อนาคตของเงินหยวนในการค้าระดับโลก - Forbes Thailand

อนาคตของเงินหยวนในการค้าระดับโลก

FORBES THAILAND / ADMIN
23 Jul 2014 | 12:14 PM
READ 2250

แม้ว่าธุรกิจในสหรัฐฯ จะยังลังเลอยู่บ้างที่จะทำการค้าขายในสกุลเงินของประเทศจีนหรือ RMB แม้การใช้เงินหยวนเป็นเงินตราสากลจะมีประโยชน์มากขึ้นทุกขณะก็ตาม แต่ในวันนี้ทัศนคติแบบนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ผลสำรวจของ HSBC ที่เก็บข้อมูลจากบริษัทต่างชาติซึ่งตั้งสาขาหรือดำเนินการค้าในแผ่นดินใหญ่ แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารธุรกิจจากสหรัฐฯ 17% ยอมรับว่าใช้เงินหยวนในการค้าขาย แม้จะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการสำรวจในระดับโลก 22% ก็ตาม  สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช้เงินหยวนนั้น มีถึง 22% ที่วางแผนจะใช้ภายในหกเดือนหรือห้าปีข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 32% ที่สำรวจจากผู้บริหารทั่วโลก แม้การสำรวจจาก HSBC ครั้งนี้จะยังไม่ชัดนักว่า บริษัทของจีนเองนั้นค้าขายด้วยสกุลเงินหยวนมากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยตัวเลขนี้พอจะแสดงให้เห็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เพิ่งจะสำรวจเมื่อปีที่แล้ว มีเจ้าของกิจการชาวสหรัฐฯ เพียง 9% เท่านั้นที่ใช้เงิน RMB ในการค้าขาย  ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียง 8% เท่านั้นที่ตัดสินใจจะร่วมขบวนสกุลเงินจากจีนในการทำธุรกิจ ภายในหกเดือนถึงห้าปีข้างหน้า แม้ตัวเลขจะเพิ่มขึ้น แต่นักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ใช้เงินหยวนในการทำธุรกิจยังมีไม่มากนัก บทความจาก Financial Time เมื่อเร็วๆ นี้สรุปได้ดีว่า "ขนาดของการชำระหนี้ด้วยเงินหยวนครบวงจรระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น ไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับอัตราการเจริญเติบโตเลย" ทั้งนี้ SWIFT (สถาบันดูแลสกุลเงินที่ใช่้ชำระหนี้ระหว่างประเทศ) แสดงตัวเลขให้เห็นว่าในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการจ่ายเงินระหว่างสหรัฐฯ และจีน/ฮ่องกงที่ทำในรูปเงินหยวนเพียง 2.4% เท่านั้น แต่ก็เพิ่มจากเดือนเมษายนของปีก่อน ซึ่งมีเพียง 0.7% เท่านั้น บริษัทสหรัฐฯ ที่เป็นแหล่งข้อมูลให้กับ HSBC ยอมรับว่า เหตุที่ยังไม่ใช่เงินสกุล RMB มิใช่เพราะไม่เข้าใจหรือไม่ถึงประโยชน์ของการใช้เงินสกุลนี้ แต่เป็นเพราะภาวะการณ์ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก เบื้องต้นแล้ว ธุรกิจจากสหรัฐฯ ที่ค้าขายกับจีนเริ่มต้นเติบโต มียอดส่งออกไปยังจีนถึง 7% เมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนที่มีเพียง 1% เท่านั้น  ทาง HSBC ประเมินว่าตัวเลขจะขึ้นไปสูงถึง 14% ในปี 2030  สถาบันการเงินข้ามชาติเริ่มตระหนักถึงข้อเท็จจริงในการใช้เงินสกุลหยวน ที่มีข้อได้เปรียบอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน ลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และช่วยให้จ่ายเงินได้รวดเร็วขึ้น เมื่อเทียบกันแล้ว การใช้สกุลเงินดอลลาร์ใบเขียวๆ แทนที่จะใช้เงินค่ายสีแดง จะทำให้บริษัทสหรัฐฯ เกิดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากจีน รายงานของ Western Union ในปี 2012 ระบุว่า มีการเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในแต่ละปี สูงถึง 2.4 พันล้านเหรียญ แน่นอนว่า การเติบโตของเงินหยวนในฐานะเงินตราระหว่างประเทศยังคงติดขัดปัญหาอยู่บ้าง HSBCเสนอว่า นักธุรกิจต้องการระเบียบแบบแผนที่ง่าย ตัวอย่างเช่นการปล่อยเสรีในอัตราแลกเปลี่ยน และการขยายธุรกรรมที่ต้องทำผ่าน RMB  ในเมืองต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของจีน ไม่ว่าฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ หรือแม้แต่ลอนดอน ซึ่งกำลังจะเข้าร่วมกระบวนการนี้ เงื่อนไขที่อำนวยในเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้เงินหยวนเพิ่มขึ้น HSBC คาดการณ์ว่าเงินสกุลหยวนนี้จะสาขาใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2017 แต่อาจจะใช้เวลานานยิ่งกว่า หากจะหวังให้เงินหยวนแซงหน้าเงินสกุลยูเอสดอลลาร์ ในฐานะสกุลเงินที่นิยมใช้ในการค้าขายระดับโลกในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เราจะได้เห็นการใช้เงินหยวนมากขึ้นอย่างแน่นอน
เรียบเรียงจาก More U.S. Companies Are Now Settling Trade With Yuan โดย Yunita Ong