Gates Foundation มอบทุนวิจัยดัน AI สู่ชุมชนผู้มีรายได้น้อย - Forbes Thailand

Gates Foundation มอบทุนวิจัยดัน AI สู่ชุมชนผู้มีรายได้น้อย

บรรดานักวิจัยที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการของมูลนิธิ Gates Foundation วางแผนสร้างแอปพลิเคชันอันมีพื้นฐานจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ปัญหาด้านสุขภาพและสังคมที่สำคัญในชุมชนของพวกเขา


    เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคม Bill & Melinda Gates Foundation ประกาศรายชื่อ 48 ผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI บนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับปัญหาเร่งด่วนในประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง

    ผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเงินรางวัล 100,000 เหรียญ ทุกคนต่างลงมือแก้ไขปัญหาในแวดวงที่หลากหลาย เช่น นักวิจัยที่กำลังพัฒนาแชทบอทที่มีพื้นฐานจาก ChatGPT เพื่อสร้างและบริหารจัดการเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ที่ละเอียดสำหรับบุคลากรที่ทำงานด้านสุขภาพมารดา (Maternal Healthcare) ในปากีสถาน

    อีกหนึ่งตัวอย่างคือผู้ประกอบการที่กำลังสร้างสรรค์เครื่องมือสอนหนังสือด้วย AI เพื่อมอบโอกาสในการเรียนรู้ให้นักเรียนในเคนยาซึ่งประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา

    ผู้ผ่านการคัดเลือกส่วนใหญ่ตั้งเป้าทดสอบการใช้ Generative AI กับปัญหาด้านสาธารณสุข เช่น การประเมินความเสี่ยง HIV, การฝากครรภ์ และการออกใบสั่งยาปฏิชีวนะ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความสนใจในการประยุกต์เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยเหลือปัญหาอื่นๆ ในระดับท้องถิ่น

    ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในยูกันดาวางแผนนำทุนที่ได้ไปพัฒนาแอปพลิเคชันที่มี ChatGPT เป็นฐานเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโรคพืชแก่บรรดาเกษตรกร ในการดำเนินโปรเจ็กต์นี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์เตรียมการสร้างชุดข้อมูลภาษาลูกันดาอันเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้สื่อสารกันอย่างกว้างขวางในประเทศ

    ที่เวียดนาม นักวิจัยผู้หนึ่งก็กำลังสร้างสรรค์แชทบอทสำหรับให้คำแนะนำแก่ผู้พำนักในบริเวณที่ได้ผลกระทบจากการรุกล้ำของน้ำเค็ม โดยมีการปรับแต่ง GPT-4 ด้วยข้อมูลภาษาเวียดนาม

    ที่บราซิล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรรายหนึ่งวางแผนใช้ LLM พัฒนาบอทสนับสนุนสำหรับนักจิตวิทยาและทนายเพื่อช่วยเหลือสตรีที่ต้องเผชิญความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ (Gender-Based Violence)

    ณ ตอนนี้ บริษัท AI รายใหญ่ทั้งหลายต่างก็ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือเสียส่วนมาก เป้าหมายของการมอบทุนในคราวนี้ก็เพื่อสนับสนุนให้มีการวิจัยพัฒนา Genative AI ทั่วโลก จะได้มีผู้คนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้มากยิ่งขึ้น

    “บ่อยมากเลยที่ความก้าวหน้าเทคโนโลยียังผลประโยชน์สู่พื้นที่ต่างๆ ในโลกไม่เท่ากัน สืบเนื่องมาจากการแบ่งแยก ความเหลื่อมล้ำ และอคติหลากหลายรูปแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน” Juliana Rotich นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ชาวเคนยาซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมความปลอดภัยด้าน AI ของทางมูลนิธิกล่าว “เครื่องมือส่วนใหญ่ที่พัฒนากันในซีกโลกเหนือต่างใช้ข้อมูลจากภูมิภาคที่มีทรัพยากรน้อยกว่าซึ่งมักจะไม่สมบูรณ์หรือไม่แม่นยำ”

    แอปพลิเคชันแชทบอทที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องป้อนข้อมูลเป็นคำเข้าไปมีโอกาสกีดกันประชากรจำนวนมากออกไปได้ เช่น ผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ และผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักวิจัยจำนวนมากถึงคิดจะพัฒนาฟีเจอร์เปลี่ยนเสียงพูดของมนุษย์ (ในภาษาท้องถิ่น) เป็นคำเพื่อให้สามารถเข้าถึง Generative AI ได้ดียิ่งขึ้น

    พวกเขาต้องแข่งขันกับข้อผิดพลาดต่างๆ ของ ChatGPT และเครื่องมือแบบเดียวกันซึ่งถูกสอนด้วยข้อมูลสาธารณะที่ยังไม่ได้ผ่านการกรองมาก่อนจำนวนมหาศาล ทั้งยังต้องดิ้นรนกับข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนรวมถึงอคติทางเชื้อชาติและเพศ เพื่อตอบสนองความกังวลเหล่านี้ ทางมูลนิธิได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ AI จากทั่วโลกเพื่อแนะแนวผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหลายในการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

    เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ทีมงานตรวจสอบ 80 คนได้รับคำขอจากนักวิจัย บริษัทไม่แสวงหาผลกำไร และบริษัทเอกชนจาก 103 ประเทศ ใบสมัครเหล่านี้จะถูกตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์อันหลากหลาย รวมถึงข้อที่ว่างานชิ้นนั้นต้องดำเนินการในประเทศที่มีรายได้ต่ำหรือรายได้ปานกลาง ต้องมุ่งเน้นประเด็นเกี่ยวกับสังคมที่รุนแรง และพวกเขาต้องใช้ LLM กับแอปพลิเคชัน

    เกณฑ์ข้อสุดท้ายนั้นสำคัญที่สุด เพราะเป้าหมายของโครงการคือการประเมินว่าปัญหาในทางปฏิบัติใดบ้างที่ LLM จะเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือผู้ใช้ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น เครื่องมือเหล่านี้จะเข้าถึงได้อย่างไร Zameer Brey รองผู้อำนวยการชั่วคราวผู้นำการทำงานว่าด้วย AI ของทางมูลนิธิเผย

    ผู้ได้รับทุนจะมีเวลาสามเดือนในการบรรลุโปรเจ็กต์ ซึ่งหลักๆ แล้วเป็นการใช้งานและปรับแต่ง GPT-4 และ GPT 3.5 ของ OpenAI ในขณะที่หลายโปรเจ็กต์ใช้ LLM อย่าง LaMDA และ Bert ของ Google ตลอดจนโมเดลแบบ text-to-text ที่มีการป้อนข้อมูล 100 ภาษาอย่าง mT5

    แม้โครงการนี้ยังใหม่ Gates Foundation คาดหวังจะสร้าง “หลักฐานเชิงประจักษ์” ในกรณีการใช้งาน Generative AI ต่างๆ รวมถึงอุปสรรคและการเรียนรู้ซึ่งจะช่วยบ่งชี้ว่า AI สามารถมีที่ยืนในชุมชนรายได้น้อยอย่างไร Brey กล่าว

    “ผมในฐานะมูลนิธิคิดว่า เราขอบคุณเสียงตอบรับอันดี แต่เราต้องการนำร่องเสียงตอบรับเหล่านี้ไปสู่การมีสิ่งยืนยันที่จับต้องได้สำหรับการตัดสินใจและการนำไปปฏิบัติจริง”


แปลและเรียบเรียงจาก Gates Foundation Funds Nearly 50 Generative AI Projects In Low And Middle Income Countries ซึ่งเผยแพร่บน Forbes.com


อ่านเพิ่มเติม : กำไรจากกองกระดาษ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine