Grant Petty แห่ง Blackmagic Design สร้างเวทมนตร์แห่งโลกวิดีโอ - Forbes Thailand

Grant Petty แห่ง Blackmagic Design สร้างเวทมนตร์แห่งโลกวิดีโอ

FORBES THAILAND / ADMIN
08 Nov 2022 | 08:05 PM
READ 2475

Grant Petty แห่ง Blackmagic Design เปลี่ยนความน้อยเนื้อต่ำใจต่อกลุ่มชนชั้นสูงแห่งวงการเทคในฮอลลีวูดให้กลายเป็นทรัพย์สินพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยอุปกรณ์ที่มีนวัตกรรมในราคาไม่แพง และกองทัพผู้สร้างหนังอิสระที่ภักดีและใฝ่ฝันจะเป็น Spielberg คนต่อไปด้วยต้นทุนต่ำ


    Grant Petty ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Blackmagic Design กล่าวว่า “ตลอดปี 2020 และครึ่งปี 2021 ผมทำงานจนถึงตี 2 ทุกวัน เพราะกำลังเขียนโค้ดที่ใช้เดินเครื่องบริษัทนี้”

    เศรษฐีพันล้านวัย 53 ปี ไม่ได้ล้อเล่น เขาไม่ชอบแนวคิดการจ้างคนนอก ดังนั้น เขาจึงเขียนโปรแกรมภาษา SQL ทั้งหมดที่ใช้ขับเคลื่อนกระบวนการภายในบริษัทตัวเองในเมือง Melbourne ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีพนักงาน 1,500 คน และมีรายได้ 576 ล้านเหรียญ เขายังเป็นที่รู้จักจากบทบาทในวิดีโอแนะนำผลิตภัณฑ์ Blackmagic ยาวร่วมชั่วโมง 

    เช่น กล้องถ่ายภาพยนตร์ดิจิทัลรุ่น Ursa Mini Pro 12K เมื่อเกิดโรคระบาด Blackmagic (ผู้ผลิตสินค้าทั้งหมด 209 รายการของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครในธุรกิจฮาร์ดแวร์เคยได้ยินมาก่อน เว้นแต่คุณจะชื่อ Samsung หรือ Sony) จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนร่วมกันในโรงงาน 3 แห่งในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย และแทนที่จะจ้างใครสักคนหรือแม้แต่มอบหมายงานให้ใครสักคนภายในบริษัท Petty กลับเขียนซอฟต์แวร์จัดการระบบงานใหม่เพื่อเชื่อมฐานข้อมูลสินค้าคงคลังต่างๆ ให้ราบรื่น

    “ผู้คนมองว่าการที่ผมเขียนโค้ดด้วยตัวเองเป็นจุดอ่อน” เขากล่าวโดยแย้งว่า อันที่จริงแล้ว Blackmagic ได้หลีกเลี่ยงความติดขัดที่หลายๆ บริษัทต้องเจอในช่วงที่ต้องปรับระบบซัพพลายเชนในช่วงโควิด เพราะบริษัทพวกนั้นต้องพึ่งพาที่ปรึกษาภายนอกและผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ “ผมว่าโลกตะวันตกมีปัญหาใหญ่เรื่องการจ้างคนนอกบริษัท”

    ถ้าการเห็นแก่พวกพ้องตัวเอง บัญชีที่ไม่โปร่งใส และต้นทุนที่สูงเกินไปเป็นตัวอย่างปัญหาที่เห็นได้ชัดของบริษัทในระบบนิเวศของฮอลลีวูด Petty และแนวทางอันท้าทายแบบทำเองใช้เองก็ทำให้ Blackmagic Design กลายเป็นตัวปฏิวัติวงการทลายกำแพงที่เคยมีมา ธุรกิจอายุ 21 ปีของเขาเป็นที่รู้จักกันดีด้านการผลิตกล้องถ่ายภาพยนตร์มืออาชีพในราคาประหยัด เครื่องสลับสัญญาณภาพอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์เฉพาะทางอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ นอกจากนี้ ยังสร้างซอฟต์แวร์แจกฟรีชื่อ DaVinci Resolve ซึ่งใช้ในการเกลี่ยสี สร้างสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ และตัดต่อวิดีโอกับเสียง

    ผลิตภัณฑ์ของ Blackmagic นั้นอยู่เบื้องหลังหนังงบก้อนโตที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์หลายเรื่อง เช่น Don’t Look Up และ SpiderMan: No Way Home แต่ลูกค้าหลักของบริษัทคือ ยูทูปเบอร์และผู้กำกับหนังอิสระที่ต้องคิดมากเรื่องงบ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตลาดโตระเบิดจากการล็อกดาวน์ ทำให้ความต้องการอุปกรณ์ถ่ายหนังเองในบ้านคุณภาพระดับมืออาชีพพุ่งทะยาน


​    ในปี 2020 Julian Terry วัย 31 ผู้ออกจากโรงเรียนภาพยนตร์กลางคัน ใช้กล้อง Blackmagic ถ่ายทำ Don’t Peek ภาพยนตร์สยองขวัญความยาว 6 นาทีในห้องนอนตัวเองใน L.A. ซึ่งหลังจากที่มีคนเข้าไปดูใน YouTube ราว 4.5 ล้านครั้ง ก็มีคนจ้างเขาให้กำกับภาพยนตร์เรื่องยาวงบ 10 ล้านเหรียญที่ต่อยอดมาจากภาพยนตร์เรื่องสั้นของเขา “Blackmagic Pocket 4k ที่ผมใช้ถ่าย Don’t Peek ถูกกว่าไอโฟนของผมเสียอีก” เขากล่าว

    Petty บอกว่า ลูกค้าใหญ่อีกกลุ่มในช่วงโรคระบาดก็คือ เครือข่ายโทรทัศน์ที่ต้องการจัดหาอุปกรณ์ให้พนักงานทำงานที่บ้าน

    สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2021 รายได้ ของ Blackmagic เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2019 เป็น 576 ล้านเหรียญ และผลกำไรเพิ่มขึ้น 10 เท่าเป็น 113 ล้านเหรียญ ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและมูลค่าประเมินของบริษัทเทคซึ่งพุ่งกระฉูดในปัจจุบันทำให้ Blackmagic บริษัทปลอดหนี้น่าจะโกยเงินได้ถึง 3 พันล้านเหรียญ หากเราใช้หลักประเมินตามเกณฑ์บริษัทมหาชนแล้ว ก็จะทำให้ Petty และผู้ร่วมก่อตั้ง Doug Clarke ซึ่งถือหุ้นคนละ 36% กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน

    “การประเมินมูลค่าเป็นเรื่องบ้าบอ เรายังไม่เคยซื้อกิจการอะไรเลยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะทุกคนเป็นบ้ากันไปแล้ว” Petty แค่นหัวเราะด้วยสำเนียงหนักๆ แบบออสซี่ “เราก็รู้กันอยู่ว่าพวกธุรกิจเทคส่วนใหญ่เป็นเกมต้มตุ๋น คุณใช้ชีวิตหรูหราในฐานะเจ้าพ่อเทคในระหว่างที่วิ่งระดมทุนรอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งในที่สุดก็โยนกิจการทั้งหมดเข้าตลาดหุ้นแล้วก็เทหุ้นทิ้งได้เงินสบาย จากนั้นคุณก็ไปไหนมาไหนพร้อมนามบัตรที่เขียนว่า "serial entrepreneur" (ผู้ประกอบการที่เต็มไปไอเดีย และสร้างธุรกิจขึ้นมารองรับและสร้างธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ)


- ปมเขื่องในใจสู่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์พันล้าน -

    Petty เริ่มเกิดปมเขื่องในใจสมัยเป็นเด็กยากจนอยู่ในเมืองบ้านนอกของออสเตรเลีย หลังจากที่พ่อซึ่งเป็นวิศวกรแยกทางกับแม่ซึ่งเป็นศิลปินและพยาบาล ครอบครัวต้องย้ายไปอยู่ในโครงการเคหะของรัฐ

    “ผมจำได้ว่ามีคนบอกให้ (ไสหัวกลับไปหาสลัมเคหะของแกเหอะ)” Petty เล่าถึงช่วงมัธยมต้นตอนที่เขาหัดเขียนโค้ดบนเครื่อง Apple II ด้วยตัวเอง “ผมคลั่งไคล้อิเล็กทรอนิกส์ ตอนนั้นถึงผมจะเป็นชนชั้นล่างสุดของโรงเรียน แต่ผมก็คิดว่า เฮ้ย แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้เลยนะ”

    หลังจากได้รับประกาศนียบัตรด้านอิเล็กทรอนิกส์จากวิทยาลัยเทคนิคในปี 1991 เขาก็มาทำงานในบริษัทที่ทำโพสต์โปรดักชั่นให้รายการโทรทัศน์ในสิงคโปร์ โดยมีหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ A/V ราคาแพงซึ่งเจ้านายของเขาต้องเช่าในราคา 1,000 เหรียญต่อชั่วโมง

    “แล้วผมก็ได้เห็นว่าวงการโทรทัศน์ก็มีระบบชนชั้นเหมือนในเมืองบ้านนอกของผมเช่นกัน เอาจริงๆ มันไม่ใช่วงการที่สร้างสรรค์เท่าไร” Petty เล่าถึงธุรกิจนี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแสนแพงและเป็นวงจำกัดที่คนทั่วไปเข้าไม่ค่อยถึง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างอุปกรณ์ราคาจับต้องได้ ช่วงแรกเขาจึงเน้นไปที่การ์ดจับภาพซึ่งจะช่วยให้ครีเอทีฟรายการทีวีและนักสร้างภาพยนตร์สามารถถ่ายโอนวิดีโอไปยังคอมพิวเตอร์พีซีเพื่อทำงานตัดต่อ แทนที่จะใช้อุปกรณ์สั่งทำพิเศษที่มีราคาหลายแสนเหรียญ

    ในปี 2001 Petty และ Clarke วิศวกรซอฟต์แวร์จึงร่วมกันก่อตั้ง Blackmagic ไม่ถึง 2 ปีต่อมาพวกเขาก็เปิดตัว DeckLink ซึ่งเป็นการ์ดราคา 995 เหรียญที่ใช้ได้กับเครื่อง Mac ซึ่งสามารถประมวลผลวิดีโอความละเอียดสูงแบบไม่บีบอัดได้ สินค้าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดมีราคาประมาณ 10,000 เหรียญ

    Petty ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ์ดจับภาพวิดีโอเท่านั้น ในปี 2009 Blackmagic ได้ซื้อทรัพย์สินของ da Vinci Systems บริษัทพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับเกลี่ยสีที่กำลังร่อแร่ บริษัทนี้ขายสินค้าให้โพสต์โปรดักชั่นเฮ้าส์หลายรายในฮอลลีวูดในราคาตั้งแต่ 350,000-850,000 เหรียญต่อหน่วย

    1 ปีต่อมาเขาก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เขาปล่อยสินค้าที่มีแต่ซอฟต์แวร์ออกมา (ปัจจุบันใช้ชื่อว่า DaVinci Resolve) ในราคาเพียง 995 เหรียญ และหลังจากนั้นอีก 1 ปีเขาก็ปล่อยให้ดาวน์โหลดได้ฟรี


​Grant Petty ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Blackmagic Design


    แม้ว่าซอฟต์แวร์ของ Blackmagic จะให้บริการฟรี แต่การเปลี่ยนใจของนักตัดต่อวิดีโอมืออาชีพที่คุ้นเคยกับโปรแกรมรุ่นเดิมๆ นั้นเป็นกระบวนการที่ช้า และแม้ว่า DaVinci Resolve จะครองตลาดงานปรับสี แต่ด้านการตัดต่อวิดีโอยังตามหลัง Premiere Pro ของ Adobe และ Avid อยู่มาก ส่วนกล้องถ่ายหนังดิจิทัลซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 1,000 เหรียญ และสูงสุดที่ 6,000 เหรียญ อาจมีโอกาสดีกว่าในการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้นำในวงการอย่าง Arri, Sony และ Red ซึ่งขายกล้องในราคาแพงถึง 95,000 เหรียญ

    “กล้องรุ่น Alexa ของ Arri ค่อนข้างจะเป็นมาตรฐานขั้นสูงของวงการ ก็จะมีความเป็นกล้องหัวสูงอยู่พอสมควร” John Brawley ผู้กำกับภาพให้สัมภาษณ์จากกองถ่ายเรื่อง Bad Monkey ใน Miami ซึ่งเป็นซีรีส์ใน Apple TV+ ที่นำแสดงโดย Vince Vaughn ทั้งนี้ Brawley ถ่ายทำด้วยกล้อง Arri รุ่น Alexa Mini LF ราคา 60,000 เหรียญ ร่วมกับกล้อง 12K ตัวแพงสุดของ Blackmagic ซึ่งราคาตามร้านแค่ 6,000 เหรียญ 

    “เวลาผมเอา [กล้อง Blackmagic] ออกมาจะมีทีมงานบ่นและกลอกตาไปมาอย่างไม่เชื่อมั่นอยู่บ่อยครั้ง แต่พอถ่ายทำเสร็จทีมงานครึ่งหนึ่งก็พากันไปซื้อกล้องยี่ห้อนี้มาใช้เอง Blackmagic ให้ประสิทธิภาพ 90% ของ Alexa ด้วยราคาแค่ 10%”

    การประหยัดต้นทุนได้ถือเป็นข้อได้เปรียบข้อใหญ่ในยุคที่ผู้สร้างหนังใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์ในหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ลองดูตัวอย่างจาก Sam Nicholson หัวหน้างานวิชวลเอฟเฟ็กต์มือรางวัล Emmy ซึ่งมีชื่อเสียงจากผลงานเรื่อง The Walking Dead, ER และ Star Trek ก็ได้บริษัท Stargate Studios ของเขาใช้กล้อง Blackmagic ในการถ่ายภาพมหาสมุทรที่เป็นฉากหลังของซีรีส์ตลกเกี่ยวกับโจรสลัดของช่อง HBO Max เรื่อง Our Flag Means Death ที่นำแสดงโดย Rhys Darby และ Taika Waititi

    “ถ้าคุณจะติดกล้อง 9 ตัวบนริก คุณจะต้องมีกล้องอย่างน้อย 10 ตัวในสถานที่ถ่ายทำ แล้วถ้าใช้กล้อง Alexa เราก็กำลังพูดถึงเงิน 500,000 เหรียญ ซึ่งสตูดิโอไม่จ่ายแน่ๆ” Nicholson กล่าว เขาเล่าว่า ฉากมหาสมุทรสีฟ้าครามของ Our Flag ถ่ายทำในเปอร์โตริโก ปรับสีกันในกองถ่ายด้วยซอฟต์แวร์ DaVinci Resolve แล้วเอามาฉายขึ้นจอ LED 20k ยาว 160 ฟุต ซึ่งวางล้อมรอบนักแสดงในโรงถ่ายซาวด์สเตจที่เมือง Burbank รัฐ California

    “คุณจะสร้างภาพจำลองให้สมจริงได้อย่างไร” เขาถาม “ต้องใช้กล้องจำนวนมากและข้อมูลอีกเยอะแยะ ซึ่ง Blackmagic และระบบนิเวศทั้งหมดของบริษัทนี้ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้มากเลย”


เรื่อง: Matt Schifrin เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: Kris Paulsen

อ่านเพิ่มเติม:

>> Lee Seung Gun โยนเหรียญ เปิดเกม “Toss”

>> ​เชน เหล่าสุนทร “WPH” โตแบบยักษ์เล็ก


คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine