ด้วยความที่ จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา เป็นคนสนุกสนานและสดใสร่าเริง จึงได้รับเชิญออกงานต่างๆ มากมาย เรียกว่าเป็นเซเลบริตี้สาวที่ออกงานบ่อยมากคนหนึ่ง และเมื่อได้ลงมือทำธุรกิจเธอก็จริงจังมากเช่นเดียวกัน ใส่ใจดูแลคลุกคลีในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานพื้นฐานไปจนถึงการบริหาร และทำทุกอย่างด้วยใจ
จรสพรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา หรือ
จุ๋ย หลานสาวคนสวยของ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ศิลปินแห่งชาติเจ้าของการจัดระดับความอร่อยร้านอาหาร
“เชลล์ชวนชิม” สัญลักษณ์ชามลายผักกาดที่ทุกคนรู้จักดี ด้วยความที่อยู่ในวงศ์สกุลดังทั้ง คุณปู่ คุณลุง คุณอา (3 ใบเถาบ้านสวัสดิวัตน์) จรสพรรณจึงมักถูกเชิญไปออกงานสังคมบ่อยครั้ง โดยเฉพาะงานด้านบิวตี้ ซึ่งจรสพรรณบอกว่า ชอบเป็นพิเศษ เธอออกงานบ่อยเป็นเซเลบริตี้ที่งานชุกไม่แพ้ดาราดัง แต่เจ้าตัวบอกว่า จริงๆ แล้วเป็นคนชอบอยู่บ้านมากกว่า แต่ที่เห็นไปงานส่วนใหญ่เพราะมีเพื่อนๆ ไปร่วมงานด้วย เหมือนได้ไปพบปะเพื่อน เมื่อไปงานนี้ก็มีการชวนเชิญกันไปงานอื่นๆ ด้วย
“ช่วงแรกที่เข้ามาเดบูตองต์ ออกงานบ่อยมากสัปดาห์ละ 5 วัน แถมบางวันมี 2 งานด้วย” นั่นคืออดีตกว่า 13 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเธอเล่าว่า ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ อายุราว 21 ปี ก็คงเป็นธรรมเนียมไปร่วมงานเป็นเดบูตองต์ (งานเปิดตัวเด็กสาวแรกรุ่นจากตระกูลดีหรือครอบครัวคนดัง เป็นการแนะนำให้สังคมรู้จัก) แต่มาระยะหลังการออกงานน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะเลือกมากขึ้นว่างานนี้เหมาะถึงไป บางงานไม่เกี่ยวข้องเลย หรือไม่มีเพื่อนที่รู้จักไปก็จะไม่ไป จรสพรรณเล่าอย่างอารมณ์ดีก่อนสรุปว่าล่าสุด (ช่วงก่อนโควิด-19) ออกงานน้อยลงเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน เนื่องจากเลือกงานที่ชอบและเหมาะกับตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากออกงานสังคมในฐานะทายาทสาวจากตระกูลดังแล้ว
จุ๋ย-จรสพรรณ ยังเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งทำมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างสูงจากเริ่มแรกร้าน
“โซลจู ปูดอง” ที่เอกมัย เป็นร้านอาหารสไตล์เกาหลีผสมอีสาน ทำร่วมกับเพื่อนซึ่งเธอบอกว่า หุ้นส่วนสำคัญ คือเพื่อนที่ครอบครัวทำร้านอาหารเพ็ญ เป็นร้านอาหารทะเลชื่อดัง ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบอาหารทะเลอยู่แล้ว
“เพื่อนคนที่เป็นหุ้นส่วนนี่แหละเป็นคนเริ่มต้น ตอนนั้นเพื่อนดูซีรีส์เกาหลี เห็นนางเอกกินปูดองจึงอยากลองบ้างพอไปเกาหลีได้ลองชิมเพื่อนบอกว่า เราน่าจะทำได้อร่อยกว่า” นี่คือที่มาของร้านปูดองแห่งแรกของจรสพรรณและเพื่อน ทำร้านแรกมาเกือบ 2 ปีหมดสัญญาเช่าที่เดิมย่านเอกมัย ก็มาได้ที่ใหม่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และทำร้านใหม่ใช้ชื่อว่า
“ปูดองอันยอง Have A Seat” ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว จึงตัดสินใจปิดร้านแรกรวมทีมงานมาอยู่ร้านใหม่นี้ทั้งหมด “ร้านไม่ใหญ่หรอกค่ะ มีประมาณ 10 โต๊ะ คนเลยต่อคิวกันยาวเพราะโต๊ะมีน้อย” จรสพรรณเล่าไปหัวเราะไปแต่ในตอนท้ายแอบเศร้าเล็กน้อย เพราะช่วงนี้รับผลกระทบสถานการณ์โควิด-19
- โควิด-19 กระทบหนักแต่ยิ้มสู้
“คือห้างเปิดนะคะ ร้านเราก็ต้องเปิด แต่คนมานั่งในร้านไม่ได้ ขายก็ต้องเป็นแบบ take home สถานการณ์ตอนนี้แย่สุดๆ โควิดรอบ 3 เล่นงานหนักเลย” เธอแอบบ่น แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ดีว่าการแพร่ระบาดโควิดรอบนี้รุนแรง ถ้าเป็นไปได้เธออยากให้ห้างปิดมากกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องเปิดร้านโดยไม่มีลูกค้าซึ่งค่าใช้จ่ายสูง และด้วยความที่ยังต้องเปิดดำเนินการอยู่ก็ต้องจ้างพนักงาน ซึ่งแม้จะสลับวันทำงานแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังสูงอยู่ดี
เธอยอมรับว่าผลกระทบกับธุรกิจรอบนี้รุนแรง แต่ก็ยังไม่ถอดใจเพราะเป็นธุรกิจที่รัก ทำด้วยความชอบ และมีความสุขกับการทำร้านอาหาร ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอบอกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำร้านอาหาร “ที่จริงพยายามเลี่ยงด้วยนะคะ เพราะด้วยความที่เป็นหลาน คุณปู่ก็มักจะมีคนพูดว่า ต้องทำอาหารอร่อยแน่เลย ต้องทำอะไรเกี่ยวกับอาหาร ตอนนั้นจึงไม่สนใจ จนกระทั่งได้มาทำเองถึงรู้ว่าตัวเองชอบ”
“ตอนทำไม่ได้บอกใครที่บ้านเลย กระทั่งเปิดร้านแล้วจึงลองนำปูดองไปให้คุณปู่กับคุณลุงและคุณอาชิม ท่านบอกว่าอร่อยใช้ได้เราก็ดีใจ” เป็นการยืนยันว่าเธอไม่ได้อาศัยชื่อเสียงของครอบครัวมาเป็นสะพานในการทำธุรกิจ แต่เป็นธุรกิจที่เธอและเพื่อนสร้างขึ้นมาเองด้วยความชอบและความพร้อมที่มีอยู่ ซึ่ง 3 ปีในการทำธุรกิจถือว่า เติบโตมาด้วยดี ลูกค้าชื่นชอบมีคนต่อคิวรอเข้าร้านทุกวัน ซึ่งต่างกับตอนนี้อย่างชัดเจน
“น้องที่ร้านโทรมาบอกว่า พี่จุ๋ยป่าช้ายังมีผีนะพี่ แต่ร้านเราไม่มีใครเลย” เธอเล่ากลั้วเสียงหัวเราะ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ก็ยังมีอารมณ์ขันมาให้ยิ้มได้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกบุคลิกของจรสพรรณที่สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบและได้รับเชิญไปออกงานบ่อยครั้ง แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ค่อยชอบออกงานก็ตามที แต่มาช่วงนี้ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้แทบไม่มีคนจัดงานเลย เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด ทำให้จรสพรรณต้องอยู่บ้าน ซึ่งเธอบอกว่า มีความสุขมากที่ได้อยู่บ้าน เพราะเธอมีน้องหมา 4 ตัวที่เลี้ยงเหมือนลูกอยู่ด้วยกันตลอด เล่นคลุกคลีกินนอนทำให้ไม่เบื่อ
“เพื่อนหลายคนโทรมาถามว่า เบื่อไหมอยู่บ้าน บอกว่า ไม่เลย ชอบ มีความสุข” เธอเล่าแบบรวบรัด พร้อมย้ำว่าการอยู่บ้านเฉยๆ เป็นอะไรที่สบายแต่ธุรกิจก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะทรัพย์สินที่มีใช้ทุกวันก็หมดไปเรื่อย ดังนั้น จึงต้องทำงาน ซึ่งการทำร้านก็เป็นรายได้ที่ดี “ก่อนหน้านี้นะ” เธอแอบวงเล็บเพราะตอนนี้รายได้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากคนเดินห้างลดลง คนนั่งรับประทานในร้านไม่ได้ เปิดร้านก็มีแต่รันค่าใช้จ่ายรายได้ไม่คุ้มกัน “ได้แต่หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหลังจากนี้ แต่ยอมรับว่าประเมินไม่ออกจริงๆ ไม่รู้วัคซีนจะเอาอยู่ไหม และคุณเชื้อโรคเธอจะกลายพันธุ์ไปอีกเท่าไร ไม่รู้จริงๆ”
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างเครียด แต่จรสพรรณก็มีวิธีคลายเครียด ช่วงที่ร้านไม่มีลูกค้าเธอหันมาอบขนม หัดทำขนมจำพวกคุกกี้โฮมเมด เธอบอกว่า ทำเล่นๆ แต่เพื่อนชิมแล้วอร่อยเธอก็เลยทำขาย เพิ่งจะทำแบรนด์น่ารักๆ ออกมาชื่อว่า
“ขนมเขนิม” ฟังแค่ชื่อแบรนด์ยังทำให้รู้สึกถึงความน่ารัก ซึ่งดูจะเป็นสไตล์เฉพาะตัวของจรสพรรณที่มีบุคลิกสวยหวานสไตล์คุณหนู แต่เจ้าตัวบอกว่า จริงๆ แล้วเป็นคนตลกมากกว่า ไม่ได้เรียบร้อยแบบที่ใครมอง เวลามีคนเชิญไปงานและไปกับเพื่อนๆ เธอก็จะสนุกสนานและตลกขบขันไปเรื่อยทำให้งานสนุกไม่น่าเบื่อ
ทำขนมเป็นการใช้เวลาว่างให้หมดไปอย่างสนุกมากกว่าที่จะทำจริงจัง แต่เธอก็เปิดขายผ่านช่องทางไอจี
kanom.kanerm ซึ่งเธอใช้เป็นสื่อสังคมหลักในการสื่อสารทั้งมุมส่วนตัว เรื่องธุรกิจและสังคม ซึ่งในจำนวนงานที่เธอไปร่วมมากมายนั้นมีไม่น้อยที่เป็นงานด้าน CSR ซึ่งเธอบอกว่า ชอบมากเป็นพิเศษ และมักจะไปร่วมกิจกรรมเสมอเวลาใครชวนไปทำ CSR เพราะเป็นกิจกรรมได้ช่วยคน ได้ทำประโยชน์ให้สังคม แม้จะเป็นมุมเล็กๆ แต่ก็สร้างความสุขได้ไม่น้อย
ได้ฟังแง่มุมชีวิตแบบสาวสังคมที่หันมาทำธุรกิจด้วยความชอบส่วนตัวแล้ว ทีมงานก็อดถามไม่ได้ว่า ความสำเร็จในมุมมองของเธอเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้ดูเหมาะกับบุคลิกเจ้าตัวไม่น้อย เพราะเธอมองเรื่องใกล้ตัวและครอบครัวคือความสำเร็จ ไม่ได้วางเป้าที่รายได้เงินทองเป็นหลัก นี่เองที่ทำให้จรสพรรณเป็นคนยิ้มง่ายและดูมีความสุขอยู่เสมอ
“ความสำเร็จของจุ๋ยคือ การได้ดูแลครอบครัว ได้เห็นคนในครอบครัวมีความสุข แค่นี้ก็เป็นความสำเร็จแล้วค่ะ ไม่ต้องร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี ขอแค่ดูแลครอบครัวได้ก็พอใจแล้ว” เป็นความในใจจรสพรรณที่บอกเล่าแบบเรียบง่ายแต่ได้ใจความ และสะท้อนตัวตนของเธอในฐานะเซเลบริตี้สาวใจบุญได้เป็นอย่างดี
เรื่อง: อรวรรณ หอยจันทร์ ภาพ: juizsvasti
อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine