Vivvi สตาร์ทอัพจาก 2 คุณพ่อ แก้ปัญหาการเลี้ยงเด็กของคนวัยทำงาน - Forbes Thailand

Vivvi สตาร์ทอัพจาก 2 คุณพ่อ แก้ปัญหาการเลี้ยงเด็กของคนวัยทำงาน

    สองคุณพ่อ Charlie Bonello และ Ben Newton กำลังแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผู้ชายจำเป็นต้องมีบทบาทในการแก้ปัญหาการดูแลเด็ก (Child Care) บริษัทของพวกเขา Vivvi เป็นบริษัทด้านการดูแลและการศึกษาสำหรับเด็กๆ โดยช่วยให้นายจ้างจากองค์กรต่างๆ สามารถสนับสนุนสิทธิประโยชน์เหล่านี้แก่พนักงานของพวกเขาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

    

    บรรดานายจ้างต่างก็เพิ่มสิทธิประโยชน์ว่าด้วยการเลี้ยงดูเด็กรักษาพนักงานไว้และดึงดูดรายใหม่ๆ เข้ามาทำงานด้วย ราคาสูงลิ่วที่ต้องจ่ายให้กับการเลี้ยงเด็กเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญลำดับต้นๆ ในการตัดสินใจลาออกของคนเป็นพ่อกับแม่

    ตัวเลขเฉลี่ยรายปีมีตั้งแต่ช่วง 5,400 เหรียญสหรัฐฯ ในรัฐมิสซิสซิปปีไปจน 21,000 เหรียญในรัฐแมสซาชูเซตส์ ผู้หญิงมีแนวโน้มพักการทำงานเพื่อดูแลลูกสูงกว่าผู้ชายเกินสองเท่า
การให้สิทธิประโยชน์ด้านการดูแลเด็กจึงสามารถเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของพนักงาน ทำให้พนักงานอยากทำงานกับบริษัทต่อ ทั้งยังเอื้อผลประโยชน์ทางการเงินให้กับนายจ้างได้อีกด้วย

    

แรงบันดาลใจในการก่อตั้ง Vivvi

    

    Vivvi ช่วยให้นายจ้างมอบสิทธิประโยชน์ด้านการเลี้ยงดูและการศึกษาแก่เด็กเล็กอายุ 0-5 ปีแก่พนักงาน ศูนย์ดูแลต่างๆ ซึ่งตอนนี้มีให้บริการในเขตนิวยอร์กซิตี้เท่านั้นจะเปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 1 ทุ่มตลอดปี วันจันทร์ถึงวันศุกร์ พ่อแม่อาจเลือกโปรแกรมแบบสอง สาม หรือห้าวัน และแม้ว่านายจ้างของคุณจะไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์ด้านการเลี้ยงดูเด็ก คุณก็ยังสามารถเข้าถึง Vivvi ในฐานะครอบครัวในชุมชนของเรา

    Bonello และภรรยาของเขาซึ่งเป็นพยาบาล มีลูกวัยสี่ขวบหนึ่งคน และลูกแฝดวัยสองขวบอีกหนึ่งคู่ การเลี้ยงดูเด็กเล็กเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพวกเขา ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่จุดประกายความสนใจในการก่อตั้งบริษัทด้านการดูแลและให้การศึกษาเด็กแก่เขา

    ก่อนหน้าเขากับภรรยาจะมีลูกกัน ความต้องการที่จำเป็นเหล่านี้เป็นของบรรดาพนักงานในบริษัทแห่งแรกที่เขาร่วมก่อตั้ง Grand Central Tech (GCT) และบริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ ที่เคยร่วมงานด้วยราคาของการดูแลเด็กผลักให้พนักงานโดยเฉพาะเพศหญิงต้องออกจากงาน ซึ่งมีทั้งค่าใช้จ่ายที่จับต้องได้และเรื่องของความไม่สะดวกต่างๆ ศูนย์เลี้ยงดูเด็กก็มักตั้งอยู่คนละทางกับที่ทำงาน ไหนจะยังเวลาในการเดินทางไปรับไปส่ง ซึ่งศูนย์เหล่านี้ก็ไม่ค่อยเปิดตอนเช้าตรู่หรือปิดตอนดึกเสียเท่าไหร่

    “ตลาดธุรกิจดูแลเด็กมีส่วนแบ่งสูงมาก ผู้ให้บริการ 50 อันดับแรกมีส่วนแบ่งทางตลาดน้อยกว่า 10% ของตลาดทั้งหมด” Bonello เผย “จะมีรายใหญ่มากๆ เพียงหนึ่งหรือสองรายเท่านั้นซึ่งเราไม่ได้ใหญ่พอที่เราจะใช้บริการของเขา ขณะที่บริการช่วยเหลือต่างๆ ของพวกเขาก็แพงเกินไป ทั้งยังไม่ค่อยยืดหยุ่นด้วย”

    เมื่อ Bonello ผันตัวมาเป็นนักระดมทุน เขามองหาบริษัทด้านการดูแลเด็กที่เขาสามารถหาทุนสนับสนุนด้านการการเงินให้ได้ แต่ปรากฏว่าไม่พบ เขาจึงจับมือกับ Ben Newton ผู้มีประสบการณ์ก่อตั้งและบริหารโรงเรียน โดย Newton ยังมีลูกสองขวบอีกด้วย 

    Newton เริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการเป็นครูในเมืองนิวออร์ลีนส์กับองค์กร Teach for America หลังพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาพัดถล่มสหรัฐอเมริกาสร้างความเสียหายมหาศาลในปี 2005
ต่อมาในปี 2015 เขาหันมามุ่งเน้นให้ความสำคัญการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะพัฒนาการทางสมอง 95% เกิดขึ้นก่อนอายุห้าขวบ

    ชายหนุ่มทั้งสองจึงมองการสร้างศูนย์การดูแลและการศึกษาสำหรับเด็กเล็กแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ ความจำเป็นของครอบครัวและพนักงานต้องมาก่อนอันดับแรก
ปัญหาไม่ใช่แค่การเพิ่มพื้นที่รองรับเด็กๆ เท่านั้น “มันเกี่ยวกับการคิดหาวิธีดึงดูดและพัฒนาครูที่ดีที่สุด” Newton กล่าว พวกเขาจึงเริ่มต้นด้วยการจ้างครูที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นพนักงานแบบเต็มเวลา Vivvi มีสิทธิประโยชน์ดีๆ มากมาย พนักงานแต่ละคนยังมีกรรมสิทธิ์ในบริษัทอีกด้วย

    นอกจากบริการต่างๆ มีมากกว่าแค่พาเด็กมาฝากไว้ในแต่ละวันแล้วนั้น Vivvi คือแพลตฟอร์มระดับโลกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับครอบครัวต่างๆ ทั้งในด้านการใช้ชีวิตและอาชีพการงาน โดยสนับสนุนครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับเด็กวัยเข้าโรงเรียนตลอดจนการดูแลผู้สูงอายุ
Vivvi มีตัวเลือกบริการเสริมพิเศษในกรณีที่แผนการดูแลเด็กอื่นๆ มีปัญหา และ Care Cash บริการสำรองทางการเงินสำหรับพนักงานที่สำรองจ่ายเงินส่วนตัวก่อนนำไปเบิกกับบริษัทที่พวกเขาทำงาน ทั้งยังมีติวเตอร์เสมือนจริง (Virtual Tutoring) สำหรับเยาวชนอายุ 6-18 ปี

    

การดูแลเด็กเกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร

    

    เมื่อมีแรงงานผู้หญิงมากขึ้น เศรษฐกิจจึงเติบโตในด้านต่างๆ ส่วนการทำงานร่วมกันมากขึ้นนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรม กำลังการผลิต และเกิดแนวคิดแปลกใหม่หลากหลาย การมีส่วนร่วมของแรงงานหญิงคือหัวใจสำคัญเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเพิ่มจำนวนแรงงานหญิงจะช่วยเติมจีดีพีของประเทศได้หลายล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว

    มีหลักฐานยืนยันว่าบริษัทที่มีจำนวนผู้หญิงในตำแหน่งผู้นำมากกว่าจะมีการปฏิบัติงานที่ดีกว่า ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันมีนัยสำคัญต่างๆ เป็นผลมาจากการเพิ่มการมีส่วนร่วมของแรงงานหญิงในที่ทำงาน แม้กระนั้นผู้หญิงจำนวนมากกลับออกจากงานหรือเลือกจะไม่มีลูก ซึ่งเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

    พ่อแม่มักถูกบังคับให้เลือกระหว่างการรับผิดชอบดูแลลูกกับงาน การตัดสินใจนี้มีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมของแรงงานและกำลังการผลิตที่ลดลงด้วย

    

ผู้ชายคือผู้ช่วย

    

    โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่ (Motherhood Penalty) คือราคาที่ผู้หญิงต้องจ่ายในการมีและสร้างครอบครัวไปพร้อมๆ กับทำงาน ความรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกๆ ไม่ได้ส่งเสริมการถูกเลือกให้รับโอกาสใหม่ๆ หรือการเลื่อนตำแหน่งแต่อย่างใด ไหนจะเงินเดือนที่ต่ำกว่า แล้วยังถูกคาดหวังด้วยมาตรฐานสูงกว่าคนที่ไม่ได้มีลูกหรือคนที่มีลูกแต่จ้างคนดูแลได้เสียอีก

    ถึงอย่างนั้น หลายๆ บริษัทกลับมีทรัพยากรเพียงน้อยนิดในการช่วยเหลือพนักงานที่มีภาระในฐานะพ่อแม่ซึ่งควรมีมากกว่าแค่สิทธิการลาเพื่อทำหน้าที่ผู้ปกครอง (Parental Leave)

    ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับพ่อแม่คือช่วงปีแรกๆ ของเด็กๆ หรือก็คือวัยทารกและวัยหัดเดิน ซึ่งยังสอดคล้องกับช่วงเวลาสำคัญในชีวิตที่จะเริ่มกังวลและตั้งคำถามเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ (Mid-Career Crisis)

    ตามที่ Bonello และ Newton เข้าใจ พ่อแม่ต่างก็ต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพมาอบรมสั่งสอนลูกๆ ของตัวเอง เมื่อปลดเปลื้องความกลัวทั้งหมดนี้ลงไปได้ พนักงานก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภักดีต่อองค์กร และประสบความสำเร็จ

    บริการของ Vivvi ยังช่วยให้เด็กๆ มีพื้นฐานด้านการศึกษาที่แข็งแรงอันเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในอนาคต

    ผู้นำธุรกิจต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ชาย จำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลเด็กเล็กและลงทุนในสิ่งนี้ ความเท่าเทียมทางเพศไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยแท้จริงหากปราศจากผู้ชาย

    

    แปลและเรียบเรียงจากบทความ Child Care: Not Just A Women s Issue, An Economic Issue ซึ่งเผยแพร่บน forbes.com