ไทยเครดิต เผยแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานและเป้าหมายทางธุรกิจปี 2568 เดินหน้าสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ เร่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน คาดสินเชื่อปี 68 โตเกิน 10% ตั้งเป้าหมายคุมหนี้เสียไม่เกิน 4.5%
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต หรือ CREDIT กล่าวว่า ธนาคารมุ่งมั่นให้ความสำคัญเรื่องการเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายย่อยและกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสินเชื่อที่อยู่ในระบบ โดยธนาคารมุ่งเน้นไปที่การบริหารคุณภาพของสินเชื่อที่ดี รอบคอบ รัดกุม
นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต หรือ CREDIT เปิดเผยว่า ธนาคารไทยเครดิตกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลระยะที่ 2 (Digital Transformation) กล่าวคือการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเปิดตัวระบบคอร์แบงกิ้งใหม่ของธนาคาร (New Digital Core Banking System) โดยถือเป็นการยกระดับระบบและแพลตฟอร์มของธนาคารให้สมบูรณ์แบบ ตอบสนองต่อกระแสดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรมธนาคารในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างรากฐานของระบบให้แข็งแกร่ง เพื่อรักษาความสามารถในการเติบโตในระยะยาว พร้อมพัฒนาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ
โดยได้ธนาคารได้มีการกําหนดเป้าหมายสำคัญทางการเงินสําหรับปี 2568 ดังนี้
• ด้านการเติบโตของการให้สินเชื่อ (Loan Growth) ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่อหลักที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี (MSME) สินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกัน และสินเชื่อบุคคล อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบ พร้อมตั้งเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อในปี 2568 ในระดับเลขสองหลัก
• ด้านส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในช่วง 8.5-9.0% ควบคู่ไปกับการเติบโตของสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ พร้อมรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (CIR) ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า
• ด้านเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL) ที่ให้อยู่ในระดับที่น้อยกว่า 4.5%
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/JFbs9x4bNa58BDrUWoPb.jpg)
ทั้งนี้ กลยุทธ์สำคัญที่ธนาคารใช้ขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย 2 ด้านหลัก ได้แก่
1) การขยายสินเชื่อในส่วนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่เป็นจุดแข็งของธนาคาร
2) การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระยะยาวของธนาคาร เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
อีกทั้ง เพื่อยกระดับการเข้าถึงธนาคารที้สะดวกยิ่งขึ้น ธนาคารได้พัฒนาแอปพลิเคชัน alpha by Thai Credit เพื่อช่วยให้ลูกค้าบุคคลสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกทุกที่ทุกเวลา โดยในปี 2567 มีผู้ใช้งานเติบโตอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 และมีมูลค่าธุรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากปีก่อน เป็นประมาณ 19,000 ล้านบาท ในปี 2567 ด้านการเติบโตของ “ไมโครเพย์ อี-วอลเล็ต” แอปพลิเคชันที่ช่วยในการจัดการทางการเงินของกลุ่มลูกค้านาโนและไมโครเครดิต มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และมีมูลค่าธุรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีก่อน เป็นประมาณ 26.1 ล้านบาท พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแรงในการเข้าถึงฐานลูกค้าของธนาคาร รวมถึงสามารถขับเคลื่อนกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยธนาคารได้มีแผนรักษาฐานลูกค้าเก่าและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
ภาพ: ธนาคารไทยเครดิต
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กสิกรฯ ชี้ธุรกิจอินเตอร์เน็ตไทยปี 68 รายได้โตช้าลง เหตุต่างชาติโตชะลอ เร่งเสนอแพกเกจพ่วง-บริการเสริม
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine