การตัดสินใจทุ่มเงิน 88 พันล้านบาทซื้อ NH Hotel Group ยักษ์ใหญ่โรงแรมอันดับ 6 ของยุโรปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วทำให้ ไมเนอร์ กรุ๊ป ของ William E. Heinecke ขยับขึ้นมาเป็นผู้เล่นในอุตสาหกรรมโรงแรมระดับโลก ก้าวต่อไปของเขาคือสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น และเป้าหมายมาร์เก็ตแคป 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 3 แสนล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า
ผ่านไปกว่า 5 ทศวรรษ ณ วันนี้ ไมเนอร์ กรุ๊ป ของ William E. Heinecke (หรือที่รู้จัก กันดีในนามของ Bill Heinecke) ได้ก้าวขึ้นเป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 19 ของโลกที่มีกิจการโรงแรมกว่า 548 แห่ง ร้านอาหารกว่า 2,100 แห่ง และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้าไลฟ์สไตล์กว่า 452 สาขาใน 64 ประเทศทั่วโลก ดีลเทกโอเวอร์ NH Hotel Group SA (NHH) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Madrid ประเทศสเปน ที่ Heinecke ห้ำหั่นเอาชนะคู่แข่งอย่าง Hyatt Hotels & Resorts มาได้ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องทุ่มเงินเพื่อซื้อหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่าคาดไว้เดิม และทำให้บริษัทต้องก่อหนี้มหาศาล ทำให้เขามีกิจการที่มีมูลค่าตลาด หรือมาร์เก็ตแคปรวมกันถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.6 แสนล้านบาท) ในการให้สัมภาษณ์ Forbes Thailand เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2561 หลังจากปิดดีล NHH มาสดๆ ร้อน Heinecke กล่าวว่าการเข้าครอบครองกิจการ NHH ซึ่งมีโรงแรม 351 แห่งในยุโรปและในอีกหลายประเทศ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของไมเนอร์ นับจากวันที่บริษัทได้เริ่มเปิดกิจการโรงแรมแห่งแรกในพัทยาภายใต้ชื่อ รอยัล การ์เด้น รีสอร์ท เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เพราะเป็นการยกระดับไมเนอร์ขึ้นมาเป็นผู้เล่นในระดับโลกอย่างแท้จริง ด้วยจำนวนโรงแรมและรีสอร์ตรวมกันกว่า 548 แห่ง และจำนวนห้องพัก รวม 80,262 ห้องในเกือบทุกทวีปทั่วโลก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา “เพราะเราต้องการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเราขึ้นเป็นผู้เล่นในระดับเวิลด์คลาสที่มีบทบาทอยู่ในเกือบทุกๆ ประเทศในโลก ตอนนี้เหลือเพียงตลาดสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเท่านั้น (ที่ไมเนอร์ยังไม่ได้เข้าไปมากนัก)” Heinecke กล่าวถึงเหตุผลในการทุ่มเงินกับ ดีลนี้ถึง 2.3 พันล้านยูโร (ประมาณ 88 พันล้านบาท) ซึ่งมากกว่ารายได้ทั้งหมดที่บริษัททำได้ 58.6 พันล้านบาทในปี 2560 Heinecke ยอมรับว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดตอนนี้คือการลดหนี้สินของไมเนอร์ลงมาแต่เชื่อมั่นว่าด้วยพื้นฐานธุรกิจที่ดีของ NHH ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีกำไร และแผนการในการขายสินทรัพย์บางส่วนของ NHH ออกไป “NHH มีโรงแรมมากเกินไปภายใต้แบรนด์เดียวในหลายๆ เมือง เช่นใน Madrid มีถึง 29 แห่ง เราอาจจะเปลี่ยนบางโรงแรมเป็น ANANTARA หรือ AVANI” เนื่องจาก NHH มีแผนการลงทุนรีโนเวทโรงแรมอยู่แล้ว การรีแบรนด์สินทรัพย์บางแห่งไปอยู่ภายใต้แบรนด์ ANANTARA สามารถทำได้โดยง่ายและไม่ต้องใช้งบลงทุนเพิ่มขึ้นมากนัก คล้ายๆ กับตอนที่ไมเนอร์รีแบรนด์โรงแรม Four Seasons เป็น ANANTARA เมื่อหลายปีก่อน ในขณะที่บริษัทสามารถเพิ่มอัตราค่าพักต่อห้องและกำไร เนื่องจาก ANANTARA เป็นแบรนด์ที่อยู่ในระดับลักชัวรีกว่า NHH “เราจะเพิ่มมูลค่าได้อย่างมาก และอย่างรวดเร็ว ผมเชื่ออย่างนั้น” ประธานไมเนอร์กล่าวสร้าง “โกลบอล แพลตฟอร์ม” ขยายธุรกิจไปทั่วโลก
Heinecke ชื่นชอบ NHH เป็นอย่างมากเนื่องจากมองว่าเครือข่ายของ NHH กับไมเนอร์นั้นแทบจะไม่ทับซ้อนกันเลย และมีsynergy ที่สามารถเสริมกันได้อย่างดี “เราเรียกมันว่า ‘plug & play’ ตอนนี้มันง่ายสำหรับเราแล้วที่จะซื้อและเพิ่มโรงแรมใหม่เข้าไปในยุโรป...เพราะถ้าคุณไม่มีโรงแรมอยู่ก่อนเลย มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะเริ่มเข้าไปจากฐานเล็กๆ” ประธานวัย 69 ปีของไมเนอร์กรุ๊ปกล่าวและเสริมว่าไมเนอร์ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มของ NHH แล้วโดยการนำเอา Tivoli Hotels & Resorts กลุ่มโรงแรมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โปรตุเกสที่ไมเนอร์ได้เข้าซื้อกิจการไปก่อนหน้านี้ ไปอยู่ภายใต้การบริหารของ NHH ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการที่ใหญ่กว่า ก่อนครอบครอง NHH ไมเนอร์มีเครือข่ายโรงแรมทั้งสิ้น 161 แห่ง รวมจำนวน 20,385 ห้อง ภายใต้ 5 แบรนด์ที่บริษัทเป็นเจ้าของ (ANANTARA, AVANI, TIVOLI, elewana, และ OAKS) และอีก 8 แบรนด์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ (CHELI & PEACOCK SAFARIS, Naladhu Maldives, The BEAUMOUNT, SERENDIB LEISURE, Four Seasons, ST REGIS, JW MARRIOTT, และ Radisson Blu) โดยส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียและโอเชียเนีย (104 แห่ง) และแอฟริกาและตะวันออกกลาง (42 แห่ง) ขณะที่มีโรงแรมในยุโรปเพียง 13 แห่ง และอเมริกา 2 แห่ง ขณะที่ NHH มีโรงแรมอยู่ในยุโรป137 แห่ง และอเมริกา 67 แห่ง แต่ไม่มีโรงแรมในเอเชียและตะวันออกกลางเลยและมีโรงแรมในแอฟริกาใต้เพียงแห่งเดียวนอกจากนี้ ในแง่ตำแหน่งทางการตลาดแบรนด์โรงแรมและรีสอร์ตของไมเนอร์ค่อนข้างจะมีความเข้มแข็งในตลาดของกลุ่มนักท่องเที่ยว ขณะที่ NHH จะเน้นหนักไปที่โรงแรมที่ตั้งในพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของเมืองและกลุ่มนักธุรกิจ “ประโยชน์ของการมี global platform คือคุณสามารถโยกแบรนด์ของคุณไปที่โน่นที่นี่ได้” Heinecke กล่าวเร่งเครื่องโตธุรกิจร้านอาหาร
Heinecke ยอมรับว่าธุรกิจร้านอาหารยังมีความท้าทายอยู่มาก แต่เขาเชื่อว่าการบริโภคซึ่งซบเซามาเป็นเวลานานกำลังฟื้นตัวขึ้น และการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเพิ่มขึ้น โดยไมเนอร์จะขยายธุรกิจร้านอาหารที่ปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ใน 4 พื้นที่หลัก คือ ไทย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ไปสู่ยุโรปและแอฟริกาและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น จะขยายเครือข่ายร้านอาหารไทยในต่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอีก หลังจากที่ได้ใช้เงิน 12 ล้านเหรียญซื้อหุ้น 75% ของ Benihana ร้านเทปันยากิที่มีสาขา 19 ประเทศทั่วโลกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อได้สิทธิในการขยายกิจการไปทั่วโลกยกเว้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ จีนจะเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่ไมเนอร์ ฟู้ด ตั้งเป้าเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเป้าหมายเพิ่มจำนวนร้านอาหารให้มีไม่น้อยกว่า 300 สาขาภายใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังอาจจะทำแพลตฟอร์มบนช่องทางดิจิทัลเพื่อรวมแบรนด์ร้านอาหารในเครืออีกด้วย Heinecke กล่าวว่าปัจจุบันการแข่งขันในอุตสาหกรรมโรงแรมและร้านอาหารทั้งในไทยและต่างประเทศมีสูงมาก โดยตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยากต่อการคาดการณ์ เนื่องจากมีการเกิดขึ้นของ “start-up brands” และคอนเซปท์ใหม่ๆ มากมายจนท่วมตลาด แม้บางส่วนจะสร้างความฮือฮาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวและล้มหายตายจากไป หลังจากได้แหล่งเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุนที่สนใจ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สามารถแจ้งเกิดขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดได้ “เมื่อร้านอาหารและโรงแรมทุกๆ แห่งในโลกอยู่ใกล้เพียงแค่การขยับปลายนิ้วมือคุณจะเลือกอย่างไร ความเป็นจริงใหม่คือว่าประสบการณ์ใดๆ ที่ไม่มีค่าพอสำหรับการโพสต์ลงรูปใน Instagram ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ในอุตสาหกรรมที่อิงกับการบริโภคอย่างโรงแรมและร้านอาหารสิ่งนี้จะก่อให้เกิดผู้ชนะและผู้แพ้ เรากำลังเข้าสู่ยุคที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก” William E. Heinecke ประธานไมเนอร์กล่าว ภาพ: ฐิระวิชญ์ ล้อเลิศรัตนะ และไมเนอร์ กรุ๊ปคลิกอ่านฉบับเต็มของ “Bill Heinecke ทุ่มเฉียดแสนล้าน นำไมเนอร์ติดท็อป 20 โรงแรมโลก” ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine