Yves Rocher (อีฟ โรเช่) เปิดกลยุทธ์แผนธุรกิจปี 65 ตอบรับเทรนด์ตลาด Sustainable Brand ส่งผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อคนใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสานต่อโครงการ “สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น 3” ตอกย้ำจุดยืนด้านความยั่งยืน พร้อมดึง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ร่วมกันครั้งแรก มุ่งเจาะกลุ่ม Green Generation Millennials สร้างกระแสรักษ์โลก ผ่านแคมเปญ ACTs OF LOVE
วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้แบรนด์ “Yves Rocher (อีฟ โรเช่)” กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้โจทย์หลักคือการพัฒนาองค์กรและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งบริษัทยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติมายาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Yves Rocher ที่ประเทศฝรั่งเศส เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ที่ใส่ใจทั้งสุขภาพความงามและสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กลายเป็นทางเลือกใหม่ในใจผู้บริโภค จึงได้สานต่อโครงการ “สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น 3” เพื่อแสดงออกและตอกย้ำจุดยืนของบริษัทฯ ในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่ง อีฟ โรเช่ เป็นแบรนด์แรกในตลาดที่ผลิตภัณฑ์ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลและสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากเป็นการลดใช้พลาสติกแล้ว ยังมีการลดใช้สารเคมีต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดธุรกิจความงาม ในปี 2563 มีมูลค่าตลาดลดลงร้อยละ 11 แต่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตที่สวนกระแสได้ถึงร้อยละ 6 และในปี 2564 มูลค่าตลาดความงามโดยรวมลดลงร้อยละ 12 แต่บริษัทสามารถเติบโตได้ราวร้อยละ 7 จากการปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ให้ดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัลเอจ เพื่อเข้าสู่ Digital Transformation ทั้งการปรับรูปแบบการสื่อสารและเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ จนสามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 1 บน Social Listening ในกลุ่มสินค้าความงาม และด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้เพิ่มและปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาด รวมทั้งช่องทางการจำหน่าย ผนวกกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในโมเดลใหม่ โดยเน้นการใช้กลยุทธ์ Omni-Channel อย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine