เมล็ดกาแฟที่ประชากรหลายล้านคนในสหราชอาณาจักรบริโภคอาจปลูกได้ยากขึ้นเป็นอย่างมากเมื่ออุณหภูมิในเขตร้อนเพิ่มสูงขึ้น
รายงานใหม่ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะทำให้พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเพาะปลูกกาแฟลดลงถึง 54% ก่อนปี 2100 แม้ว่าอุณหภูมิของโลกจะทรงตัวอยู่ตรงจุดที่นานาชาติเคยได้หารือกันไว้ก็ตาม
ผู้ปลูกกาแฟตั้งแต่ในประเทศฮอนดูรัสไปจนประเทศเอธิโอเปียต่างก็ออกมาพูดว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาอันเป็นผลมาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และองค์กรการกุศล Christian Aid ก็เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรออกมาช่วยเหลือโดยการยกเลิกหนี้ต่างๆ ในอดีต และหันมาระดมเงินเพื่อจ่ายให้กับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพภูมิอากาศ
Christian Aid คำนวณว่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นตลอดจนปัจจัยอันยากจะคาดเดาอื่นๆ จะส่งผลให้พื้นที่ต่างๆ ในโลกที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกกาแฟลดลงถึง 54.4% แม้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะหยุดอยู่ที่ 1.5-2 องศาเซลเซียสเหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม (pre-industrial level) ซึ่งช่วงอุณหภูมิดังกล่าวเป็นขอบเขตที่ทางคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เคยให้ข้อมูลว่าหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมากเกินกว่านี้ อาจนำมาซึ่งหายนะร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่สหราชอาณาจักรมีผู้ดื่มกาแฟรวมกันราว 98 ล้านถ้วยในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนอาชีพให้กับผู้คนในประเทศมากกว่า 210,000 ราย อ้างอิงจากตัวเลขในปี 2017 ของทางสมาคมกาแฟแห่งอังกฤษ (British Coffee Association)
เกินครึ่งของกาแฟที่ดื่มกันในสหราชอาณาจักรมาจากประเทศบราซิลและประเทศเวียดนาม โดยทั้งสองประเทศนี้ต่างก็เสี่ยงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากเป็นพิเศษ
ประเทศเวียดนามบันทึกสถิติอุณหภูมิสูงสุดได้เมื่อวันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 44.1 องศาเซลเซียส ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย ลาว เมียนมา ต่างก็ประสบกับความร้อนระอุอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น รวมถึงฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล โรคภัย ความแห้งแล้ง และดินถล่ม อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ทั้งหมดนี้เป็นภัยและมีผลต่อการหดตัวของอุตสาหกรรมกาแฟ ตลอดจนทำให้ผู้ผลิตกาแฟขาดรายได้อย่างมาก
Yadira Lemus เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวฮอนดูรัสกล่าวว่า “ในฐานะผู้ผลิตกาแฟ มันยากขึ้นและยากขึ้นเรื่อยๆ และใช่ ชัดเจนเลยว่ามันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะก่อนหน้านี้เราแค่ปลูกกาแฟ แล้วผลผลิตก็แทบจะงอกเงยขึ้นมาเอง”
“แต่เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราต่างก็เห็นว่าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น การพยากรณ์อากาศเป็นเรื่องยากขึ้น เราเคยบอกได้ว่าตอนไหนคือหน้าหนาว ตอนไหนคือหน้าร้อน และตอนไหนที่เราควรจะปลูกพืช แต่ไม่อีกแล้ว”
“เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันเปลี่ยนจากหนึ่งปีเป็นเท่าไหร่ และการพยากรณ์ก็ไม่ง่าย ใครบอกได้บ้างว่าเราจะเผชิญกับพายุและเฮอร์ริเคนที่เจอเมื่อปีที่แล้ว?”
“ตอนนี้คุณจะเห็นว่าฝนแล้ง เราต่างก็เดือดร้อนจากความเปลี่ยนแปลงพวกนี้”
Christian Aid ได้เผยแพร่คำเตือนอย่างจริงจังผ่านรายงานฉบับใหม่ “Wake up and smell the coffee: The climate crisis and your coffee” ซึ่งเรียกร้องให้มีการยกเลิกหนี้ต่างๆ ที่ “ไม่เป็นธรรม” และต้องการกำลังสนับสนุนด้านการเงินแก่เหล่าเกษตรกรในการหารายได้ประทังชีพจากหลายๆ ทาง
Yitna Tekaligne ผู้จัดการ Christian Aid สาขาประเทศเอธิโอเปียกล่าวว่า “ชาวแอฟริกันเป็นประชากร 17% ของโลก แต่พวกเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศเพียง 4% เท่านั้น แต่กลับเป็นพวกเราอีกนั่นแหละที่ต้องทุกข์ทนกับส่วนที่ร้ายแรงที่สุดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“อุตสาหกรรมกาแฟของพวกเราเป็นผลผลิตส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศเอธิโอเปีย และยังสร้างอาชีพให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ตอนนี้กำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
“ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตกาแฟนั้นเห็นได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่นใบกาแฟที่เป็นโรคราสนิมอย่างหนัก”
“รัฐบาลสหราชอาณาจักรสามารถลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย เริ่มจากการใช้อำนาจในมือทำให้เจ้าหนี้ภาคเอกชนจากตะวันตกยกเลิกหนี้ที่มีกับบรรดาประเทศที่ได้ชื่อว่ายากจนที่สุดในโลกเสีย และผลักดันการขับเคลื่อนด้านการเงินที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งพวกเราจำเป็นต้องบอกว่าประเทศของเราต้องเผชิญความสูญเสียและผลกระทบอะไรบ้างจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”
Christian Aid ยังมีผลสำรวจผู้ใหญ่ชาวสหราชอาณาจักร 2,181 คนเกี่ยวกับกาแฟและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประกอบรายงาน ซึ่งพบว่า 57% ของผู้ทำแบบสำรวจมีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกระทบราคา รสชาติ และปริมาณสินค้ากาแฟในสหราชอาณาจักรอย่างไร
รายงานยังเผยว่า 69% เห็นด้วยว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรควรลงมือให้มากกว่านี้เพื่อลดผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนด้านอาหารของประเทศ เช่น การสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้ทางอื่น
Davis Taylor ผู้จัดการด้านนโยบายอาวุโสจากองค์กร Fairtrade Foundation กล่าวว่า “รายงานของ Christian Aid ซึ่งมาได้ถูกเวลาช่วยตอกย้ำสิ่งที่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟของ Fairtrade ได้บอกกับเรามาสักระยะหนึ่งแล้ว เช่น ผลพวงอันร้ายแรงของหายนะด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Breakdown) ไม่ได้เพียงเป็นภัยต่อการดำรงชีวิตของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอนาคตของกาแฟอีกด้วย”
“ชุมชนเกษตรกรมีบทบาทที่สำคัญในการชี้ชัดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และมีความชำนาญในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น”
“อย่างไรก็ตาม มีเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟรายย่อยจำนวนมาก หลายๆ รายไม่มีแรงมากพอที่จะช่วยแก้ไขวิกฤต เพราะราคาผลิตผลของพวกเขาต่ำมากและยังไม่ได้รับความคุ้มด้านราคาจาก Fairtrade ซึ่งไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Climate change will cut land available for coffee by more than half, says report ซึ่งเผยแพร่บน independent.co.uk
อ่านเพิ่มเติม : Subway ธุรกิจแฟรนไชส์พันล้าน กับเบื้องหลังความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้น