Larry Connor เศรษฐีพันล้านผู้ชื่นชอบความท้าทายสร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจอะพาร์ตเมนต์หรูผ่านกลยุทธ์เน้นการถือครองระยะสั้น วิธีการของเขาสร้างผลกำไรได้มากมายมานานหลายปี แต่ในขณะนี้เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไปต้องรอดูว่าเขาจะยอมแบกรับความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
ณ วันหนึ่งของช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ท้องฟ้าเมือง Dayton รัฐ Ohio อึมครึมไปด้วยเมฆหมอก Larry Connor กำลังพลิกอ่านรายงานข้อมูลด้านอสังหาฯ ที่วางซ้อนเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของเขา ซึ่งสามารถมองเห็นลานบินและโรงซ่อมบำรุงของท่าอากาศยาน Wright Brothers Airport
ที่นี่มีโมเดลจำลองเสมือนจริงเครื่องบิน Model B ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องบินรุ่นที่ถูกสร้างขึ้นเป็นลำดับแรกๆ ของโลกจอดโชว์อยู่ ภายในออฟฟิศมีกรอบรูปภาพที่ระลึกกิจกรรมต่างๆ ที่เขาทำ เช่น การกระโดดร่มจากบอลลูนทุบสถิติโลกด้วยระดับความสูง 38,139 ฟุต ภารกิจเยือนสถานีอวกาศ International Space Station ด้วยเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของโลก และการดำดิ่งสู่ร่องมหาสมุทร Mariana Trehch ในจุดที่ต่ำที่สุดของโลกซึ่งอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลลงไป 35,876 ฟุต
“เราต้องกล้าเสี่ยงในสิ่งที่คาดคำนวณมาแล้ว ไม่ใช่ไปเสี่ยงทำอะไรสะเปะสะปะแบบไม่คิด” Connor กล่าว สิ่งนี้เป็นเหมือนกลยุทธ์ที่ช่วยนำพาเขาและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Connor Group ไปสู่ความสำเร็จ ยืนยันได้จากตัวเลขกำไรมหาศาลที่โตต่อเนื่องนานกว่า 3 ทศวรรษ และทรัพย์สินในครอบครองมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ
ตั้งแต่เขาร่วมก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อปี 1991 อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในอะพาร์ตเมนต์หรูของบริษัทอยู่ที่ 30.4% ต่อปี ตัวเลขดังกล่าวสูงในระดับที่แทบไม่ใครทำได้ในธุรกิจนี้ โดยบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง Blackstone และ Brookfield สร้างอัตราตอบแทนเฉลี่ยนับตั้งแต่จัดตั้งสำหรับการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ อยู่ที่ 16% และ 18% ต่อปีตามลำดับ
Connor สามารถทำกำไรในอัตราสูงแตะระดับดังกล่าวด้วยการมุ่งหาโอกาสแปรสภาพการลงทุนให้ได้กำไรเร็วที่สุดในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ “ผมจะเพิ่มมูลค่าให้ได้มากที่สุดโดยใช้เวลาน้อยที่สุด” Connor กล่าว
โดยเฉลี่ยแล้วเขาถือครองอสังหาฯ แต่ละแห่งในพอร์ตประมาณ 5 ปีครึ่ง ขณะที่บรรดากอง REITs ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะถือครองทรัพย์สินยาวถึง 10 ปี ครั้งหนึ่งเขาเคยปิดดีลขายอาคารใน Charlotte รัฐ North Carolina และทำกำไรเข้ากระเป๋าไป 75% ภายในระยะเวลาเพียงปีกว่า
ปัจจุบัน Connor Group เป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารโครงการอะพาร์ตเมนต์ 51 แห่งมูลค่ารวม 5 พันล้านเหรียญ ซึ่งกระจายอยู่ใน 12 รัฐ ตั้งแต่ Colorado ไปจนถึง Florida ในช่วงปี 2020-2022 ซึ่งอัตราค่าเช่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้นช่วงหลังการระบาดใหญ่ กองทุนของบริษัททำกำไรเข้ากระเป๋าถึง 42.5% หลายโครงการที่ลงทุนถูกขายออกไปในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปีนับจากวันที่เริ่มถือครอง โดยมีอัตราผลตอบแทนตั้งแต่ 17-159%
Connor เติบโตที่เมือง Dayton และเกือบเรียนไม่จบชั้นมัธยมปลาย เขาจบการศึกษาเมื่อปี 1968 ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.0 แต่ด้วยการที่เป็นคนมีหัวจึงเริ่มหารายได้ด้วยการรับทาสีบ้าน
หลังจบการศึกษาเขาตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองและซื้อไวน์ราคาถูกที่ “ฉลากสินค้าฉีกขาดหรือเสียหาย” บรรทุกใส่เต็มท้ายรถ จากนั้นก็ขายทั้งไวน์ทั้งรถให้กับนักศึกษาใน Athens ซึ่งเขาจบจาก Ohio University ที่อยู่ในเมืองนี้เช่นกัน ช่วงที่เขาศึกษาระดับปริญญาตรีในวันหยุดสุดสัปดาห์ Connor จะรับจ้างนำร่างผู้เสียชีวิตไปส่งที่โรงเก็บศพสำหรับรอทำพิธีโดยได้ค่าจ้างศพละ 5 เหรียญ
หลังจบมหาวิทยาลัยเขาเริ่มทำงานเป็นพนักงานขายชั่วคราวที่ศูนย์รถยนต์ Volkswagen จากนั้นได้มาทำงานบริการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งระหว่างนั้นทำให้เขาได้เดินทางไปโมร็อกโก เม็กซิโก และประเทศแถบยุโรป
นอกจากนี้เขายังเคยเปิดบาร์ในปี 1977 ซึ่งเขาบอกว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก บรรดาผู้ร่วมลงทุนได้รับผลตอบแทน 300% หลังขายกิจการออกไปใน 2 ปีครึ่งให้หลัง Connor รวบรวมเงินที่ได้มาทั้งหมดและย้ายไปยัง Orlando รัฐ Florida เพื่อเปิดธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของ IBM แต่ว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้คงอยู่ตลอดไป “สุดท้ายแล้วเราลงเอยด้วยการปิดตัวลงหลังเปิดดำเนินการมา 9 ปี ผมจบปริญญาเอกด้านความล้มเหลวในธุรกิจ”
เขาเดินทางกลับ Dayton ด้วยสภาพตกงานพร้อมหนี้จำนวน 900,000 เหรียญ เบนเข็มมายังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยจับมือกับหุ้นส่วน 2 รายและนักลงทุน 1 ราย เพื่อเข้าซื้ออะพาร์ตเมนต์ 3 แห่งใน Dayton จากสถาบันเพื่อการออมและปล่อยกู้ซึ่งดำเนินกิจการหลักอยู่ใน Kansas
ทว่าวิกฤตสินเชื่อ S&L ที่ปะทุขึ้นทำให้ดีลซื้อขายที่ตกลงไว้ล้มไม่เป็นท่า และฉุดให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำอย่างหนัก แต่ไม่นานกระแสความสำเร็จก็เริ่มพัดผ่านมาทาง Connor หลังจากนั้น 1 ปีเขาสามารถปิดดีลเข้าซื้ออะพาร์ตเมนต์ดังกล่าวได้ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม 1 ล้านเหรียญ
ในปี 1994 เขาปลดหนี้ได้สำเร็จ และอีก 9 ปีให้หลังเขาได้ควักกระเป๋าซื้อหุ้นจากหุ้นส่วนคืนทั้งหมดและกลายเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกปะทุขึ้นในปี 2008 การที่ Connor ดำเนินธุรกิจแบบมุ่งเน้นลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นทำให้เขามีเงินซื้อของดีราคาถูกจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนอย่างอสังหาริมทรัพย์ การดำเนินธุรกิจมักต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อยู่เสมอ Fitch Ratings เผยว่า อัตราการผิดนัดหนี้สินเชื่ออะพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจะพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัวในปี 2024 ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าระดับสูงสุดที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาด
มูลค่าการลงทุนในอะพาร์ตเมนต์ร่วงลง 61% เหลือ 1.19 แสนล้านเหรียญเมื่อปีที่ผ่านมา นับเป็นมูลค่าที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่า อะไรจะเกิดขึ้นหาก Connor ต้องการขายแต่ไม่สามารถหาผู้ซื้อได้
Connor ยอมรับว่ากลยุทธ์ของเขาไม่ได้รับประกันความสำเร็จเสมอไป “เราทำผลงานได้ไม่ดีนักในปี 2023 เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานของเรา” เขากล่าว ทว่าเขาเห็นต่างจากความเห็นส่วนใหญ่ที่มองว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง “ผู้ที่มีความต้องการซื้อจะเข้ามาในตลาดมากขึ้น” เขากล่าวอย่างหนักแน่น “และเราน่าจะเริ่มปิดการขายได้ในช่วงกลางปีนี้”
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Emma Chamberlain การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมสตาร์ทอัพฉบับคนรักกาแฟ