บิ๊กโคล่ากลับมาแล้วแบบ “บิ๊กๆ” คว้าสิทธิ์ Official Partner “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยซ้อนเดินหน้าทวงคืนผู้นำ Top 3 น้ำอัดลมไทย พร้อมขยายพอร์ตสินค้าลดความเสี่ยง ขายตั้งแต่กาแฟ ยันน้ำยาปรับผ้านุ่ม
บิ๊กโคล่า เครื่องดื่มน้ำอัดลมสัญชาติเปรูที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งเป็นการลงทุนนอกลาตินอเมริกาครั้งแรกของแบรนด์
การเปิดตัว “บิ๊กโคล่า” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยเป็นอย่างมาก จนสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำอัดลมไทยได้สูงสุดถึง 12 เปอร์เซ็นต์ รองจากโคคา-โคล่าและเป๊ปซี่
หลังจากนั้นหยุดทำกิจกรรมการตลาดไป 13 ปี ส่วนแบ่งการตลาดของบิ๊กโคล่าเริ่มลดลงและล่าสุดอยู่ที่ 5% เพราะกลุ่มไทยเบฟ ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “est” สู่ตลาด ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของโควิดในปี 2020 ทำให้สถานการณ์ของบิ๊กโคล่ายิ่งแย่ลง และเริ่มจะกลับมาฟื้นตัวเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
แม้ยอดขายของบิ๊กโคล่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่ brand Top of mind ของคนไทยที่มีต่อบิ๊กโคล่าลดลงเหลือเพียง 8% จากเดิมที่มีอยู่มากกว่า 25%
“วันนี้เราพร้อมจะกลับมาทำตลาดเชิงรุกอีกครั้งทั้งในแง่การตลาดและการขยายพอร์ตฟอลิโอไปยังสินค้ากลุ่มใหม่ เป็นการบริหารความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลักจากน้ำอัดลมกว่า 90% ในอนาคตสินค้า non-CSD (carbonate soft drink) จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 15-20%" ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” กล่าว
วันนี้ อาเจไทย ได้เซ็นสัญญาเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาสัญญา 2 ปี
ภายใต้สัญญาดังกล่าว บิ๊กโคล่าจะนำตราสัญลักษณ์สโมสร (CREST) นักฟุตบอล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ มาทำกิจกรรมการตลาดต่างๆ ภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท

ฮวน กล่าวว่า บริษัทเลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” เพราะมีฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งกว่า 5 ล้านคนในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้สินค้าของบิ๊กโคล่าเข้าไป engage กับคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ได้
“กีฬาฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่คนไทยให้ความนิยมอันดับ 1 โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นลีกระดับโลกที่คนไทยชื่นชอบเป็นอันดับ 1 เช่นกัน ทำให้เชื่อมั่นว่าจะช่วยตอกย้ำความเป็นโกลบอลแบรนด์ และทำให้แบรนด์บิ๊กโคล่ากลับมาแข็งแรง และสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับที่แมนฯ ซิตี้ ต้องการขยายมากขึ้นคนรุ่นใหม่ในอาเซียนให้มากขึ้นด้วย” ฮวน กล่าว

แม้ดูเหมือนว่ากิจกรรมของบิ๊กโคล่าจะเงียบกว่าที่เคยเป็นในทศวรรษก่อน แต่ผู้บริหารบริษัทบอกว่าบิ๊กโคล่า ได้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมการตลาดแบบอื่น อาทิ การสนับสนุนทีมฟุตบอล ปารีส แซง แยแมง
และใน 5 ปีหลังนี้ บริษัทได้เน้นเรื่องปรับกระบวนการผลิต ลงทุนโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขยายไลน์เพิ่มเป็น 12 ไลน์ จากเดิมมีเพียง 5 ไลน์ ผลิตเครื่องดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น และขยายการผลิตสินค้าในบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ๆ
นอกจากนี้ยังได้ดึง talent รวมทั้ง ชนินทร์ เทียนเจริญ ที่เคยสร้างความสำเร็จให้บิ๊กโคล่ามาเมื่อกว่า 10 ปี กลับมาร่วมงานกับบริษัทเพื่อปลุกชีพบิ๊กโคล่าอีกครั้งในปีนี้
“ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และบริษัทแม่ อาเจ กรุ๊ป ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้" ฮวนกล่าว
ด้าน ชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บิ๊กโคล่าเตรียมใช้งบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับรุกทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และกลับมาสร้างตลาดให้คึกคักขึ้น การเป็น Official Regional Partner กับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย
บิ๊กโคล่า เตรียมเปิดตัวกลยุทธ์การตลาดครบวงจร เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกิจกรรมการตลาด อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง และโปรโมชั่นแบบครบวงจร รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด การจัดกิจกรรมในทุกช่องทาง และปรับรูปแบบการสื่อสารใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น Gen Y และ Gen Z มากขึ้น และยังครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง
ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดน้ำอัดลม ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการสร้างทีมการตลาดดิจิทัลขึ้นใหม่ และปรับการผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโต และการกลับมารุกตลาดในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์และการสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยได้อย่างแน่นอน” ชนินทร์กล่าว
ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทย ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท เติบโต 3% การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทำให้ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว และรุกทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของราคาและบรรจุภัณฑ์ มีการทำราคาที่ลดลง และมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในราคาที่ต่ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนารสชาติและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้นด้วย
ปัจจุบันบิ๊กโคล่า มีส่วนแบ่งตลาดราว 5% หลังการกลับมารุกทำตลาดในครั้งนี้ บิ๊กโคล่า ตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7% ในปีแรก และ 15% ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เป็น 1 ใน 3 ผู้นำในตลาดน้ำอัดลมเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับบริษัท อาเจ กรุ๊ป เป็นบริษัทเครื่องดื่มใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งในหมวดของเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับใช้ในครัวเรือนเกือบทุกประเภท ผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ และธุรกิจรีเทล
ส่วนในตลาดเมืองไทย บริษัทได้เริ่มวางตลาดกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มสู่ตลาดในเดือนนี้ และก่อนหน้านี้ประมาณ 8 เดือนบริษัทได้ลงทุนโรงงานใหม่อีกแห่งใกล้กับโรงงานบิ๊กโคล่าที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของโลก จากที่สองแห่งแรกอยู่ในเปรู และเอกวาดอร์ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ อาทิ น้ำยาปรับผ้านุ่ม ภายใต้ยี่ห้อ Dest ออกสู่ตลาดเมืองไทย
“เราขยายพอร์ตมายังผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ เพราะกำไรดีกว่าน้ำอัดลม และตลาดผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มมีขนาดใหญ่ถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ” ฮวนกล่าว
ด้วยแผนการตลาดทั้งหมดนี้ บริษัทคาดหมายว่ายอดขายของอาเจ กรุ๊ป ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาทในปีนี้จากยอดขาย 3,600 ล้านบาทในปี 2024 เติบโตจากปี 2023 ประมาณ 25% โดยสัดส่วนรายได้มากกว่า 90% จะมาจากน้ำอัดลม ที่เหลือเป็นน้ำดื่ม ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และกาแฟ และสินค้าใหม่ๆ ที่จะทยอยนำมาทำตลาดมากขึ้นในปีนี้
ภาพ: อาเจไทย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : LINE MAN จับตาเทรนด์ “ชาไทย Specialty” ร้านเปิดใหม่โต 205% ใน 3 ปี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine