็น 9-10% และเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘บ้านปู’ ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยคนรุ่นใหม่ แต่งตั้ง ‘สินนท์ ว่องกุศลกิจ’ เป็น CEO

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine