Benito Antonio Martinez Ocasio หรือ ศิลปินหนุ่มชาวละตินที่หลายๆ คนรู้จักในนาม 'Bad Bunny' เขารู้จักวิธีใช้พลังแห่งการสตรีมเพลงและโซเชียลมีเดียอย่างเชี่ยวชาญเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ดังที่สุดในโลก และตอนนี้กระต่ายแสนซนกำลังใช้อิทธิพลระดับโลกสร้างอาณาจักรของตัวเองในวงการบันเทิง แฟชั่น และกีฬา
ณ เวลา 23.30 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2023 ณ สนามกีฬา Jose Miguel Agrelot Coliseum ในเมือง San Juan ประเทศเปอร์โตริโกเต็มไปด้วยผู้คน แฟนพันธุ์แท้ของ Bad Bunny กว่า 16,000 คนมารวมตัวกันเพื่อเป็นคนกลุ่มแรกในโลกที่ได้ฟังเพลงอัลบั้มใหม่ของฮีโร่จากบ้านเกิดตัวเองซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเพลงแบบไหน
Bad Bunny หรือชื่อตามใบเกิดว่า Benito Antonio Martinez Ocasio เป็นศิลปินผู้ชอบท้าทายขีดจำกัด เขามี 4 สตูดิโออัลบั้มที่มีทั้งแนวฮิปฮอป เร็กเก้ ละตินป็อป เปอร์โตริกันแทร็ป และเม็กซิกันคันทรี่ “ผมซึมซับดนตรีซัลซ่ามาจากฝั่งพ่อเยอะมาก แล้วก็บัลลาดกับมาเรงเก้จากฝั่งแม่ และด้วยความเป็นเด็กยุค 90 ก็จะอินกับเร็กเก้กับแร็ปด้วย” Bad Bunny เล่าขณะให้สัมภาษณ์ด้วยภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาแม่ของเขา “มีศิลปินจากหลายแนวเพลง หลายประเทศ และหลายยุคที่ไหลเวียนอยู่ในตัวผม”
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเกี่ยวกับ Bad Bunny วัย 29 ปีผู้นี้ก็คือ ไม่ว่าเขาจะสร้างสรรค์อะไรมันก็จะฮิตไปทั่วโลก ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศิลปินที่ติดทำเนียบ 30 Under 30 ของ Forbes ประจำปี 2019 ผู้นี้กลายเป็นศิลปินที่มียอดสตรีมมากที่สุดของ Spotify โดยมียอดเข้าฟัง 3.59 หมื่นล้านครั้ง ส่วนช่อง YouTube ของเขามีผู้เข้าชมกว่า 3.2 หมื่นล้านครั้ง มากกว่า Justin Bieber, Ed Sheeran หรือแม้แต่ Taylor Swift เสียอีก และยังคว้ารางวัลแกรมมี่มา 3 รางวัลและละตินแกรมมี่อีก 11 รางวัลด้วย ในเดือนเมษายนปี 2023 เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินละตินคนแรกที่ได้เป็นศิลปินหลักในเทศกาลดนตรี Coachella และทุกสถิติที่กล่าวมาเกิดจากการร้องเพลงภาษาสเปนเพียงอย่างเดียว “ภาษาสเปนคือส่วนหนึ่งของผม มันอยู่ใน DNA ของผม” เขาบอก “ผมชอบพูดสเปนไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ใช่จะยัดเยียดนะ แต่มันคือสิ่งที่ผมเป็น” และมันก็สร้างความมั่งคั่งให้เขา
ในปี 2022 Bad Bunny มีรายได้ประมาณ 88 ล้านเหรียญ (ก่อนหักภาษี) จากการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก การสตรีมนับพันล้านครั้ง และสัญญากับแบรนด์ดังๆ อย่าง Adidas และ Corona รายรับทั้งหมดนั้นสูงพอที่จะเปิดตัวด้วยอันดับที่ 10 ในทำเนียบผู้ให้ความบันเทิงที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุด (Highest-Paid Entertainers) ของ Forbes “ผมไม่ได้ดูแค่ตัวเงินอย่างเดียว” เขาพูดถึงวิธีเลือกผู้ร่วมงาน “มันขึ้นอยู่กับว่าผมชอบแบรนด์นั้นขนาดไหน และพวกเขาเคารพในความคิดสร้างสรรค์ของผมแค่ไหน”
Bad Bunny เป็นต้นแบบของป็อปไอดอลยุคใหม่ เขาเป็นศิลปินระดับโลกอย่างแท้จริงที่ใช้ประโยชน์จากบริการสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดียที่กว้างขวางเพื่อเผยแพร่เพลงที่ครั้งหนึ่งเคยดังแค่ระดับภูมิภาคไปยังผู้ฟังหลายพันล้านคน “เขารู้ดีกว่าใครว่าวัฒนธรรมแบบไหนกำลังมา” Jeremy Erlich หัวหน้าฝ่ายดนตรีของ Spotify กล่าว “ตอนนี้เขาคือผู้กำหนดทิศทางของมัน”
การสตรีมทำให้โลกเล็กลง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพลงละตินถูกสตรีมบน Spotify เพิ่มขึ้นถึง 170% และถ้ารวมสไตล์อื่นๆ ด้วย เช่น แอฟโฟรบีทสไตล์แอฟริกาตะวันตกและเคป็อปก็สามารถดึงดูดผู้ฟังใหม่ๆ ได้หลายร้อยล้านคน นั่นเป็นเพราะบรรดามีมที่เป็นไวรัลบน Instagram และ TikTok และผู้ให้บริการสตรีมมิ่งอย่าง Spotify, Pandora และ Apple Music ซึ่ง Erlich จาก Spotify บอกว่า "อิทธิพลของเพลงภาษาอังกฤษในอดีตกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว"
Bad Bunny ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่เรื่องดนตรี เมื่อต้นปีเขาปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ Amazon Prime เรื่อง Cassandro และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเขาควบ 2 หน้าที่ ทั้งเป็นพิธีกรและขึ้นแสดงดนตรีใน Saturday Night Live ส่วน Bad Bunny เวอร์ชั่นดิจิทัลจะเป็นนักสู้จอมทุ่มจากวิดีโอเกมมวยปล้ำชื่อดัง WWE 2k23 เขาทำทั้งหมดนี้ในหนึ่งปีซึ่งเจ้าตัวก็ออกมาประกาศพักงานแล้ว
ด้วยความสนใจที่หลากหลายทำให้เขาโดดจากเวทีมวยปล้ำ WWE ไปสู่แฟชั่นชั้นสูงของอิตาลีได้อย่างง่ายดาย ฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาเขาปรากฏตัวในโฆษณาของ Gucci โปรโมตกระเป๋าเดินทางระดับไฮเอนด์รุ่น Savoy ร่วมกับซูเปอร์โมเดลและเพื่อนร่วมทำเนียบ 30 Under 30 ที่ดังสุดๆ อย่าง Kendall Jenner เมื่อก่อนเขาเคยร่วมงานกับ Crocs บริษัทรองเท้าที่ทำจากยางโดยออกสินค้ารองเท้าเรืองแสงในปี 2020 ซึ่งขายหมดอย่างรวดเร็ว และล่าสุดที่เพิ่งขายหมดไปคือรองเท้าเทรนเนอร์รุ่น “Paso Fino” มูลค่า 160 เหรียญที่ทำร่วมกับ Adidas
นั่นคือรองเท้าผ้าใบคู่ที่ 14 ที่ Bad Bunny ทำกับบริษัทชุดกีฬาสัญชาติเยอรมันเจ้านี้ แบรนด์รองเท้าอื่นๆ ก็มาหาเขาเหมือนกัน แต่มีเพียง Adidas เท่านั้นที่ยอมให้เขามาดูแลงานฝ่ายศิลป์ด้วย “เขาสร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมาย ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ทั่วโลก” Torben Schumacher ผู้จัดการทั่วไประดับโลกของ Adidas Originals กล่าว
ก่อนที่เขาจะมาเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก Bad Bunny เป็นเพียง Benito นักศึกษานิเทศศาสตร์สาขาสื่อโสตทัศน์ที่ University of Puerto Rico ในเมือง Arecibo ตอนที่เขาไม่มีคาบเรียนเขาไปเป็นพนักงานแพ็กของที่ร้าน Econo และทำเพลงแนวละตินแทร็ปซึ่งเขาจะอัปโหลดขึ้น SoundCloud
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี 2016 เมื่อซิงเกิลเพลงแทร็ป “Soy Peor” (“I'm Worse”) ได้ทำให้ Bad Bunny เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นหู ชื่อเสียงถาโถมมาหาเขาตอนที่ปล่อยเพลง “Diles Remix” ในปีเดียวกัน ในปี 2018 เขาได้ร่วมงานกับศิลปินเบอร์ต้นๆ ของวงการเพลง เช่น Drake, Cardi B และ J Balvin และไม่กี่สัปดาห์ก่อนการล็อคดาวน์จากโควิด-19 เขาได้ร่วมแสดงช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ร่วมกับ Shakira และ Jennifer Lopez ในปี 2020 ขณะกักตัวที่ Miami เขาได้ไลฟ์สดบน Instagram ซึ่งเขามีผู้ติดตาม 46.8 ล้านคน และออกอัลบั้ม Las que no Iban a Salir (The Unreleased) ที่มีศิลปินหลายรายร่วมแจม
“ผมอยู่ได้ด้วยดนตรี” เขาบอก แต่เขาจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขายังมีงานอื่นๆ ที่ขออุบไว้ก่อน ทั้งงานที่ทำกับแบรนด์ต่างๆ งานแสดง และในอนาคตก็จะออกแบรนด์แฟชั่นของตัวเองด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมเปอร์โตริโก เกาะบ้านเกิดอันเป็นหัวใจของภาพลักษณ์ของตัวเขาและธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม Bad Bunny จะมีอิทธิพลอยู่ในวงการเพลงได้อีกหลายสิบปีเหมือน Madonna หรือ Prince หรือไม่นั้นก็คงต้องรอดูกันต่อไป แต่อย่าคาดหวังว่าจะเห็นเขาพักผ่อนริมสระน้ำในคฤหาสน์ของเขาได้นานนัก เขารู้สึกว่าเขามีพันธกิจต่อแฟนๆ นับล้านทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ “เพราะชื่อเสียงเป็นตัวผลักดันให้ผมทำงานต่อไป” ” เขากล่าว
เรื่อง: Maria Gracia Santillana Linares เรียบเรียง: พินน์นรา วงศ์วิริยะ ภาพ: Tim Tadder
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : VEJA 'รองเท้าผ้าใบรักษ์โลก' แบรนด์ฝรั่งเศส เน้นความยั่งยืน ไม่พึ่งโฆษณา