Richard Mille แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสกับกลยุทธ์เจาะตลาดเอเชีย - Forbes Thailand

Richard Mille แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสกับกลยุทธ์เจาะตลาดเอเชีย

FORBES THAILAND / ADMIN
07 Aug 2024 | 09:00 AM
READ 872

การมุ่งเป้าเจาะตลาดในเอเชียเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ Richard Mille ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาหรูรายใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์


    เอเชียนับเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ผลิตนาฬิกาหรูสัญชาติสวิส อย่าง Richard Mille สัดส่วนยอดขายราว 40% ของบริษัทมาจากประเทศแถบเอเชีย (ญี่ปุ่น 10% และประเทศอื่นในเอเชียอีก 30%) ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ มีส่วนแบ่งยอดขาย 30% และตลาดยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริการวมกัน 30%

    บริษัทผู้ผลิตนาฬิการะดับไฮเอนด์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2001 และเปิดสาขาแห่งแรกในเอเชียที่ฮ่องกงหลังจากนั้น 5 ปี ตามมาด้วยการเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นในปี 2007 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทขยายสาขาเดี่ยวทำเลนอกห้างสรรพสินค้าอีก 16 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชีย โดย 4 สาขาจากจำนวนนี้อยู่ที่ญี่ปุ่น ขณะที่อีก 25 สาขากระจายอยู่ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก


    นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาหรูสัญชาติสวิสรายใหญ่ที่ได้เข้าไปเจาะตลาดขนาดเล็กกว่าและเป็นตลาดเกิดใหม่บางประเทศอย่างมาเลเซียและเวียดนาม Richard Mille ศึกษาพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและพบว่า นาฬิกาที่มีขนาดใหญ่และหนาของตนไม่ตรงใจชาวเอเชียเท่าไรนัก ดังนั้น จึงพัฒนาตัวเรือนให้มีรูปแบบบางลง พร้อมทั้งเปิดตัวนาฬิกาที่ออกแบบมาเพื่อสุภาพสตรีโดยเฉพาะซึ่งช่วยให้ยอดขายในภูมิภาคเติบโตขึ้น

    เพื่อเสริมทัพการขยายตลาดในเอเชีย Richard Mille ดำเนินการเปิดสาขาแห่งที่ 2 ในสิงคโปร์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองบนถนน Tanglin Road ห่างจากโรงแรมหรูอย่าง St. Regis เพียง 1 ช่วงตึก และไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า Tanglin Mall ซึ่งเป็นทำเลที่มีราคาสูงที่สุดแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ ด้วยพื้นที่กว่า 930 ตารางเมตรทำให้สาขาแห่งใหม่นี้ขึ้นแท่นเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของ Richard Mille ส่วนอีกสาขาในสิงคโปร์ตั้งอยู่ที่ Marina Bay Sands

    “ตลาดเอเชียเต็มไปด้วยความคึกคักที่จะส่งผลถึงอนาคตของแบรนด์ของเรา” Alexandre Mille วัย 36 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์แบรนด์ และลูกชายของ Richard Mille กล่าวในการสัมภาษณ์ขณะอยู่ในสิงคโปร์ Mille อธิบายว่า บริษัทวางแผนการทำตลาดอย่างรอบคอบ ในอดีตช่วงก่อนปี 2019 บริษัทมีการขายนาฬิกาผ่านตัวแทนจำหน่ายที่รวบรวมสินค้าจากหลาก-หลายแบรนด์มาวางในร้าน แต่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความพิเศษมากขึ้นจึงเปลี่ยนแผนมาวางจำหน่ายในร้านสาขาของตนเองผ่านการบริหารร่วมกับแฟรนไชส์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วน

    ทั้งนี้ Mille อธิบายว่า การเปิดร้านสาขาของแบรนด์เองมีความสำคัญอย่างมากสำหรับตลาดเอเชียเพราะสามารถใช้สถานที่ในการจัดงานอีเวนต์ได้ด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคในภูมิภาค “ผมพูดได้ว่าลูกค้ากลุ่มแรกที่เข้าใจ เห็นคุณค่า และสร้างแรงบันดาลใจให้เราจัดงานอีเวนต์มากขึ้นคือลูกค้าชาวเอเชีย” Mille กล่าว


    การเดินหมากของ Richard Mille ที่มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้านาฬิกาไฮเอนด์ในเอเชียและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกดูจะเริ่มออกดอกออกผลภายในเวลาเพียง 2 ทศวรรษเศษบริษัทสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตนาฬิกาหรูรายใหญ่อันดับต้นๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ ท่ามกลางบรรดาคู่แข่งในตลาดซึ่งบางรายมีประวัติยาวนานนับร้อยปี ในรายงานประจำปี 2022 เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส Morgan Stanley และ LuxeConsult บริษัทที่ปรึกษาและวิเคราะห์ด้านนาฬิกาประเมินว่า Richard Mille เป็นบริษัทใหญ่อันดับ 6 โดยวัดจากรายได้ ด้วยตัวเลขประมาณ 1.3 พันล้านฟรังก์สวิส (1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ส่วนอันดับที่ 5 ตกเป็นของ Patek Philippe แบรนด์นาฬิกาเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1839 ซึ่งมีรายได้ 1.8 พันล้านฟรังก์สวิส

    นอกจากนี้ Richard Mille ยังเป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตน้อยที่สุดจากโผ 10 อันดับผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยผลิตได้ปีละเพียง 5,300 เรือน นอกจากปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นปีละประมาณ 15% อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทสามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับได้ก็คือ ราคาจำหน่ายที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ปัจจุบัน Richard Mille สนนราคานาฬิกาบางชิ้นอยู่ระดับสูงสุดในตลาด โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่เหนือ 310,000 เหรียญนิดๆ หากย้อนกลับไปในปี 2004 ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เพียงเรือนละ 57,000 เหรียญ

    กลยุทธ์การผลิตนาฬิการุ่นพิเศษในจำนวนจำกัดและตั้งราคาจำหน่ายสูงลิ่วของ Richard Mille ทำให้แบรนด์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มลูกค้าชาวเอเชียผู้มั่งคั่ง และในอีกมุมหนึ่งการซื้อนาฬิกามาไว้ในครอบครองยังอาจสร้างผลกำไรได้อีกด้วย ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีออร์เดอร์ผลิตจ่อคิวยาวไปถึงอีก 3-4 ปีข้างหน้า

    Richard Mille กล่าวว่า บริษัทยังน่าจะเติบโตได้ดีในภูมิภาคเอเชีย “พวกเขามีความต้องการจากตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น เวียดนามและกัมพูชา ซึ่งยังมีแบรนด์สินค้าหรูเข้าไปเพียงไม่กี่แห่ง นอกเหนือจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มลูกค้าระดับมหาเศรษฐี”



เรื่อง: Yessir Rosendar เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Linden Lazarus ชายหนุ่มผู้พลิกความหลงใหลสู่ธุรกิจนาฬิกาสิบห้าล้านเหรียญ

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine​