แต่ Fitbit ก็ยังอยู่ได้เพราะได้อานิสงส์จากตลาด corporate wellness ซึ่งเป็นตลาดที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ ทั้งนี้นายจ้างอเมริกันประมาณ 80% มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อกิจกรรม อย่างเช่น การให้เงินอุดหนุนค่าสมัครเป็นสมาชิกฟิตเนส หรือ จัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาเพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพแข็งแรง โดย Fidelity Investments ประเมินว่ามีการใช้งบในส่วนนี้เฉลี่ย 693 เหรียญต่อพนักงานหนึ่งคน และ Fitbit ก็มุ่งเป้าไปที่งบก้อนนี้ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทเริ่มวางจำหน่ายสินค้าในปี 2009 และคาดว่าในปีนี้จะกวาดเงินจากนายจ้างนับพันๆ รายในสหรัฐฯ ได้ถึง 180 ล้านเหรียญ ซึ่งจะทำให้กลุ่มลูกค้าบริษัทกลายเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุดของ Fitbit โดยมีบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่มากกว่า 70 บริษัทที่สั่งซื้ออุปกรณ์จาก Fitbit เป็นจำนวนมากเพื่อให้พนักงานใช้ อาทิ Barclays ซึ่งจะช่วยอุดหนุนค่าซื้อ Fitbitให้กับพนักงาน 75,000 คน ผู้ผลิตอุปกรณ์ wearable เจ้าอื่นอย่างเช่น Jawbone และ Misfit ก็ขายอุปกรณ์ให้กับนายจ้างในตลาดนี้เช่นกัน แต่ยังสู้ Fitbit ไม่ได้
จุดเริ่มต้นของ Fitbit นั้นย้อนหลังไปถึงเช้าวันที่อากาศหนาวเหน็บในเดือนพฤษภาคมที่ San Francisco ในปี 2006 เมื่อ Park ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งต้องยืนตัวสั่นทนสู้กับความหนาวเพื่อต่อคิว ซื้อเกมส์ Nintendo Wii และเมื่อเขานำเกมส์ที่ซื้อมากลับไปที่บ้านก็ต้องตะลึงกับการจัดส่วนผสมอย่าง ลงตัวระหว่างเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนกับการเชื่อมต่อแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมาซึ่งทำให้ทั้งเด็กและคนแก่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ
ในตอนนั้น เขารีบโทรศัพท์ไปหา Eric Friedman ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของเขาในกิจการ startup ก่อนหน้านี้ “ผมมีไอเดียดีๆ” สำหรับจะสร้างเครื่องนับก้าวซึ่งมีทั้งความซับซ้อนและสามารถใช้งานได้ง่าย เหมือนกับเครื่อง Wii โดยทั้งสองบินไปเจอกันที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีการใช้งานเครื่องนับก้าวอย่างแพร่หลาย เพื่อทำการสำรวจว่าคนที่นั่นใช้เครื่องนับก้าวกันอย่างไร ต่อมาในปี 2008 Friedman ได้ซื้อกล่องไม้เล็กๆ และติดตั้งแผงวงจรไว้ข้างในซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ต้นแบบของ Fitbit
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่เริ่มวางจำหน่าย Fitbit Tracker ราคา 99 เหรียญ Park และ Friedmanก็ได้รับโทรศัพท์จาก Vickie Lee ซึ่งเป็น vice president ฝ่ายบุคคลจากบริษัทผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ Tokyo Electron ที่มีสำนักงานในเมือง Austin รัฐ Texas เธอกำลังอยู่ระหว่างการวางแผนโครงการดูแลพนักงานของบริษัทเป็นครั้งแรก ดังนั้นบริษัทของเธอจึงควักเงิน 120,000 เหรียญเพื่อซื้อ Tracker ให้พนักงานของบริษัทคนละเครื่อง
นักวิจัยของ Fitbit กำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาวิธีใหม่ๆ ในการที่จะติดตามภาวะสุขภาพ โดยเมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของการที่จะสร้างเครื่องที่มีเซ็นเซอร์สำหรับ ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อเจาะเข้าไปสู่ตลาดของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน Shelton Yuen หัวหน้าแผนก R&D ซึ่งทีมงานของเขาสร้างเซ็นเซอร์สำหรับวัดการเต้นของชีพจรจากม่านตาได้สำเร็จ ก็เพียงแค่บอกว่า “ไม่มีความเห็น” เท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าบางทีคนที่จะสามารถแก้ปัญหายากๆ ได้อาจเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายของเราก็ได้
เรื่อง: Parmy Olson เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา
คลิ๊กอ่าน "ทำงานออฟฟิศ ไม่ฟิตไม่ได้" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine


