เมื่ออายุราว 13 ปี Linden Lazarus ได้ไปเยือนลอนดอนกับพ่อ ที่ซึ่งเขาตกหลุมรักนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งแรก พวกเขาเดินเล่นชมร้าน Watches of Switzerland และไม่ได้กลับออกมาเลยตลอดบ่าย
Lazarus กล่าวว่าเขาได้ยินเสียงเพรียกของหัวใจในวันนั้น และในวันนี้เมื่ออายุได้ 20 ปี เขาก็ได้พา Oliver & Clarke บริษัทขายนาฬิกาวินเทจของตัวเองเติบโตสู่มูลค่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ย้อนกลับไปตอนที่เขาเยือนลอนดอนกับพ่อ Lazarus บอกว่าเขาสนใจสิ่งของที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวข้อง เขาสะสมการ์ดเบสบอลวินเทจเมื่อครั้งยังเด็ก (ซึ่งได้รับเป็นของขวัญวันเกิดและวันหยุดพิเศษต่างๆ) ทว่าเมื่อย่างกรายเข้าสู่ร้านค้าในอังกฤษ สิ่งที่จุดประกายไฟแห่งความหลงใหลในใจเขาคือนาฬิกาข้อมือ
“ราวกับโชคชะตาฟ้าลิขิต” Lazarus เล่า เขาบอกกับพ่อในบ่ายวันนั้นว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างในโลกของนาฬิกา ก่อนเริ่มต้นท่องตลาดออนไลน์ตามหานาฬิกาที่เขาพอจะซื้อได้ด้วยเงินที่มี ต่อมาจึงพัฒนาจากกิจกรรมซื้อขายเล่นๆ ไปเป็นบริษัทเต็มรูปแบบ สร้างรายได้หลายแสนเหรียญขณะยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลาย
“นาฬิกาวินเทจเป็นดั่งหน้าต่างแสนวิเศษสู่อดีตกาล แต่ละชิ้นมีมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่ก่อร่างเป็นตัวตนเฉพาะ และมันจะยิ่งอัศจรรย์ขึ้นไปอีกเมื่อมีข้อความส่วนตัวสลักไว้ด้วย” Lazarus บรรยาย
หนึ่งปีหลังการเดินทางไปลอนดอน เขาเอ่ยปากขอนาฬิกา Orient จากพ่อ แต่แม่ของเขาคิดว่าราคาของมันสูงเกินกว่าจะอยู่ในมือของเด็กอายุ 14 ปี เขาเลยได้นาฬิกา Seiko มาแทน ซึ่งเขาก็ดีใจเหมือนกัน
1943 Patek Philippe Calatrava หนึ่งนาฬิกาหายากในคลัง Oliver & Clarke
นาฬิการาคาแพงเรือนแรกที่เขาซื้อด้วยตัวเองเมื่อตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสองคือ IWC Ingenieur จากต้นยุค 2010s
“ผมมีเงินไม่พอซื้อ คนขายบนเว็บไซต์อีเบย์ตั้งราคาไว้ที่ 4,000 เหรียญ ผมเลยขายการ์ดเบสบอลที่เคยสะสมไว้ แล้วทำงานหนักช่วงหน้าร้อนจนรวบรวมเงินได้ 2,800 เหรียญ และในท้ายที่สุด คนที่ขายนาฬิกาเรือนนี้ก็ตอบรับคำขอของผม” Lazarus ย้อนรำลึกความหลัง “มันดีเกินกว่าที่ผมจินตนาการได้”
เขาสวมมันสักระยะหนึ่ง ครั้นแล้วจึงตัดสินใจขายมันโดยได้กำไรมา 800 เหรียญ “ตอนที่ผมเกิดไอเดียอยากจะทำธุรกิจ ก็คือตอนที่คิดได้ว่า ที่ผ่านมาผมต้องทำงานแลกเงิน 12 เหรียญต่อชั่วโมง แต่สำหรับการซื้อ-ขายนาฬิกาวินเทจนี้ช่วยสร้างกำไรให้ผมได้อย่างยอดเยี่ยม”
เงินจำนวน 3,600 เหรียญจากการขายนาฬิกาได้กลายมาเป็นทุนตั้งต้นสำหรับ Oliver & Clarke ที่เขาก่อตั้ง ขึ้นในปี 2018 และดำเนินกิจการจากห้องในหอพักโรงเรียนมัธยมปลาย
Lazarus มักมีความคิดเรื่องทำธุรกิจอยู่เสมอ และเขาก็ตื่นเต้นกับการสร้างบริษัทนี้ เขาเริ่มจากนาฬิการาคาไม่แพงสี่เรือน ทั้งหมดราคาต่ำกว่า 1,000 เหรียญ และเปิดเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อขายนาฬิกาเหล่านี้
“ผมขายไม่ได้เลยตลอดสี่เดือนแรก อาจเพราะมันเป็นเว็บไซต์เฉพาะของผมเอง และยังไม่มีใครรู้จัก แต่แล้วผมก็ขายเรือนแรกออก เป็น Omega Constellation จากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ” เขาเล่าโดยเสริมว่ายังคงติดต่อกับลูกค้าที่ซื้อนาฬิกาเรือนแรกของบริษัทไปอยู่ด้วย
ช่วงฤดูร้อนตอนเขาเรียนชั้นมัธยมปลายปีสอง เขาได้มีโอกาสไปเยือนถนนหมายเลข 47 ในนิวยอร์ก และพบปะผู้คนวงการนาฬิกามากมาย
“หน้าร้อนนั้นผมอายุสิบห้า และได้เจอผู้คนมากมายที่ช่วยชี้แนะผม เพราะตอนนั้นผมยังเด็ก มีความกระตือรือร้น และพร้อมเรียนรู้ ผมซื้อและขายนาฬิกาเยอะแยะเลย ซื้อมาที่ 400 เหรียญแล้วขายไปที่ 1,200 เหรียญ ผมอยู่ถูกที่ถูกเวลาและทำเงินกว่า 100,000 เหรียญในหน้าร้อนนั้น”
1953 Rolex Datejust หนึ่งนาฬิกาหายากในคลัง Oliver & Clarke
เขากลับมาเรียนหนังสือตามปกติ แม้จะรู้ตัวว่ามีธุรกิจที่ดีอยู่ในมือแล้ว “ตอนนั้นผมคิดว่าน่าจะทำเงินได้ราวๆ 60,000 เหรียญต่อปี แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าผมสามารถทำได้กว่าที่เคยคิดไว้ ผมยังคงขายนาฬิกาต่อไปพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย จนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโรงเรียนอีกแล้ว ผมอยากก่อร่างสร้างบริษัทของตัวเองไปในทิศทางที่แตกต่างจากคนอื่น ผมจึงตั้งเป้ามองหานาฬิกาที่ไม่เหมือนใครโดยจะต้องเป็นนาฬิกาที่หายากและมีความพิเศษเฉพาะตัว”
ระหว่างที่เขากำลังเตรียมการสำหรับก้าวต่อไป โควิด-19 ก็จู่โจม เขาย้ายบ้าน เรียนจบมัธยมปลายผ่านทางออนไลน์ แล้วก็ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนอายุ 17 ปี เขาสะสมเงินไว้มากพอจะซื้อรถ อะพาร์ตเมนต์ และสิ่งจำเป็นอื่นๆ รวมทั้งยังตั้งใจสร้างสถานที่สำหรับบริษัทอีกด้วย
ในปี 2021 ยามวิกฤตโควิดใกล้สิ้นสุดลง เขาไปเยี่ยมพี่น้องในแคลิฟอร์เนียและตัดสินใจได้ว่า นี่แหละคือบ้านของเขา เขาตั้งร้านขึ้นที่นั่นพร้อมเปิดห้องจัดแสดงสินค้าและสำนักงาน
“โควิด-19 ส่งผลดีต่อธุรกิจ ตัวเลขของเราพุ่งทะยาน เราก้าวจากบริษัทมูลค่า 1 ล้านเหรียญสู่ 4 ล้านเหรียญ มีการซื้อนาฬิกาหายากมากมายและทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย ยอดขายสวยงาม และผมก็จ้างคนมาช่วยงาน โดยเฉพาะพวกขั้นตอนท้ายๆ” เขาเล่า โดยก่อนหน้านั้นเขาทำทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมดแม้กระทั่งส่งของ
ครั้นปี 2022 บริษัท Oliver & Clarke Vintage Watches ได้เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ Lazarus ลงทุนในนาฬิกา Rolex หายาก ยอดขายเฉลี่ยต่อนาฬิกาเรือนหนึ่งเพิ่มจาก 5,000 เหรียญเป็น 10,000 เหรียญ ปัจจุบันนาฬิกาส่วนใหญ่ในคลังของเขาคือแบรนด์ Rolex โดยราคาเฉลี่ยต่อเรือนอยู่ที่ 20,000-40,000 เหรียญ
“ในปี 2022 ธุรกิจนี้ทำเงินได้มากกว่า 15 ล้านเหรียญ สูงกว่าที่ผมเคยวาดภาพเอาไว้เสียอีก”
1981 Rolex Day-Date หนึ่งนาฬิกาหายากในคลัง Oliver & Clarke
แม้ราคาของนาฬิกาวินเทจต่างๆ รวมถึง Rolex จะตกลงต่อเนื่อง Lazarus กลับไร้ความกังวล “ผมได้ทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยจะให้ความสำคัญกับแค่นาฬิกาวินเทจสุดพิเศษเท่านั้น โดยสภาพอยู่ที่เก้าหรือสิบเต็มสิบ นาฬิกาพวกนั้นราคาไม่ตกเหมือนอย่างราคาเฉลี่ยของ Rolex ทุกวันนี้ตลาดชะลอตัวลงเล็กน้อย และผู้คนก็ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่คลังของเรายังคงมีมูลค่า เราจัดหานาฬิกาที่ดีที่สุดในโลก”
Lazarus ชี้ว่า Oliver & Clarke แตกต่างจากบรรดาคู่แข่งด้วยคุณภาพและความหายากของนาฬิกาที่พวกเขาขาย ทางบริษัทใส่ใจราคาที่เหมาะสมกับแต่ละเรือน บริการลูกค้าสุดพิเศษ และความโปร่งใส่สูง พร้อมด้วยนโยบายคืนได้ตลอดชีพหากกังขาเรื่องความน่าเชื่อถือ แต่ก็มักมีกระบวนการขั้นตอนอย่างละเอียดกับนาฬิกาทุกเรือนที่ซื้อมาและขายไปเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเป็นของแท้
“เรามีการตรวจสอบหลากหลายขั้นตอน วินิจฉัยทุกเรือน ติดตามดูภาพและวิดีโอของแต่ละเรือน” เขาว่า
ณ ปัจจุบัน Lazarus ในวัย 20 ปียอมรับว่าความท้าทายสูงสุดยังคงเป็นอายุของเขา “คงไม่มีเรื่องให้ต้องพิสูจน์ตัวเองมากมายขนาดนี้หากผมอายุสักสามสิบห้าปี การซื้อนาฬิกามูลค่าหลายล้านเหรียญจากคนวัยยี่สิบปีกับผู้มากด้วยประสบการณ์ในวงการอาจเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อห้าปีก่อน แต่ก็มีความแตกต่างที่ใหญ่มากระหว่างอายุสิบห้ากับยี่สิบ เราจึงยังคงต้องพยายามอีกเยอะเพื่อคงไว้ซึ่งการยอมรับในระดับสูง”
ท้ายสุดนี้ Lazarus เผยว่าก้าวต่อไปคือการขยายบริษัท โดยเขามีแนวโน้มจะเปิดสาขาที่เมืองใกล้ๆ อย่างนิวยอร์กซิตี้ ที่เขาเล็งไว้คือย่านโซโหซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งจะสร้างมูลค่าให้เขามหาศาลเลยทีทีเดียว
แปลและเรียบเรียงจาก How A Teen s Watch Passion Became A $15 Million Business: Oliver & Clarke ซึ่งเผยแพร่บน Forbes
อ่านเพิ่มเติม : เงินสดหวนผงาด เมื่อชาวสหราชอาณาจักรพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine